ตะกอนโตเกียว ตอนที่9 "นัดฝัน" Part II ระหว่างทาง

ผมอยากแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักนักแสดงที่ผมมีนัดในเย็นวันนี้ ซึ่งก่อนที่จะไปญี่ปุ่นประมาณหนึ่งเดือน อาจด้วยความบังเอิญแต่ผมมองว่าเป็นโชคชะตา น้องฮินามิ โมริ(Hinami Mori) เป็นนักแสดงหญิงหลักที่รับบทเป็นฟลิ้นท์ โกลด์ซีคเกอร์(Flint Goldtsuiker ) จากKIKAI SENTAI ZENKAIGER หรือขบวนการโลกจักรกล เซนไคเจอร์ กำลังจะมีกิจกรรมเปิดตัวหนังสือภาพเล่มใหม่ ซึ่งตรงกับวันที่ผมอยู่ญี่ปุ่นพอดี การจำหน่ายหนังสือภาพครั้งนี้ก็จะมีกิจกรรมพบปะน้องตัวเป็น ๆ ในวันนั้นด้วย รายละเอียดงานถูกแจ้งไว้ในเว็บที่แปลออกมาพอเข้าใจว่ากิจกรรมจะมีทั้งหมดสามแบบตามลำดับจำนวนเล่มที่ซื้อ หนึ่งเล่มจะได้รับหนังสือกับมือ หากซื้อสองเล่มจะได้รับหนังสือพร้อมลายเซ็น และแบบสุดท้ายคือซื้อสามเล่มจะได้รับหนังสือกับมือเช่นกันแถมถ่ายภาพคู่ร่วมกับน้องหนึ่งภาพ ผมไม่รีรอลงมือกรอกข้อมูลบัตรที่แลกเงินเยนไว้เพื่อทำการจองกิจกรรม เงินถูกหักออกจากบัตรไป8,910 เยนกับการชำระค่าหนังสือสามเล่ม มือผมสั่นเพราะตื่นเต้นหรือเพราะเงินที่หายวับไปกันแน่

หลังออกจากอากิฮาบาระได้เกือบ ๆ สี่โมงเย็น ผมเดินลงสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมของที่รุงรังทั้งกระเป๋าบนบ่าและถุงในมือขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่ย่านที่เรียกได้ว่าเหมือนมีงานสัปดาห์หนังสือตลอดทั้งปี ระหว่างที่กำลังเดินเพื่อไปยืนรอรถไฟ จู่ ๆ ผมก็รู้สึกเปียกบริเวณจมูก ตามสัญชาติผมเอามือไปแตะโดยภาวนาไม่ให้ใช่อย่างที่คิด แต่สุดท้ายมันคงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากเลือดกำเดาที่เริ่มไหล ผมมองดูนิ้วที่เปรอะไปด้วยเลือดของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายวะเนี่ย ผมคิดพลางเดินเร็วหาห้องน้ำโดยเอามือป้องจมูกพยายามไม่ให้ใครเห็นเพราะกลัวกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงผมจะเคยจู่ ๆ เลือดกำเดาไหลมาบ้าง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะมาเป็นที่ญี่ปุ่น ผมเข้าห้องน้ำปิดประตู เงยหน้าและดึงทิชชู่มาซับเลือดบริเวณจมูกโดยไม่สนใจแล้วว่าเป็นกระดาษไว้เช็ดก้นโดยเฉพาะ ขอบคุณประเทศญี่ปุ่นมากที่มีห้องน้ำในสถานีรถไฟ หากยืนเงยหน้าพร้อมเลือดที่เปรอะไปครึ่งหน้าท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาเกรงว่าจะดูเหมือนผมหนีมาจากเหตุทะเลาะวิวาทกันหรือกลายเป็นฉากสยองขวัญเหมือนในหนังหลอนประสาทจนกลายเป็นตำนานเมือง

เงยหน้าอยู่นาน ในห้องน้ำในสถานีรถไฟที่คนไม่จอแจมากนัก เลือดค่อย ๆ หยุดไหลกลายเป็นเกล็ดเลือดแห้งที่ยังคาอยู่ในจมูก ถึงจะยังไม่หายสนิทแต่ผมว่าคงได้เวลาต้องไปต่อโดยที่หาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ถ้าให้ผมเดา อาจเป็นเพราะผมนอนน้อยเกินไปหรือเจออากาศที่ร้อนฝนหนาวปะปนในสองสามวันที่ผ่านมา ผมหวังว่าจะไม่เป็นอะไรไปมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ตอนยังอยู่ญี่ปุ่น

