JJNY : ฝนสะเมิงหนักเกิน 100 มม.│ฝนกระหน่ำเชียงใหม่ น้ำป่าหลา│สภาพัฒน์ชี้ไทยติดกับดัก│พายุในปากีสถานทำคนเจ็บ-ตายกว่า 50

ฝนสะเมิงหนักเกิน 100 มม. ไหลเร็ว-แรง 2 อุทยานฯ เตือนปชช.เตรียมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน
https://www.matichon.co.th/region/news_5198762
.
.
ฝนสะเมิงหนักเกิน 100 มม. ไหลเร็ว-แรงสู่ที่ต่ำ 2 อุทยานฯ เตือนปชช.เตรียมรับมือน้ำท่วมฉับพลัน
.
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 นายทวีวรรธน์ แดงมณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติขุนขาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนลุ่มน้ำแม่โต๋ ลุ่มน้ำบ่อแก้ว และลุ่มน้ำแม่ขาน ว่าสถานการณ์น้ำฝนและระดับน้ำในพื้นที่เพิ่มขึ้น จากอิทธิพลของฝนตกต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 24–25 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนสะสมในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และระดับน้ำในลำน้ำแม่โต๋ น้ำบ่อแก้ว และน้ำแม่ขานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณน้ำฝน บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติขุนขาน 90 มิลลิเมตร ถ้ำหลวงแม่สาบ 120 มิลลิเมตร หน่วยพิทักษ์ฯที่ขข.1 (ซูซาน) 110 มิลลิเมตร หน่วยพิทักษ์ฯที่ขข.2 (อมลอง) 134 มิลลิเมตร และจุดสกัดบ่อแก้ว – วัดจันทร์ 55 มิลลิเมตร จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
.
ในขณะที่ นายรวมพล พานิกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติออบขาน ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ออกประกาศแจ้งเตือนราษฎรท้ายน้ำ ลำน้ำขาน ตั้งแต่บ้านห้วยโท้ง ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง ลงไป เฝ้าระวัง เพราะระดับน้ำที่ผ่านหน้าอุทยานยังสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีมวลน้ำจากทาง อ.สะเมิง ไหลลงมาเติม
ในขณะที่จังหวัดเชียงใหม่ยังคงมีฝนตกหนักตลอดทั้งคืนจนกระทั่งสายวันนี้ ที่ปริมาณน้ำฝนซาลงแต่ยังคงลงเม็ดโปรยปราย ท้องฟ้ามืดครึ้ม เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำและจุดที่น้ำไม่สามารถระบายลงท่อได้ทัน
.

.
ฝนกระหน่ำเชียงใหม่ น้ำป่าหลาก เฝ้าระวังน้ำท่วม อช.ออบขาน สั่งปิดพื้นท่องเที่ยว
.
ชลประทานเชียงใหม่ เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด จากฝนตกติดต่อกันหลายวัน โดยเฉพาะลำน้ำขานที่น้ำป่าไหลหลาก ด้านอุทยานแห่งชาติออบขาน ประกาศปิดพื้นที่ท่องเที่ยว-พักแรม
.
8 ซึ่งรับผิดชอบในการบริหารจัดการประตูระบายน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำ ในแต่ละพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ เน้นย้ำให้เตรียมควมพร้อมเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม การประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคูคลอง ท่อระบายน้ำ
.
จัดทำแนวป้องกันและแผนติดตั้งเครื่องสูบน้ำไว้เป็นการล่วงหน้า หากเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ ระดมทรัพยากร เผชิญเหตุ ปิดกั้นพื้นที่ โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ทุกหน่วยงาน เพื่อจะได้เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้ทันท่วงที รวมทั้งการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ก็ให้พิจารณาความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเป็นหลักสำคัญด้วย โดยให้รายงานสถานการณ์ให้ทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อวางแผนในการเตรียมความพร้อมป้องกันและการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ
.
ด้านอุทยานแห่งชาติออบขาน ที่ได้ออกมาแจ้งเตือนให้ราษฎรที่อยู่ท้ายลำน้ำขาน ตั้งแต่บ้านห้วยโท้ง ต.น้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เฝ้าระวัง เนื่องมีระดับน้ำที่ผ่านหน้าอุทยานแห่งชาติสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมวลน้ำจากทาง อ.สะเมิง ไหลลงมาสมทบ
.
ซึ่งในเรื่องนี้ได้สั่งการให้ นางสาวชลมาศ ทองคำ หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 6 โครงการชลประทานเชียงใหม่ เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่อย่างเร่งด่วนแล้ว เบื้องต้นพบว่า มีน้ำป่าไหลหลาก แต่ลำน้ำขานยังไม่ถึงวิกฤติ โดยที่สถานีวัดน้ำ​ ST.02 (P.71A) ​บ้านกลาง​ ต.บ้านกลาง​ อ.สันป่าตอง​ เชียงใหม่​ วัดค่าได้​ 3.20 ค่าระดับวิกฤติ​ 4.80 ในขณะที่น้ำแม่วาง​ สถานีวัดน้ำ P.84 บ้านพันตน​ ต.ทุ่งปี้​ อ.แม่วาง​ วัดระดับได้ 1.28 เมตร ระดับวิกฤติอยู่ที่ 4.00 เมตร จากคืนวันที่​24 พค 2568 ที่ผ่านมา​ มีฝนตกหนัก​ ทำให้น้ำแม่วาง​ ยกระดับสูงขึ้น​ ยังอยู่​ในเกณ​ฑ์ปลอดภัย​ หตุการณ์​ปรกติ​ ซึ่งได้มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแล้ว
.
ทั้งนี้ ได้เตรียมความพร้อมรับมือด้วยการเตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ 59 เครื่องและประสานเครื่องจักรจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงติดตั้งเครื่องตรวจวัดปริมาณน้ำฝน และระดับน้ำในแม่น้ำสายต่างๆ เพิ่ม ซึ่งจะสามารถส่งข้อมูลมาประมวลใช้ในการแจ้งเตือนและป้องกันช่วยเหลือประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ด้าน นายรวมพล  พานิกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติออบขาน ต.น้ำแพร่ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ ได้ออกประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์แม่น้ำขาน  ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติออบขาน ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางอุทยานฯ ขณะเดียวกันได้แจ้งเตือนประชาชนลุ่มน้ำขานเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะ อ.สันป่าตอง และ อ.แม่วาง  ระดับน้ำที่ผ่านหน้าอุทยานยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากมีมวลน้ำจากทาง อ.สะเมิง ไหลลงมาเติม
.

