จากแผนเดิม วันนี้ผมจะต้องออกไปตามล่าซากุระตามจุดต่าง ๆ ในโตเกียว แต่อย่างที่รู้ว่าซากุระเพิ่งจะเริ่มบาน ทำให้ผมต้องโยกแผนวันท้าย ๆ มาวันนี้แทน ผมตั้งใจว่าจะตะลุยอากิฮาบาระ(Akihabara) ก่อนกลับไทยจะได้มีภาระระหว่างเที่ยวน้อยที่สุด กลับกลายเป็นว่าผมต้องเริ่มทริปด้วยการแบกของเล่นตั้งแต่วันแรกเสียแล้ว

ผมเก็บสะสมของเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ พวกหุ่นยนต์แทบจะเป็นเพื่อนของผมอีกคนไปแล้วในสมัยเรียน ถึงขั้นไม่กินข้าวเที่ยงแล้วเก็บเงินค่าข้าวค่าขนมซื้อของเล่นจนครูจับได้แล้วไปฟ้องพ่อ แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร(ฮา) และเมื่อมาญี่ปุ่น การซื้อของเล่นเป็นหนึ่งในภารกิจที่ต้องทำทุกครั้งหากมีโอกาสมา ผมไปญี่ปุ่นมาแล้วหลาย ๆ หัวเมืองใหญ่ที่มีแหล่งของเล่น ไม่ว่าจะเป็นโอซากะ นาโกย่าและฟุคุโอกะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโตเกียวคือแหล่งของเล่นที่ใหญ่ที่สุด
เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมตื่นนอนหลังจากหลับสบายมาเต็มอิ่ม เป็นเวลาที่ค่อนข้างสายสำหรับผมที่อยากใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแต่ในเมื่อยังไม่มีโปรแกรมอะไรในช่วงเช้าและย่านอากิฮาบาระ ยังไม่ตื่นทำให้ผมเอ้อระเหยอยู่ในห้องได้ก่อนจะลุกไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน เคลียร์กระเป๋าให้โล่ง และเดินออกจากที่พักไปขึ้นรถไฟมุ่งสู่สถานที่ที่เป็นสวรรค์ของเหล่าเด็กเนิร์ดทุกคน

โยโดบาชิคาเมร่า(Yodobashi Camera) เป็นแหล่งของเล่นที่เปิดเร็วสุดในย่านอากิฮาบาระ ผมมาถึงก่อนห้างเปิดนิดหน่อย เวลาเก้าโมงครึ่งประตูถูกเปิดออกพร้อมเสียงกล่าวยินดีต้อนรับจากพนักงานที่ยืนเรียงราย ผมดิ่งไปชั้นบนที่เป็นโซนของเล่น เอาจริง ๆ ผมเดินดูได้ไม่นานเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีของที่ถูกตาต้องใจจนเดินออกมาตัวเปล่า ย่านอากิฮาบาระเริ่มคึกคัก ร้านต่าง ๆ เริ่มเปิดให้ผู้คนไปจับจ่ายใช้สอยแล้ว ผมเดินเข้าออกร้านแล้วร้านเล่า ได้ของที่ตั้งใจจะมาซื้อหนึ่งชิ้นและของที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้ออีกหกชิ้นจนใส่กระเป๋าเป้ไม่พอ ผมแอบหามุมข้างตึกเพื่อจัดแจงของเล่นยัดใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย หุ่นยนต์ที่ตั้งใจจะซื้อกลับไม่มีติดมือ มีแต่โมเดลสาว ๆ จากอนิเมะเต็มไปหมด(ฮา) พลางกินแซนด์วิชไก่จากแฟมิลี่มาร์ทเพราะเดินซื้อของเล่นเพลินจนขี้เกียจหาร้านอาหารแล้ว โตเกียวมันน่ากลัวจริง ๆ นี่ขนาดพยายามห้ามใจแล้วนะ ยังไม่ได้ผลเลย