นั่งรถไฟมาถึงสถานีจิมโบโช(Jimbocho station) เดินออกมาไม่ไกลก็เจอร้านหนังสือShosen Grand ที่จัดกิจกรรม ผมเอากระเป๋าไปฝากในตู้ล็อคเกอร์200เยนใกล้ ๆ ร้าน หน้าตึกเจ็ดชั้นที่เป็นร้านขายหนังสือทั้งตึก แอบเหลือเชื่อไม่ต่างจากTower Record ที่ขายแผ่นเพลงทั้งตึก ผมมองว่าคงไม่เป็นไรถ้าประเทศไทยจะไม่มีร้านซีดีแล้ว แต่คงจะดีไม่น้อยถ้ามีศิลปินไอดอลที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างมีพื้นที่ในการแสดงในร้านเหมือนที่ญี่ปุ่น ถึงจะเป็นยุคที่ยูทูปมีทุกอย่างให้ดู แต่การได้รู้จักผ่านการพบเจอกัน ไม่ว่าจะบังเอิญหรือตั้งใจ ผมว่าคงสร้างความประทับใจได้มากกว่า ไม่ต่างอะไรกับหนังสือ ในยุคนี้ที่สามารถอ่านผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์นานาชนิดได้ ผมเลือกที่จะอ่านบนกระดาษ มือที่ประคองเล่ม นิ้วที่ไล่เปลี่ยนหน้า กลิ่นกระดาษและหมึกจาง ๆ ไม่มีแสงจากจอทำให้ได้พักสายตาไปในตัว ไม่ต่างอะไรกับการฝันในขณะที่ลืมตาอยู่ เวลาอ่านหนังสือผมรู้สึกแบบนั้น

ดีใจที่ประเทศไทยยังคงมีร้านหนังสืออยู่ ถึงจะไม่ใหญ่เท่าที่นี่ แต่ผมก็ภาวนาให้มันไม่หายไป สำหรับผมหนังสือคือสิ่งของราคาถูกที่มีคุณค่ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเล่มใหม่ราคาหลักร้อย หรือมือสองราคาหลักสิบ ผมมองว่ามันคุ้มค่าพอที่จะจ่ายและไม่เสียดายเงิน ผมจะบอกตัวเองทุกครั้ง ถ้าจะจ่ายเงินให้กับอะไรลังเลสักหน่อยก็ได้ แต่ไม่ใช่กับหนังสือ

ยังเหลือเวลาชั่วโมงเศษ ๆ ก่อนกิจกรรมจะเริ่ม ผมเลือกที่จะเดินเล่นบริเวณย่านจิมโบโชก่อนเข้าร้าน ย่านนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย คงเพราะเป็นย่านหนังสือที่หนังสือที่ส่วนใหญ่เป็นหนังสือภาษาญี่ปุ่น หลาย ๆ ร้านในย่านนำหนังสือมาลดราคาขายบริเวณหน้าร้าน อย่างถูกสุดก็300เยน ผมหยิบขึ้นมาสุ่ม ๆ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือหนังสืออะไร ไม่มีภาพประกอบ ตัวหนังสือเรียงเป็นพรืด อาจจะเป็นวรรณกรรมหรือนิยายปรัมปรา ผมเดาไปด้วยความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่น้อยนิด แต่มนต์ขลังของหนังสือ ทั้งที่จับอยู่และบนแผงกับชั้นวางอีกหลาย ๆ เล่มรอบตัว ให้ความรู้สึกเหมือนผมเข้าไปในโลกเวทย์มนต์แบบในหนังHARRY POTTER หรือDOCTOR STRANGE ด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ ทำให้ก่อเกิดความลึกลับเล็ก ๆ ที่มิอาจหยั่งรู้ได้ หนังสือคงมีพลังงานแบบนั้นอยู่

ผมวางหนังสือคืนที่ เริ่มรู้สึกคอแห้งและอยากหาที่นั่งดื่มอะไรสักหน่อยก่อนเข้าร้าน นึกอะไรไม่ออกผมก็จะนึกถึงแต่แมคโดนัลด์ ย่านนี้มีหนึ่งสาขาใหญ่ ผมเข้าไปสั่งเครื่องดื่มโกโก้เย็นหนึ่งแก้วก่อนเดินขึ้นชั้นสอง วิวตึกตัดกับถนนที่สามารถเห็นผู้คนและรถที่จอดรอไฟจราจรให้นั่งมองผ่านกระจกไปพลางระหว่างรอ วันนี้เป็นวันเสาร์ ย่านนี้ไม่พลุกพล่านเหมือนที่ชิบุย่าหรือที่อื่น ๆ อาจเพราะไม่มีอะไรหวือหวาหรือเป็นย่านที่ค่อนข้างเฉพาะทาง ถึงจะไม่เงียบสนิทเหมือนห้องสมุด แต่ก็สงบเหมาะกับย่านหนังสือแบบนี้ดี



กลับมาที่ร้านShosen Grand ชั้นหนึ่งมีหนังสือที่น่าจะเป็นหนังสือออกใหม่หลาย ๆ ประเภทถูกวางบนแผงให้เลือกสรร มีผู้คนกำลังยืนเลือกยืนอ่านเกือบแน่นร้าน พอเริ่มเดินขึ้นชั้นถัดไปเรื่อย ๆ ก็จะเจาะจงประเภท นิตยสารบันเทิง ตำราความรู้ มังงะ นิยาย จนผมเดินมาถึงชั้นที่หก ทั้งชั้นจะเป็นหนังสือภาพของเหล่าศิลปิน ดารา ไอดอล ถ้าใครตามวงการบันเทิงญี่ปุ่น คงต้องรู้จักหน้าคร่าตาสักคน