.
สภาพัฒน์ ชี้ไทยติดกับดัก 'ส่งออกเพิ่ม-ผลิตลด' อุตสาหกรรมไม่ฟื้น
.
แม้การส่งออกของไทยจะกลับมาขยายตัวได้แต่การผลิตไทยไม่โต สะท้อนขาดการเพิ่มมูลค่าและการผลิตในประเทศ ทำให้ภาคอุตสาหกรรมหดตัว สภาพัฒน์แนะเร่งเพิ่ม Local Content
.
• แม้ว่าการส่งออกขยายตัวแต่การผลิตไทยชะลอตัว ปี 2567 การส่งออกไทยโต 5.8% แต่ภาคอุตสาหกรรมยังหดตัวต่อเนื่อง เป็นสัญญาณว่าอุตสาหกรรมไทยผลิตเพื่อส่งออกน้อยลงหรือพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น
• ผลกระทบจากจีนและสหรัฐฯ: การแข่งขันด้านราคาจากสินค้านำเข้าจีน และมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME
• มูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น: สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากในประเทศ (Domestic Value-Added) ลดลง ขณะที่สัดส่วนจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีนกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
• สภาพัฒน์ชี้ว่ารัฐควรส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local content) อย่างน้อย 40% ในกลุ่มที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI และเร่งพัฒนาเทคโนโลยี-นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผู้ประกอบการไทย
.
การส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) กว่า 70%  
โดยปกติแล้วหากการส่งออกมีการขยายตัวมากการผลิตในประเทศก็จะเพิ่มขึ้น ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้กับสวนทาง เพราะแม้การส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้นแต่ภาคการผลิตของไทยยังคงอ่อนแอสะท้อนปัญหาเชิงโครงการสร้างการผลิตที่ขาดการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศเพื่อส่งออก
.
จากข้อมูลเรื่อง "มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกสินค้าไทย: กับดักและความท้าทายทางเศรษฐกิจ" ที่จัดทำโดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการส่งออก โดยเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรมซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยมาโดยตลอด
ส่งออกโตได้แต่การผลิตในประเทศกลับหดตัว
.
อย่างไรก็ตาม สัญญาณล่าสุดที่ปรากฏกลับสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในปี 2567 แม้มูลค่าการส่งออกจะสามารถขยายตัวได้ถึง 5.8% แต่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการส่งออกสินค้าไม่ได้ขับเคลื่อนผ่านภาคการผลิตในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม
.
สศช.ชี้ว่าสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของการผลิตในหมวดยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน โดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับต่ำ สถานการณ์ดังกล่าวยังคงดำเนินต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2568 แม้มูลค่าการส่งออกขยายตัวได้สูงถึง15% แต่การผลิตอุตสาหกรรมกลับเติบโตเพียง 0.6% ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการฟื้นตัวอย่างไม่สมดุลระหว่างภาคการค้าและการผลิต
.
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่าในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักโดยในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 60.93% แม้จะสูงกว่า 57.72% ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่า 61.05% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นไปได้ว่าการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตของไทยในไตรมาสที่ผ่านมามาจากการเร่งการนำเข้าของประเทศสหรัฐฯก่อนที่จะมีการครบกำหนดการผ่อนคลายเก็บภาษีนำเข้า ทำให้มีการเร่งผลิตเพื่อส่งออก ทำให้การใช้กำลังการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแค่การเพิ่มขึ้นแค่ชั่วคราว
.
โดยในไตรมาสที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการผลิตสำคัญ 30 รายการ มีอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการใช้กำลังการผลิตสูงกว่า 80% จำนวน 3 รายการ ได้แก่ การผลิตน้ำตาล  101.86% การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม 89.39% และการผลิตพลาสติกและยาง สังเคราะห์ขั้นต้น  81.54% ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตที่มีการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่า 50.00% จำนวน 9 รายการ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก 49.35% การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง  49.34% และการผลิตเหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน 48.25%
.
ทั้งนี้ในรายงานของ สศช.ยังระบุว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา รวมถึงการไหลเข้ามาของสินค้าจากจีนในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบและสินค้าชั้นกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกกว่าอย่างรุนแรง
.
โดยในรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลมูลค่าเพิ่มทางการค้า (Trade Value-Added) โดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ผ่านตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตหลายภูมิภาค (MRIO) ชี้ให้เห็นว่าในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนมูลค่าเพิ่มในประเทศ (Domestic Value-Added) จากการส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ในขณะที่สัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศ (Foreign Value-Added) โดยเฉพาะจากประเทศจีน กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในบางกลุ่มอุตสาหกรรมไทยกลับพึ่งพามูลค่าเพิ่มจากต่างประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งของกระบวนการผลิต ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์เคมี โลหะพื้นฐาน และเครื่องจักรกล
.
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมไทยที่ยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเพียงพอภายในประเทศ ทั้งยังมีแนวโน้มต้องพึ่งพาการนำเข้าปัจจัยการผลิตจากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขาดความยั่งยืนในระยะยาว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่