บทที่ 1 – เถ้าธุลีแห่งความลับ
สายลมเย็นยามเย็นพัดเอื่อยผ่านผืนป่าเล็กๆ รอบวัดดอนพุทธา ใบไม้แห้งกรอบที่ทับถมบนพื้นส่งเสียงแผ่วเบาใต้ฝ่าเท้า เสียงเผาศพเงียบไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันจางๆ ที่ยังติดอยู่ปลายจมูก
หญิงสาวในเสื้อผ้าดำซีด ยืนกอดอกอยู่เงียบๆ ใต้ร่มโพธิ์ต้นใหญ่ ดวงตาหรี่ปรือขึ้นมองเชิงตะกอนที่ว่างเปล่าแล้ว ร่างของ ยายคำ—หญิงชราผู้เป็นเสมือนโลกทั้งใบของเธอ—ได้กลายเป็นเถ้าถ่านและลอยหายไปกับลม
เช่นเทวี ไม่ได้ร้องไห้ แม้แต่หยดเดียว
ไม่ใช่เพราะเธอไม่เจ็บปวด แต่เพราะมันลึกเกินไป ลึกเสียจนไม่มีน้ำตาใดพอจะไหลออกมาได้อีก
เธอเติบโตมากับยายตามลำพังในบ้านไม้ปลายหมู่บ้านแม่ขุนเหนือ บ้านหลังเล็กซ่อนอยู่หลังแนวไผ่ริมลำธาร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีแม้กระทั่งเลขที่บ้านในสารบบของรัฐ เธอใช้ชีวิตในโลกที่เล็กมาก…จนบางครั้งเธอรู้สึกว่าตนเองไม่เคยมีอยู่จริง
พ่อคือใคร—เธอไม่เคยรู้
แม่จากไปตั้งแต่เธอจำความได้
และยายก็ปิดปากเงียบมานานนับสิบปี
ยายคำมักตอบคำถามเรื่องอดีตด้วยคำสั้นๆ ซ้ำไปมา เช่น “มันไม่สำคัญแล้ว” หรือ “จำไปก็เปลืองใจ”
และหากเธอเผลอเอ่ยคำว่า “พ่อ” ยายจะมองด้วยแววตาเศร้าและพูดเพียงว่า
“อย่าไปรื้อของที่เขาฝังเองกับมือ”
นั่นทำให้เธอเลิกถามในที่สุด
ความเงียบระหว่างเธอกับยายค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน เทวีเติบโตมากับตำรามือสองกับเสียงลมหายใจหนักๆ ของหญิงชราในยามค่ำคืน วันเวลาผ่านไปอย่างเรียบเฉยเหมือนผืนน้ำในหน้าหนาว—ไม่มีคลื่น ไม่มีแรงหวัง ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่ปลายทาง
จนกระทั่ง…วันนี้
หลังพิธีศพ เทวีเดินกลับบ้านตามลำพัง ทุกย่างก้าวบนดินเปียกเหมือนจะช้าและหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอกลับมาถึงเรือนเก่า เสียงจิ้งหรีดดังขึ้นทันทีราวกับรอต้อนรับความเงียบของการสูญเสีย
เธอถอดผ้าคลุมไหล่ วางพวงมาลัยไว้หน้ารูปถ่ายยาย แล้วหย่อนตัวลงข้างกล่องเหล็กใบหนึ่งที่วางอยู่มุมห้อง กล่องที่ยายห้ามเธอแตะต้องมาตลอดชีวิต
“ของในนั้น…ให้เปิดเมื่อพี่ไม่เหลือใครจริงๆ”
เสียงยายคำดังก้องอยู่ในหัวของเธออีกครั้ง ราวกับยังไม่ไปไหน
มือของเทวีสั่นเล็กน้อยขณะเปิดฝากล่อง
ภายในมีเพียงซองจดหมายสีน้ำตาลปั๊มตราสำนักงานกฎหมาย และซองสีครีมที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา ครั่งสีดำแห้งกรังดูโบราณจนน่าขนลุก และที่สำคัญที่สุด—ด้านหน้าซองมีชื่อผู้ส่ง
นายอรรถกร ราชพินิจ
ทนายประจำตระกูลพงษ์ธรรมา
ชื่อที่เธอไม่เคยได้ยิน แต่อะไรบางอย่างในใจเธอกลับสั่นระรัวราวกับมันไม่ใช่ชื่อแปลกหน้า
เธอยังไม่ทันได้เปิดจดหมาย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น—สามครั้ง ช้า หนักแน่น
หัวใจเทวีเต้นแรงขึ้นโดยไร้เหตุผล เธอเดินไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางแสงไฟที่กระพริบไหวจากตะเกียงน้ำมัน
ชายในชุดสูทเข้มยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางภูมิฐานและไม่เข้ากับหมู่บ้านลับแลแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย เขาถอดหมวกออกอย่างสุภาพเมื่อเห็นเธอ
“คุณคือเช่นเทวี อินทะรักษ์ ใช่ไหมครับ”
