ตะกอนโตเกียว ตอนที่4 "ข้าวผัด"

ตื่นลืมตาขึ้นมาเข็มนาฬิกาอยู่เลขสี่กว่า ๆ ถึงจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้แต่ก็ตื่นก่อนมันดัง ผมไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟันก่อนจะขึ้นรถไฟเข้าสู่ใจกลางเมืองในเที่ยวแรก ไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว แต่อากาศที่ไม่ร้อนไม่หนาวทำให้ไม่ค่อยมีเหงื่อให้เหนียวตัวมากนัก แต่คืนนี้นี่แหละที่ผมจะได้อาบน้ำสักที

ข้างนอกมีฝนโปรยปราย ซ้อนทับบ้านเมืองที่ค่อย ๆ ผ่านสายตาผมไปผ่านกระจกบนรถไฟที่กำลังทอดยาว ผมเลือกนั่งKeisei Main Line แบบถูกที่สุด พูดให้ดูหล่อก็คงเพราะผมตื่นเช้าแถมขึ้นรถไฟเที่ยวแรกเลยไม่ต้องรีบร้อนอะไร แต่ให้พูดตามความจริงก็งกนั่นแหละ

ผมนั่งยาวมาลงที่สถานีอาซาคุซะ(Asakusa station) พร้อมแผนที่เปลี่ยนเพราะซากุระยังไม่บานดี ทำให้วันนี้ผมมีแผนใหม่ที่หลวมไม่ต้องเร่งรีบ เวลาเจ็ดโมง เป็นเช้าที่มองไม่ค่อยเห็นโตเกียวสกายทรี เพราะเมฆหมอกที่ปกคลุมจากฝนที่กำลังค่อย ๆ ตกอย่างเปาะแปะ ด้วยความที่มาถึงเช้า สถานที่หลาย ๆ จุดยังไม่เปิด พอเริ่มไร้จุดหมาย สถานที่ที่ผมนึกออกที่จะไปเยี่ยมเยียนได้ตอนนี้คือวัดอาซาคุสะ(Senso-ji)

ผมเคยมาที่นี่แล้วเมื่อคราวที่ผมมาญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน ใครมาโตเกียวครั้งแรก ก็ควรมาให้ถึงวัดนี้ ถึงจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยอะ แต่ชาวญี่ปุ่นเองก็เยอะเช่นกัน เป็นสถานที่ที่คนต่างชาติจะได้เห็นวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจนและเข้าถึงได้ง่ายที่สุดเท่าที่ผมจะนึกออก
ห้าปี เหมือนจะนาน แต่คงยังไม่นานพอที่จะทำให้ผมเห็นว่าที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากนัก ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่ผมก็ชอบที่มันเหมือนเดิมแบบนี้นะ มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกในชีวิตที่ผมตัดสินใจเดินทางออกมาต่างประเทศ

ถนนคนเดินที่ยังมีเพียงไม่กี่ร้านที่เปิด ผมยืนอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำในวัดเพื่อหลบฝนที่กำลังตก พลางดูนาฬิกาว่าผมควรจะไปต่อตอนกี่โมงดี
เดินไปเรื่อยเปื่อย ต้นไม้ในสวนสุมิดะยังคงเป็นกิ่งก้านรอการผลิบาน เวลาเก้าโมงกว่า ๆ ผมเดินกลับไปสถานีอาซาคุซะอีกครั้ง มีร้านอาหารที่ผมอยากไป ผมดูตารางรถไฟที่กำลังงง ๆ ว่าควรไปขึ้นที่ชานชะลาไหน ปกติผมจะไม่ค่อยงงเรื่องการขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่น แต่เพราะมีการดีเลย์ จากฝนที่เริ่มตกหนัก และสายรถไฟที่เยอะทำให้สับสนเวลาจนทำให้ผมต้องพึ่งพาเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เขาจดโน้ตและฉีกให้ผมไปขึ้นตามชานชะลาและเวลานี้ ผมเข้าใจทันทีและกล่าวขอบคุณก่อนผมโดดขึ้นรถไฟเพื่อไปยังสถานีมัตสึฮิได(Matsuhidai station)

ทำไมผมถึงอยากมาร้านนี้นะเหรอ เพราะสาวครับ...