กระแสของเล่นมันไม่เคยจางเลย ถึงจะมีกระแสของอาร์ททอยที่เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าของเล่นมันมีกระแสของมันเรื่อย ๆ มาตลอดไม่ว่าจะเป็นของเล่นแนวไหน ถึงผมจะซื้อมัน แต่ของเล่นเป็นสิ่งที่ผม “ทั้งรักทั้งเกลียด” จริง ๆ ผมเคยฟังพี่โอม ค็อกเทลพูดถึงของเล่นมันจริงมาก ๆ ตรงที่ ยังไงมันก็เป็นของที่ต้องยอมรับว่ามัน “สิ้นเปลือง” แล้วผมเอง ก็ไม่ได้อินกับเรื่องคุณค่าทางจิตใจ ที่ซื้อก็เพราะ ณ เวลานี้ตอนนี้ผมแค่อยากได้และสามารถซื้อมันได้แค่นั้นเอง
จนตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าลึก ๆ แล้วผมเก็บของเล่นไปทำไม แต่พอลองมองที่ในตู้ที่ถูกจัดวางในแบบของเรา ถูกรวบรวมอยู่ในบ้านแบบนี้ มันก็ทำให้ผมคิดได้ง่าย ๆ ว่าเออ ตัวนั้นเท่ดีวะ ตัวนี้ก็สวย ตัวโน้นยังมองได้ไม่เบื่อเลย แม้จะตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกเล็ก ๆ แบบนี้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ แต่ความรู้สึกที่อยากได้มัน อยากครอบครองมันคงเป็นธรรมชาติของคนที่ชอบอะไรพวกนี้
คงมีบางคนที่เคยโดนคนรอบตัวตะขิดตะขวงใจว่าซื้อของเล่นทำไมมันสิ้นเปลือง ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ผมจะโกรธมาก แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามเลย ผมยอมรับจากใจว่ามันสิ้นเปลือง แต่อยากจะอธิบายให้เข้าใจว่า ของเล่นมันก็เป็นงานอดิเรก เป็นความบันเทิงที่สนองความต้องการอย่างนึงเท่านั้น
เรามีกำลังซื้อมันโดยที่ไม่เดือดร้อนเงินส่วนอื่นก็น่าจะพอแล้ว ผมคิดว่างั้นนะ
ตะกอนโตเกียว ตอนที่8 "ของเล่น"
ผมเก็บสะสมของเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ พวกหุ่นยนต์แทบจะเป็นเพื่อนของผมอีกคนไปแล้วในสมัยเรียน ถึงขั้นไม่กินข้าวเที่ยงแล้วเก็บเงินค่าข้าวค่าขนมซื้อของเล่นจนครูจับได้แล้วไปฟ้องพ่อ แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร(ฮา) และเมื่อมาญี่ปุ่น การซื้อของเล่นเป็นหนึ่งในภารกิจที่ต้องทำทุกครั้งหากมีโอกาสมา ผมไปญี่ปุ่นมาแล้วหลาย ๆ หัวเมืองใหญ่ที่มีแหล่งของเล่น ไม่ว่าจะเป็นโอซากะ นาโกย่าและฟุคุโอกะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโตเกียวคือแหล่งของเล่นที่ใหญ่ที่สุด
เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า ผมตื่นนอนหลังจากหลับสบายมาเต็มอิ่ม เป็นเวลาที่ค่อนข้างสายสำหรับผมที่อยากใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแต่ในเมื่อยังไม่มีโปรแกรมอะไรในช่วงเช้าและย่านอากิฮาบาระ ยังไม่ตื่นทำให้ผมเอ้อระเหยอยู่ในห้องได้ก่อนจะลุกไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน เคลียร์กระเป๋าให้โล่ง และเดินออกจากที่พักไปขึ้นรถไฟมุ่งสู่สถานที่ที่เป็นสวรรค์ของเหล่าเด็กเนิร์ดทุกคน
