ประกาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ฉบับที่ 30/2568
เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคใต้
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศพบว่า มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ตอนบน ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ สทนช. ได้ประเมินวิเคราะห์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายน้ำไม่ทัน ในช่วงวันที่ 17 – 22 พฤศจิกายน 2568 ดังนี้
1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน บริเวณ จังหวัดชุมพร (อำเภอสวี ทุ่งตะโก พะโต๊ะ ละแม และหลังสวน)
จังหวัดสุราษฎร์ธานี (อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ชัยบุรี พระแสง เวียงสระ กาญจนดิษฐ์ ดอนสัก บ้านนาสาร ท่าฉาง และเกาะสมุย และเกาะพงัน) จังหวัดภูเก็ต (อำเภอเมืองภูเก็ต กะทู้ และถลาง)
จังหวัดนครศรีธรรมราช (อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เชียรใหญ่ ชะอวด หัวไทร เฉลิมพระเกียรติ ปากพนัง พระพรหม สิชล นบพิตำ ท่าศาลา ขนอม และช้างกลาง)
จังหวัดตรัง (อำเภอเมืองตรัง ห้วยยอด นาโยง ปะเหลียน และย่านตาขาว)
จังหวัดพัทลุง (อำเภอกงหรา ตะโหมด ป่าบอน ศรีนครินทร์ ศรีบรรพต และป่าพะยอม)
จังหวัดสตูล (อำเภอเมืองสตูล ควนโดน ควนกาหลง และท่าแพ)
จังหวัดสงขลา (อำเภอเมืองสงขลา ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ สิงหนคร รัตภูมิ บางกล่ำ ควนเนียง หาดใหญ่ คลองหอยโข่ง สะเดา นาหม่อม จะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย)
จังหวัดปัตตานี (อำเภอเมืองปัตตานี หนองจิก โคกโพธิ์ แม่ลาน ยะรัง ยะหริ่ง มายอ ทุ่งยางแดง ปะนาเระ กะพ้อ สายบุรี และไม้แก่น)
จังหวัดยะลา (อำเภอเมืองยะลา กาบัง ยะหา กรงปินัง รามัน บันนังสตา และธารโต)
จังหวัดนราธิวาส (อำเภอเมืองนราธิวาส บาเจาะ รือเสาะ ยี่งอ ศรีสาคร ระแงะ ตากใบ เจาะไอร้อง จะแนะ สุคิริน สุไหงปาดี สุไหงโก-ลก และแว้ง)
2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกักบริเวณ จังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ และอ่างเก็บน้ำที่มีสถิติปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าความจุเก็บกัก ซึ่งมีความเสี่ยงน้ำล้นอ่างฯ และส่งผลกระทบให้น้ำท่วมบริเวณด้านท้ายน้ำ
3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำหลังสวน แม่น้ำตาปี คลองชะอวด คลองลำ คลองท่าแนะ แม่น้ำตรัง แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี
ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ
2. ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม ปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และอิทธิพลของการขึ้น–ลง ของน้ำทะเล โดยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก
3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที
4. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568
เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคใต้ ช่วง 17 - 22 พฤศจิกายน 2568
ฉบับที่ 30/2568
เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในพื้นที่ภาคใต้
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศพบว่า มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ตอนบน ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ สทนช. ได้ประเมินวิเคราะห์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก ดินโคลนถล่ม ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เนื่องจากระบายน้ำไม่ทัน ในช่วงวันที่ 17 – 22 พฤศจิกายน 2568 ดังนี้
1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน บริเวณ จังหวัดชุมพร (อำเภอสวี ทุ่งตะโก พะโต๊ะ ละแม และหลังสวน)
จังหวัดสุราษฎร์ธานี (อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ชัยบุรี พระแสง เวียงสระ กาญจนดิษฐ์ ดอนสัก บ้านนาสาร ท่าฉาง และเกาะสมุย และเกาะพงัน) จังหวัดภูเก็ต (อำเภอเมืองภูเก็ต กะทู้ และถลาง)
จังหวัดนครศรีธรรมราช (อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เชียรใหญ่ ชะอวด หัวไทร เฉลิมพระเกียรติ ปากพนัง พระพรหม สิชล นบพิตำ ท่าศาลา ขนอม และช้างกลาง)
จังหวัดตรัง (อำเภอเมืองตรัง ห้วยยอด นาโยง ปะเหลียน และย่านตาขาว)
จังหวัดพัทลุง (อำเภอกงหรา ตะโหมด ป่าบอน ศรีนครินทร์ ศรีบรรพต และป่าพะยอม)
จังหวัดสตูล (อำเภอเมืองสตูล ควนโดน ควนกาหลง และท่าแพ)
จังหวัดสงขลา (อำเภอเมืองสงขลา ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ สิงหนคร รัตภูมิ บางกล่ำ ควนเนียง หาดใหญ่ คลองหอยโข่ง สะเดา นาหม่อม จะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย)
จังหวัดปัตตานี (อำเภอเมืองปัตตานี หนองจิก โคกโพธิ์ แม่ลาน ยะรัง ยะหริ่ง มายอ ทุ่งยางแดง ปะนาเระ กะพ้อ สายบุรี และไม้แก่น)
จังหวัดยะลา (อำเภอเมืองยะลา กาบัง ยะหา กรงปินัง รามัน บันนังสตา และธารโต)
จังหวัดนราธิวาส (อำเภอเมืองนราธิวาส บาเจาะ รือเสาะ ยี่งอ ศรีสาคร ระแงะ ตากใบ เจาะไอร้อง จะแนะ สุคิริน สุไหงปาดี สุไหงโก-ลก และแว้ง)
2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกักบริเวณ จังหวัดระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กระบี่ และอ่างเก็บน้ำที่มีสถิติปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าความจุเก็บกัก ซึ่งมีความเสี่ยงน้ำล้นอ่างฯ และส่งผลกระทบให้น้ำท่วมบริเวณด้านท้ายน้ำ
3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งและท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำหลังสวน แม่น้ำตาปี คลองชะอวด คลองลำ คลองท่าแนะ แม่น้ำตรัง แม่น้ำปัตตานี และแม่น้ำสายบุรี
ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ
2. ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม ปรับการบริหารจัดการน้ำในแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก น้ำในลำน้ำ รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และอิทธิพลของการขึ้น–ลง ของน้ำทะเล โดยการเร่งระบายและพร่องน้ำรองรับสถานการณ์ฝนที่คาดว่าจะตกหนัก
3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที
4. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
ประกาศ ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568