มีโอกาสทำไม่ไม่คว้า?

สวัสดีค่ะทุกคน ตามหัวข้อเลยค่ะเราได้มีโอกาสมาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าเป็นประเทศในฝันของหลายๆคนเลย แต่เราได้มาเรียนที่นี่แบบไม่ได้ตั้งตัวเลยค่ะมีเวลาแค่1สัปดาห์ในการเตรียมตัวเท่านั้น เราก็เคยบอกแม่นะคะว่าถ้าหนูไม่ไหวหนูกลับได้ไหมแม่หนูก็โอเคค่ะ มาช่วงแรกก็โดนเลยค่ะ ไม่มีเพื่อนแบบไม่มีจริงๆ ไม่มีใครคุยด้วย อยู่คนเดียวตลอดเวลาเลยยอมรับว่าช่วงนั้นก็แย่มากๆค่ะแต่ก็คิดว่ามันคงเป็นช่วงปรับตัวอนาคตอาจจะดีกว่านี้! และก็ดีขึ้นค่ะแต่แค่นิดเดียว ไม่ถึงครึ่งของ1เท่าด้วยซ้ำค่ะ ช่วงแรกๆหนูจำคันจิได้ค่อนข้างไวเลยจำแบบว่า 1เดือนต่อคันจิของเด็กประถมปี1เลย เพราะตอนนั้นเรามีความหวังว่าจะดีขึ้น ต้องพยายามแต่พอจำมาจนถึงปี3ก็เริ่มอ่อนลงค่ะ ตลอดการจำมีเรื่องบั่นทอนจิตใจอยู่ตลอดไม่ว่าจะโดนเพื่อนเหยียดทางการกระทำหรือการทะเลาะกับแม่ที่เป็นโรคซึมเศร้า และต้องมานั่งจำคำศัพท์หรืออะไรต่างๆของวิชาเรียนในห้องด้วยพูดตรงๆก็แอบหนักอยู่ค่ะ พอมาถึงตอนที่เราต้องจำคันจิของประถมปีที่4 เสียงหัวใจเราก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆว่า ไม่ไหวแล้วนะ เหนื่อยแล้วนะ ใช่ค่ะเราไม่สามารถจำคันจิได้เลยเราพยายามจำมากกว่าครั้งก่อนๆก็ไม่ได้ผล ไม่มีอะไรเข้าสมองเราเลย และยิ่งกว่า เวลาเราสอบเสร็จถ้าได้คะแนนดีเราก็จะชอบไปบอกแม่ค่ะ แต่ตาของแม่จะมองที่โทรศัพท์แต่ปากจะพูดว่าดีแล้วหรือบางทีก็เงียบไปเลย มันเลยทำให้เราเริ่มคิดขึ้นอีกครั้ง ว่านี่เราทำเพื่ออะไรอยู่ ทุกคนอาจจะบอกว่า ก็ทำเพื่อตัวเองสิ อืม… พูดตรงๆถ้าให้ทำเพื่อตัวเองหนูคงไม่เลือกทางเดินนี้ค่ะ เพราะหนูไม่ได้อยากมาเรียนที่ต่างประเทศ หรือ เป็นเด็กอินเตอร์ หนูต้องการแค่ชีวิตเด็กธรรมดาเท่านั้น อยากสัมผัสโรงเรียนมัธยมไทยจริงๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตช่วงมัธยม คือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วค่ะ ใครๆก็อยากเก็บโมเม้นแบบนี้สักครั้งในชีวิตใช่ไหมคะ หรือบางคนอาจจะชอขประสบการณ์ชีวิตต่างประเทศแต่ก็นั้นแหละค่ะ เสียงของหัวใจของเราไม่เหมือนกัน มีหลายครั้งที่มองไปที่เพื่อนในห้องคุยกันแล้วดูมีความสุขกันมากๆหนูก็คิดค่ะว่า เออดีเนอะยิ้มคุยกันรู้เรื่องด้วย ในขณะที่ทุกคนในห้องนั่งขำกันหนูกลับเป็นคนเดียวที่ต้องนั่งจิตตกในห้องหนูกลัวมากค่ะ กลัวทุกอย่างเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ บางคนอาจจะถามว่า ตัวเองไม่ไปคุยกับเขาเองหรือเปล่า หนูคุยค่ะพยายามคุยมากๆ พยายามชวนกลับบ้านด้วยกันไหมหรือ เรามาคุยกันมั้ยฯ แต่ก็ทุกคนดูเกร็งเวลาคุยกับเราและรีบปฏิเสธและเดินหนี หนูก็ไม่ได้ยอมแพ้ค่ะชวนคุยเหมือนเดิมแต่ก็โดนตอบกลับเหมือนเดิม พยายามเข้าหาแบบไม่มากเกินไปก็เคยแล้วค่ะ จึงทำให้หนูเริ่มหมดไฟ มันมีความรู้สึกที่แย่มากในทุกๆเวลา ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำถามในหัวว่าวันนี้เราจะมีเรื่องไม่ดีไหมนะ ตอนกลางวันที่ต้องคิดว่า จบชั่วโมงนี้ไปแล้วชั่วโมงหน้าจะมีอะไร Surpriseไหม ตกเย็นก็นั่งคิดค่ะว่าวันนี่เราทำดีหรือยังตกดึกนั่งร้องไห้เพราะกลัวกับวันพรุ่งนี้ เป็นแบบนี้ทุกวันๆ ไม่มีแรงบัลดาลใจใช้ชีวิตเลย จึงทำให้หนูหลุดปากพูดกับแม่เมื่อวานไปค่ะ ว่าอยากกลับไทย ละก็เป็นเรื่องเลยค่ะ แม่หนูบอกว่า "แม่จะส่งข้อความหาเขาให้ทำเรื่องกลับไทยลาออกจากโรงเรียนเลย จะได้กลับไปใช้ชีวิตที่ไทยอย่างต้องการ แล้วต่อไปอย่าถามหาอนาคตดีๆ ถ้าอยากมีก็ต้องสู้เอากับสังคมประเทศไทย  แม่ไม่มีอะไรจะพูดต่อ เหนื่อย" ใช่ค่ะ หนูก็รู้สึกเจ็บๆใจนิดนึง ที่ป้ากับยายก็พูดว่า กลับมาแล้วใครจะเลี้ยง จุกไปหมดเลยค่ะ55555 ในตอนที่เราท้อจิตใจเราแย่แต่ทุปคนหันหลังให้บางทีคนเราอาจจะแค่ต้องการคำว่า“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราดูแลเอง” แต่ถ้ากลับไปแน่นอนค่ะว่าหนูไม่ค่อยมีเงินใช้ ถ้าอยู่ญี่ปุ่นต่อก็อาจจะมีใช้แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเราจะรับมันไหวมั้ยย ถ้าเป็นพี่ๆทุกคนจะเลือกทางไหนคะ ชีวิตที่คนอื่นภูมิใจหรือชีวิตที่ตัวเองภูมิใจ
**ถ้าผิดไปก็อย่าด่าหนูเยอะเลยนะคะแต่เตือนได้ค่ะขอบคุณค่ะ🥹**

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่