ก่อนที่ผมจะมีทริปนี้ ผมเคยเห็นพวกเธอในReels เป็นผู้หญิงสองคน ถือชามข้าวผัดพร้อมโบกมือทักทายกล้องดูอัธยาศัยดี ต่อด้วยฉากที่พวกนางกำลังผัดข้าวอย่างแข็งขันเทใส่ชามพูน ๆ โป๊ะด้วยเนื้อชิ้นโตดูน่ากิน ซึ่งตอนแรกที่ผมดูก็คิดในใจว่าเป็นคลิปสาวทำอาหารที่ธรรมดา ๆ แต่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ในแบบญี่ปุ่นอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งมีทริปนี้แล้วคลิปนั้นเด้งขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้คิดว่าจะถึงขั้นไปหาแต่อย่างใด ผมเลยตั้งคำถามในใจขึ้นมา พวกนางคือใคร ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ไหน แล้วเราสามารถไปได้หรือเปล่า

ร้านนี้มีชื่อว่า ร้านอาหารจีน ตง ตง ผู้จัดการร้านปัจจุบันคือหนึ่งในสาวสวยในคลิปที่มีชื่อว่า โฮโนกะ อิเคดะ(Honoka Ikeda) แรกเริ่มเดิมที่บริหารโดยคุณปู่ของเธอ แต่ปู่ของเธอตอนนั้นเป็นมะเร็ง ทำให้พ่อแม่ของเธอมีความคิดว่าอาจจะต้องปิดร้านนี้ แต่ด้วยความที่น้องโฮโนกะเองมีความผูกพันและความทรงจำกับคุณปู่และร้านนี้ ทำให้น้องตัดสินใจขอพ่อแม่บริหารร้านนี้แทนคุณปู่

สาวสวยอีกคนมีชื่อว่า เจนเจน(Jenjen) เป็นเพื่อนสาวชาวไต้หวันของน้องโฮโนกะที่ชักชวนมาทำร้านอาหารแห่งนี้ด้วยกัน แต่เส้นทางก็ไม่ได้เรียบง่าย ฝีมือการทำอาหารของน้องทั้งสองยังไม่ดีเด่นพอที่จะทำขายใครได้ คนในละแวกก็รู้สึกถึงรสชาติที่เปลี่ยนไป ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มเทร้านนี้ น้องต้องฝึกฝีมือโดยการสอนจากเชฟมืออาชีพอย่างหนัก

เมื่อผ่านการฝึกฝนฝีมือ แต่อุปสรรคใหม่ก็มาเยือนคือการมาของโควิด-19 ที่ทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ยังคงซบเซา น้องปิ๊งไอเดียที่จะใช้ช่องทางSNS ในการโปรโมทร้าน น้องเริ่มใช้ความสวยของตัวเองเริ่มทำTikTok และReels จนร้านเริ่มโด่งดัง มีรายการทีวีติดต่อเข้ามามากมาย กลายเป็นร้านอาหารไวรัลอยู่พักนึงเลย

น้องโฮโนกะสวยขนาดไหน ก็ระดับที่ดังไปถึงเกาหลีเพราะน้องหน้าคล้าย มินจี วงNewJeans เลยทีเดียว

น้องเจนเจนก็น่ารัก พ่อของนางเป็นนักเบสบอลที่แฟนคลับเยอะ ลูกค้าบางส่วนที่มากินข้าวที่ร้านนี้ก็เพื่อมาให้กำลังใจลูกสาวของนักเบสบอลที่ตัวเองชื่นชอบ

ลองดูเส้นทางรถไฟจากกูเกิ้ลแมพ จากสถานีอาซาคุซะสามารถไปถึงได้ในต่อเดียว แม้จะค่อนข้างไกลเพราะต้องข้ามไปจังหวัดชิบะ แต่ก็สะดวกพอที่จะทำให้ผมมายืนอยู่หน้าร้านได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

หลังจากที่วิ่งลุยฝนมายืนอยู่หน้าประตูร้าน ผมเปิดประตูโดยที่ตัวเปียกนิดหน่อย คนที่ยืนต้อนรับลูกค้าไม่ใช่ใครอื่น น้องโฮโนกะ อิเคดะ ที่ผมอยากเจอตัวเป็น ๆ กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างกับในคลิป หลังจากที่น้องกล่าวอิรัชไชมาเสะ(ยินดีต้อนรับ) ผมมองหาที่นั่งที่เหมาะกับผมที่มาคนเดียว ซึ่งมีโต๊ะว่างสำหรับมาเป็นกลุ่มคนอยู่หลายโต๊ะ กับที่นั่งแบบแถวยาวที่เว้นว่างอยู่หนึ่งที่พอดี ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้เกรงใจ จะไปนั่งโต๊ะใหญ่แต่นั่งคนเดียวก็กลัวจะไม่เหมาะสม ผมเลยคิดจะไปแทรกตัวกับหนุ่ม ๆ ที่นั่งกินกันอยู่เงียบ ๆ แต่ก่อนหย่อนก้น น้องอิเคดะ เดินเอาแก้วน้ำ และผ้าสองถึงสามผืนที่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นผ้าเช็ดมือ หรือน้องตั้งใจให้ผมเช็ดหัวที่เปียกชุ่มเพราะฝน หลังจากน้องพูดภาษาญี่ปุ่นที่ผมไม่เข้าใจเลยบอกน้องไปว่า ไทยแลนด์โดะ คาระ คิมาชิตะ(มาจากประเทศไทยครับ) น้องทำหน้าอ้อแล้วพูดว่า อัมเบรลล่า พร้อมทำท่าถือร่มที่ผมเข้าใจว่าน้องคงหมายถึงว่าไม่มีร่มมาเหรอ ซึ่งร่มที่ผมพกมาติดอยู่ในกระเป๋าที่ดันฝากไว้ที่ล็อคเกอร์แถวสถานีอาซาคุซะเพราะไม่อยากแบกกระเป๋าหนัก เลยทำได้แค่บอกกับน้องไปว่าผมลืม และผ้าในมือผมน่าจะมาจากความหวังดีของน้องที่อยากให้ผมเช็ดหัวหน่อย กลัวผมเป็นหวัดแหละ เขินเลย ตากฝนก็ทำให้เจอเรื่องดีต่อใจได้เหมือนกันนะ