เทวีขมวดคิ้ว “ค่ะ…คุณเป็นใคร”
เขายื่นนามบัตรให้เธอ
อรรถกร ราชพินิจ
ทนายประจำตระกูลพงษ์ธรรมา
“ผมต้องขออภัยที่มารบกวนในช่วงเวลาเช่นนี้” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “แต่ผมตามหาคุณมาหลายเดือนแล้ว และเพิ่งได้เบาะแสจากข่าวมรณกรรมของคุณยายเมื่อวาน”
เทวีรับนามบัตรมาอย่างลังเล ความรู้สึกเหมือนเวลาในห้องหยุดเดิน
“ตามหาฉัน…ทำไม”
“เพราะคุณคือทายาทโดยสายเลือดเพียงคนเดียวของนายเทวัต พงษ์ธรรมา—บิดาของคุณ”
คำว่า “บิดา” ทิ่มแทงเข้าที่อกเทวีเหมือนเข็มเย็นจัด เส้นเสียงของเธอแหบพร่า “เขาไม่เคยอยู่กับฉันแม้สักวัน”
“ผมเข้าใจดีครับ และผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรทั้งนั้น แต่หน้าที่ของผมคือทำตามพินัยกรรมที่เขาเขียนไว้ก่อนเสียชีวิต”
อรรถกรพูดเรียบๆ แล้วหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าเอกสารสีดำ
“เขาไม่ได้เพียงฝากทรัพย์สินไว้กับคุณ…แต่เขาฝาก ‘คำอธิบาย’ ไว้ด้วย”
เสียงของทนายหนุ่มแผ่วลงเล็กน้อย
“และ…คฤหาสน์เทวา รอคุณกลับไป”
เทวีนิ่งอยู่นาน มือที่ถือซองสั่นน้อยๆ ดวงตาเบิกค้างนิดๆ กับชื่อนั้น
คฤหาสน์เทวา…
เธอเคยฝันถึงมัน
บ้านหลังใหญ่มืดมิด บันไดไม้โบราณ และประตูเหล็กที่มีชื่อ “คฤหาสน์เทวา” สลักอยู่ ในฝันนั้น เธอยืนอยู่หน้าบ้านกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เด็กคนนั้นหันมามองเธอแล้วถามเบาๆ
“แม่ของเราอยู่ที่ไหนเหรอ?”
⸻
และในค่ำคืนนั้น…
เช่นเทวีไม่รู้เลยว่า การเปิดประตูให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งเท่ากับการเปิดประตูให้ความลับ ความกลัว และเงาของอดีตเดินกลับเข้าสู่ชีวิตของเธออีกครั้ง
เช่นเทวี (Shadow of The Heiress)
สายลมเย็นยามเย็นพัดเอื่อยผ่านผืนป่าเล็กๆ รอบวัดดอนพุทธา ใบไม้แห้งกรอบที่ทับถมบนพื้นส่งเสียงแผ่วเบาใต้ฝ่าเท้า เสียงเผาศพเงียบไปนานแล้ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นควันจางๆ ที่ยังติดอยู่ปลายจมูก
หญิงสาวในเสื้อผ้าดำซีด ยืนกอดอกอยู่เงียบๆ ใต้ร่มโพธิ์ต้นใหญ่ ดวงตาหรี่ปรือขึ้นมองเชิงตะกอนที่ว่างเปล่าแล้ว ร่างของ ยายคำ—หญิงชราผู้เป็นเสมือนโลกทั้งใบของเธอ—ได้กลายเป็นเถ้าถ่านและลอยหายไปกับลม
เช่นเทวี ไม่ได้ร้องไห้ แม้แต่หยดเดียว
ไม่ใช่เพราะเธอไม่เจ็บปวด แต่เพราะมันลึกเกินไป ลึกเสียจนไม่มีน้ำตาใดพอจะไหลออกมาได้อีก
เธอเติบโตมากับยายตามลำพังในบ้านไม้ปลายหมู่บ้านแม่ขุนเหนือ บ้านหลังเล็กซ่อนอยู่หลังแนวไผ่ริมลำธาร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีแม้กระทั่งเลขที่บ้านในสารบบของรัฐ เธอใช้ชีวิตในโลกที่เล็กมาก…จนบางครั้งเธอรู้สึกว่าตนเองไม่เคยมีอยู่จริง
พ่อคือใคร—เธอไม่เคยรู้
แม่จากไปตั้งแต่เธอจำความได้
และยายก็ปิดปากเงียบมานานนับสิบปี
ยายคำมักตอบคำถามเรื่องอดีตด้วยคำสั้นๆ ซ้ำไปมา เช่น “มันไม่สำคัญแล้ว” หรือ “จำไปก็เปลืองใจ”
และหากเธอเผลอเอ่ยคำว่า “พ่อ” ยายจะมองด้วยแววตาเศร้าและพูดเพียงว่า
“อย่าไปรื้อของที่เขาฝังเองกับมือ”
นั่นทำให้เธอเลิกถามในที่สุด
ความเงียบระหว่างเธอกับยายค่อยๆ กลายเป็นความคุ้นชิน เทวีเติบโตมากับตำรามือสองกับเสียงลมหายใจหนักๆ ของหญิงชราในยามค่ำคืน วันเวลาผ่านไปอย่างเรียบเฉยเหมือนผืนน้ำในหน้าหนาว—ไม่มีคลื่น ไม่มีแรงหวัง ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟที่ปลายทาง