โยโดบาชิคาเมร่า(Yodobashi Camera) เป็นแหล่งของเล่นที่เปิดเร็วสุดในย่านอากิฮาบาระ ผมมาถึงก่อนห้างเปิดนิดหน่อย เวลาเก้าโมงครึ่งประตูถูกเปิดออกพร้อมเสียงกล่าวยินดีต้อนรับจากพนักงานที่ยืนเรียงราย ผมดิ่งไปชั้นบนที่เป็นโซนของเล่น เอาจริง ๆ ผมเดินดูได้ไม่นานเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยมีของที่ถูกตาต้องใจจนเดินออกมาตัวเปล่า ย่านอากิฮาบาระเริ่มคึกคัก ร้านต่าง ๆ เริ่มเปิดให้ผู้คนไปจับจ่ายใช้สอยแล้ว ผมเดินเข้าออกร้านแล้วร้านเล่า ได้ของที่ตั้งใจจะมาซื้อหนึ่งชิ้นและของที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้ออีกหกชิ้นจนใส่กระเป๋าเป้ไม่พอ ผมแอบหามุมข้างตึกเพื่อจัดแจงของเล่นยัดใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย หุ่นยนต์ที่ตั้งใจจะซื้อกลับไม่มีติดมือ มีแต่โมเดลสาว ๆ จากอนิเมะเต็มไปหมด(ฮา) พลางกินแซนด์วิชไก่จากแฟมิลี่มาร์ทเพราะเดินซื้อของเล่นเพลินจนขี้เกียจหาร้านอาหารแล้ว โตเกียวมันน่ากลัวจริง ๆ นี่ขนาดพยายามห้ามใจแล้วนะ ยังไม่ได้ผลเลย
กระแสของเล่นมันไม่เคยจางเลย ถึงจะมีกระแสของอาร์ททอยที่เข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าของเล่นมันมีกระแสของมันเรื่อย ๆ มาตลอดไม่ว่าจะเป็นของเล่นแนวไหน ถึงผมจะซื้อมัน แต่ของเล่นเป็นสิ่งที่ผม “ทั้งรักทั้งเกลียด” จริง ๆ ผมเคยฟังพี่โอม ค็อกเทลพูดถึงของเล่นมันจริงมาก ๆ ตรงที่ ยังไงมันก็เป็นของที่ต้องยอมรับว่ามัน “สิ้นเปลือง” แล้วผมเอง ก็ไม่ได้อินกับเรื่องคุณค่าทางจิตใจ ที่ซื้อก็เพราะ ณ เวลานี้ตอนนี้ผมแค่อยากได้และสามารถซื้อมันได้แค่นั้นเอง
จนตอนนี้ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าลึก ๆ แล้วผมเก็บของเล่นไปทำไม แต่พอลองมองที่ในตู้ที่ถูกจัดวางในแบบของเรา ถูกรวบรวมอยู่ในบ้านแบบนี้ มันก็ทำให้ผมคิดได้ง่าย ๆ ว่าเออ ตัวนั้นเท่ดีวะ ตัวนี้ก็สวย ตัวโน้นยังมองได้ไม่เบื่อเลย แม้จะตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกเล็ก ๆ แบบนี้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ แต่ความรู้สึกที่อยากได้มัน อยากครอบครองมันคงเป็นธรรมชาติของคนที่ชอบอะไรพวกนี้
คงมีบางคนที่เคยโดนคนรอบตัวตะขิดตะขวงใจว่าซื้อของเล่นทำไมมันสิ้นเปลือง ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ผมจะโกรธมาก แต่ตอนนี้กลับตรงกันข้ามเลย ผมยอมรับจากใจว่ามันสิ้นเปลือง แต่อยากจะอธิบายให้เข้าใจว่า ของเล่นมันก็เป็นงานอดิเรก เป็นความบันเทิงที่สนองความต้องการอย่างนึงเท่านั้น
เรามีกำลังซื้อมันโดยที่ไม่เดือดร้อนเงินส่วนอื่นก็น่าจะพอแล้ว ผมคิดว่างั้นนะ