ผมนั่งทำตัวเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองไปด้านหน้าเป็นครัวที่น้องเจนเจนกำลังทำอาหารอย่างขะมักเขม้น อยากจะโบกมือทักทายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปรบกวน ผมมองดูเมนูไปพลางแต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะกินอะไร ผมเรียกน้องโฮโนกะพร้อมชี้เมนูข้าวผัดหมูแฮมเบิร์กตามในคลิปที่ผมเคยเห็น น้องรับออเดอร์และส่งต่อออเดอร์ให้ในครัว เป็นภาพปกติที่เห็นได้ตามร้านอาหารทั่วไป

ระหว่างรออาหาร ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ มีลายเซ็นคนดัง รูปถ่ายจากรายการทีวีที่เคยมาติดอยู่รอบร้าน พร้อมมีป้ายที่บอกว่าสามารถถ่ายรูปกับน้องได้โดยการขออนุญาตก่อน ไม่สามารถถ่ายบริเวณรอบ ๆ ได้จากเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวของลูกค้าท่านอื่น ผมเข้าใจดี และจะรวบรวมความกล้าเก็บไว้ขอถ่ายเซลฟี่กับน้องหลังกินเสร็จ

น้องโฮโนกะเอาข้าวผัดชามใหญ่โป๊ะหมูแฮมเบิร์กมาเสิร์ฟพร้อมน้ำซุป ผมที่ยังคงหนาวสั่นจากฝนแต่อาหารร้อน ๆ มื้อนี้ก็ช่วยผมได้เยอะ หมูแฮมเบิร์กชิ้นใหญ่ที่มันฉ่ำ ผมราดซอสมะเขือเทศเพิ่มความหวาน ตักพร้อมกับข้าวที่ผัดกับไข่ ให้ความรู้สึกแปลกลิ้นแต่ก็อร่อยใช่ย่อย ผมค่อย ๆ กินทีละคำจนรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ทำให้ผมเริ่มอิ่มมากหลังครึ่งชามที่เหลือ ชามที่ใหญ่และปริมาณเยอะตามสไตล์ญี่ปุ่นทำให้เกือบกินไม่หมดเลยทีเดียว

ผมนั่งดื่มน้ำหลังกินข้าวหมดอยู่พักนึง รอจังหวะที่ลูกค้าน้อย ผมลุกขึ้นเดินเพื่อจ่ายเงินค่าอาหาร พร้อมขอน้องโฮโนกะถ่ายรูปเซลฟี่เป็นที่ระลึก แต่สิ่งที่ทำผมดีใจปนประหลาดใจคือน้องเจนเจนที่เข้าเฟลมมาถ่ายรูปด้วย ทำให้ผมมองว่าน้องเจนเจนคงอยากแสดงความขอบคุณที่สนับสนุนน้องจนมาถึงที่ร้านนี้ ผมเคยทำงานร้านอาหาร ทำให้เข้าใจหัวอกคนทำงานในครัวว่าตอนยุ่งมันก็ยุ่งจนหัวหมุนจริง ๆ แต่น้องก็ยังรีบวิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมาถ่ายรูปด้วยแบบให้ผมประทับใจโดยไม่ทันตั้งตัว



ผมเดินออกจากร้านหลังจากที่เราต่างก้มหัวและขอบคุณซึ่งกันและกัน ภาวนาให้เส้นทางของเด็ก ๆ ทั้งสองคนราบรื่นและเปี่ยมไปด้วยความหวัง ส่วนเรื่องราวของเราก็จบลงตรงนั้น น้อง ๆ จะลืมผมไปเหมือนฝนที่กำลังเริ่มซา

เหลือเพียงความประทรงจำที่จะตราตึงอยู่ในหัวใจของผมคนเดียวตลอดไป

ปล. ณ ปัจจุบันน้องโฮโนกะได้แยกตัวออกจากร้านมาทำด้านบันเทิงเต็มตัวแล้วนะครับ ถ้าใครไปก็จะเจอแต่น้องเจนเจนนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่