จนกระทั่ง…วันนี้
หลังพิธีศพ เทวีเดินกลับบ้านตามลำพัง ทุกย่างก้าวบนดินเปียกเหมือนจะช้าและหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอกลับมาถึงเรือนเก่า เสียงจิ้งหรีดดังขึ้นทันทีราวกับรอต้อนรับความเงียบของการสูญเสีย
เธอถอดผ้าคลุมไหล่ วางพวงมาลัยไว้หน้ารูปถ่ายยาย แล้วหย่อนตัวลงข้างกล่องเหล็กใบหนึ่งที่วางอยู่มุมห้อง กล่องที่ยายห้ามเธอแตะต้องมาตลอดชีวิต
“ของในนั้น…ให้เปิดเมื่อพี่ไม่เหลือใครจริงๆ”
เสียงยายคำดังก้องอยู่ในหัวของเธออีกครั้ง ราวกับยังไม่ไปไหน
มือของเทวีสั่นเล็กน้อยขณะเปิดฝากล่อง
ภายในมีเพียงซองจดหมายสีน้ำตาลปั๊มตราสำนักงานกฎหมาย และซองสีครีมที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา ครั่งสีดำแห้งกรังดูโบราณจนน่าขนลุก และที่สำคัญที่สุด—ด้านหน้าซองมีชื่อผู้ส่ง
นายอรรถกร ราชพินิจ
ทนายประจำตระกูลพงษ์ธรรมา
ชื่อที่เธอไม่เคยได้ยิน แต่อะไรบางอย่างในใจเธอกลับสั่นระรัวราวกับมันไม่ใช่ชื่อแปลกหน้า
เธอยังไม่ทันได้เปิดจดหมาย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น—สามครั้ง ช้า หนักแน่น
หัวใจเทวีเต้นแรงขึ้นโดยไร้เหตุผล เธอเดินไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางแสงไฟที่กระพริบไหวจากตะเกียงน้ำมัน
ชายในชุดสูทเข้มยืนอยู่หน้าประตู ท่าทางภูมิฐานและไม่เข้ากับหมู่บ้านลับแลแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย เขาถอดหมวกออกอย่างสุภาพเมื่อเห็นเธอ
“คุณคือเช่นเทวี อินทะรักษ์ ใช่ไหมครับ”
เทวีขมวดคิ้ว “ค่ะ…คุณเป็นใคร”
เขายื่นนามบัตรให้เธอ
อรรถกร ราชพินิจ
ทนายประจำตระกูลพงษ์ธรรมา
“ผมต้องขออภัยที่มารบกวนในช่วงเวลาเช่นนี้” เขาพูดอย่างนุ่มนวล “แต่ผมตามหาคุณมาหลายเดือนแล้ว และเพิ่งได้เบาะแสจากข่าวมรณกรรมของคุณยายเมื่อวาน”
เทวีรับนามบัตรมาอย่างลังเล ความรู้สึกเหมือนเวลาในห้องหยุดเดิน
“ตามหาฉัน…ทำไม”
“เพราะคุณคือทายาทโดยสายเลือดเพียงคนเดียวของนายเทวัต พงษ์ธรรมา—บิดาของคุณ”
คำว่า “บิดา” ทิ่มแทงเข้าที่อกเทวีเหมือนเข็มเย็นจัด เส้นเสียงของเธอแหบพร่า “เขาไม่เคยอยู่กับฉันแม้สักวัน”
“ผมเข้าใจดีครับ และผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรทั้งนั้น แต่หน้าที่ของผมคือทำตามพินัยกรรมที่เขาเขียนไว้ก่อนเสียชีวิต”
อรรถกรพูดเรียบๆ แล้วหยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าเอกสารสีดำ
“เขาไม่ได้เพียงฝากทรัพย์สินไว้กับคุณ…แต่เขาฝาก ‘คำอธิบาย’ ไว้ด้วย”
เสียงของทนายหนุ่มแผ่วลงเล็กน้อย
“และ…คฤหาสน์เทวา รอคุณกลับไป”
เทวีนิ่งอยู่นาน มือที่ถือซองสั่นน้อยๆ ดวงตาเบิกค้างนิดๆ กับชื่อนั้น
คฤหาสน์เทวา…
เธอเคยฝันถึงมัน
บ้านหลังใหญ่มืดมิด บันไดไม้โบราณ และประตูเหล็กที่มีชื่อ “คฤหาสน์เทวา” สลักอยู่ ในฝันนั้น เธอยืนอยู่หน้าบ้านกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เด็กคนนั้นหันมามองเธอแล้วถามเบาๆ
“แม่ของเราอยู่ที่ไหนเหรอ?”
⸻
และในค่ำคืนนั้น…
เช่นเทวีไม่รู้เลยว่า การเปิดประตูให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งเท่ากับการเปิดประตูให้ความลับ ความกลัว และเงาของอดีตเดินกลับเข้าสู่ชีวิตของเธออีกครั้ง