เจ้าหน้าที่นำป้ายมาวางเพื่อแจ้งถึงคนที่จะเข้าร่วมกิจกรรม มีคนมายืนรอจนเริ่มแน่นชั้น ผมที่ไม่รู้อะไรเลยนำอีเมลที่ได้จากทางร้านยื่นให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกให้รอสักครู่และชี้ไปที่หมายเลข66 บนจอมือถือผม เดาว่าเจ้าหน้าที่จะเรียกตามหมายเลขที่เราได้รับหลังจากได้ยินเจ้าหน้าที่ตะโกนเบา ๆ และเริ่มมีคนทยอยเดินไปหาเจ้าหน้าที่คนนั้น ผมคิดว่าผมพอฟังสำเนียงคนญี่ปุ่นออกและพอรู้ตัวเลขญี่ปุ่น แต่เพื่อความชัวร์ผมค้นหาการนับตัวเลขญี่ปุ่นในกูเกิ้ลอีกที ชัดเจนว่าเลขของผมคือ โรคุจูโรคุ และที่เจ้าหน้าที่กำลังเรียกอยู่ ยังไม่ถึงคิวคิวของผม

ถอยมายืนเหมือนรอของอุ่นในเซเว่น ต่างตรงที่สินค้ารอบตัวมีแต่หนังสือที่ปกเป็นใบหน้าของสาวสวยหนุ่มหล่อผมยืนรอพลางฟังเสียงเรียกจากเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้พลาด จู่ ๆ เสียงก็เงียบลงหลังจากเจ้าหน้าที่เรียกหาเจ้าของหมายเลขตามลำดับ มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งวีลแชร์ไปหาเจ้าหน้าที่พร้อมแสดงหมายเลขของตนตามที่เจ้าหน้าที่เรียก ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ทำการช่วยอำนวยความสะดวกให้หญิงสาวคนนั้นโดยเข็นเธอขึ้นทางลิฟต์ก่อนเดินลงมาทางบันได้แล้วขานเรียกหมายเลขตามลำดับต่อ

โรคุจูโรคุ เสียงของเจ้าหน้าที่ขานเรียกหมายเลข66 ผมเดินไปแล้วแสดงอีเมลที่ได้จากทางร้านยื่นให้เจ้าหน้าที่อีกครั้ง เจ้าหน้าที่ขานรับ ส่งมอบบัตรที่ระบุหมายเลขและให้ไปต่อคิวบริเวณเชิงบันไดเพื่อขึ้นชั้นที่เจ็ด ซึ่งเป็นโซนที่ไม่ได้ไว้ขายหนังสือแต่เป็นพื้นที่ไว้พบปะกับดาราไอดอลโดยเฉพาะ มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยอยู่อีกสองถึงสามคนบนชั้นนี้ ใครเอากระเป๋ามาเจ้าหน้าที่จะรบกวนให้นำมาฝากไว้ก่อน อ้าว แล้วผมจะไปเสียค่าฝากไว้ในตู้ทำไมวะเนี่ย ผมคิดขำ ๆ พลางบอกตัวเองว่าแค่200เยน อย่างน้อยที่ผ่านมาก็ไม่ต้องแบก

แถวด้านหน้าเริ่มสั้นลง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่เห็นน้องฮินามิ โมริตัวเป็น ๆ เพราะมีแผงกั้นที่เจ้าหน้าที่จะเปิดเพื่อให้คนเดินเข้าไปตามคิวทีละหนึ่งคนและจะถูกปิดเมื่อเดินเข้าไปแล้ว แต่จังหวะที่ใกล้ถึงคิวผมจนอยู่ในมุมที่พอจะมองเห็นด้านในได้ระหว่างเปิดแผงกั้น ใจผมเต้นหนักไม่ต่างกับตอนที่กำลังจะพิชิตบอสในเกมยากได้สำเร็จหลังจากที่ผ่านความตายมาแล้วหลายสิบรอบ ผมเห็นน้องฮินามิแล้ว เราสบตากันแว็บนึงก่อนแผงกั้นจะปิดลง สิ่งที่ผมเกือบอุทานออกมาเป็นคำพูด แต่ยังยั้งไว้ให้อยู่ในใจได้

โคตรน่ารักเลย..

นี่สินะ นักแสดงขบวนการห้าสีที่ผมอยากเจอตัวเป็น ๆ สักครั้งในชีวิต ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และอีกไม่กี่นาทีผมจะได้พูดคุย พร้อมถ่ายรูปร่วมกับน้อง ใจผมเหมือนยังเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่

อ่านส่วนอื่นได้ที่นี่
ตะกอนโตเกียว ตอนที่9 "นัดฝัน" Part I ต้นทาง
ตะกอนโตเกียว ตอนที่9 "นัดฝัน" Part III ปลายทาง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่