การรีแบรนด์เศรษฐกิจชุมชนในบริบทประชานิยม: ผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจฐานราก ภูมิปัญญาท้องถิ่น และภาระหนี้สิน
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างจากนโยบายประชานิยมในช่วงรัฐบาลระหว่าง พ.ศ. 2544–2549 โดยมุ่งเน้นไปที่การรีแบรนด์ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ด้วย โครงการ OTOP กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน แม้นโยบายเหล่านี้จะมีจุดประสงค์เพื่อยกระดับเศรษฐกิจรากหญ้า แต่กลับก่อให้เกิดผลกระทบในทางตรงกันข้าม ได้แก่ การลดทอนความเป็นเจ้าของของชุมชน การบิดเบือนภูมิปัญญาท้องถิ่นให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์ และการเพิ่มขึ้นของหนี้สินในระดับครัวเรือน บทความเสนอว่าการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากล่างขึ้นบน โดยให้ชุมชนเป็นเจ้าของและผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาเอง
คำสำคัญ: ประชานิยม, เศรษฐกิจชุมชน, การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง, หนี้สินครัวเรือน, ภูมิปัญญาท้องถิ่น
1. บทนำ
การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเป็นกลยุทธ์สำคัญของรัฐไทยในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า โดยเฉพาะในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งเน้นการพึ่งพาทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐบาลประชานิยมระหว่างปี พ.ศ. 2544–2549 นโยบายเศรษฐกิจชุมชนได้ถูกรีแบรนด์ใหม่ในรูปของโครงการ OTOP กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างของการรีแบรนด์ดังกล่าว โดยมุ่งเน้นในสามมิติ ได้แก่
1) ความเป็นเจ้าของกิจการของชุมชน
2) บทบาทของภูมิปัญญาท้องถิ่น และ
3) ภาระหนี้สินในระดับครัวเรือน
2. กรอบแนวคิด
บทความนี้ใช้กรอบแนวคิด "การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง" (Self-reliant Development) ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการพัฒนา ควบคู่กับแนวคิด "ประชานิยม" (Populism) ซึ่งเป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อกระจายทรัพยากรหรือนโยบายตอบสนองประชาชนในระยะสั้น โดยมิได้คำนึงถึงโครงสร้างที่ยั่งยืน การเปรียบเทียบแนวคิดทั้งสองเปิดพื้นที่ให้วิเคราะห์ว่า กลไกของรัฐในนโยบายประชานิยมอาจบ่อนทำลายเป้าหมายของการพัฒนาจากฐานราก
3. การวิเคราะห์กรณีศึกษา
3.1 โครงการ OTOP: การสร้างภาพความสำเร็จภายใต้การรวมศูนย์อำนาจ
แม้โครงการ OTOP จะได้รับการส่งเสริมว่าเป็นนวัตกรรมชุมชนที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ในทางปฏิบัติกลับมีการรวมศูนย์อำนาจด้านงบประมาณและการบริหารไว้ในมือของรัฐหรือเครือข่ายทางการเมือง ผลิตภัณฑ์จำนวนมากไม่ได้สะท้อนภูมิปัญญาหรือวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง ขาดการพัฒนาเชิงคุณภาพ และไม่สามารถดำรงอยู่ได้เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ
3.2 กองทุนหมู่บ้าน: หนี้สินที่เกิดจากการขาดกลไกกำกับดูแล
กองทุนหมู่บ้านในหลายพื้นที่ดำเนินการปล่อยสินเชื่อโดยปราศจากกลไกประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ส่งผลให้เกิดการกู้เงินเพื่อการบริโภคมากกว่าการลงทุนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ งานวิจัยของ TDRI (2548) ชี้ว่าผู้กู้จำนวนมากถึงร้อยละ 58 ใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิม
3.3 ธนาคารประชาชน: กลไกสินเชื่อที่ไร้การเรียนรู้ทางการเงิน
แม้โครงการธนาคารประชาชนจะมีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงประชาชนระดับรากหญ้า แต่กลับไม่มีโครงสร้างรองรับในการให้ความรู้ทางการเงิน ส่งผลให้ประชาชนเป็นหนี้โดยไม่เข้าใจเงื่อนไขและภาระผูกพันในระยะยาว
4. ผลกระทบเชิงโครงสร้าง
การวิเคราะห์ในเชิงโครงสร้างชี้ให้เห็นผลกระทบในสามประการหลัก:
ความเป็นเจ้าของ: โครงการที่ดูเหมือนเป็นของชุมชน กลับอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐหรือกลุ่มอำนาจท้องถิ่น ทำให้ชาวบ้านขาดอำนาจในการกำหนด
ทิศทางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภูมิปัญญาท้องถิ่น: ถูกลดทอนเหลือเพียงสินค้าเพื่อการขาย ขาดการส่งเสริมให้เป็นกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดวัฒนธรรม
ภาระหนี้สิน: เกิดจากการใช้สินเชื่อโดยไม่ผ่านการเตรียมความพร้อม สร้างภาระระยะยาวที่ไม่ก่อให้เกิดการผลิตหรือสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
ยุติการรีแบรนด์เชิงประชานิยม และฟื้นฟูโครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่ชาวบ้านมีบทบาทเป็นเจ้าของจริง
ออกแบบระบบสินเชื่อที่มีความรอบคอบ โดยมีการประเมินความสามารถในการชำระหนี้และจัดอบรมความรู้ทางการเงิน
ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันในระดับชุมชน และสนับสนุนการรวมกลุ่มแบบเครือข่ายจากล่างขึ้นบน (bottom-up networking) เพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายใน
6. บทสรุป
แม้นโยบายประชานิยมในรูปแบบของการรีแบรนด์โครงการเศรษฐกิจชุมชนจะมีภาพลักษณ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในระยะสั้น แต่
ผลลัพธ์ในเชิงโครงสร้างกลับบ่อนทำลายเป้าหมายของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน บทความนี้เสนอว่าการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่แท้จริงควรตั้งอยู่บนหลักการของการพึ่งพาตนเอง การมีส่วนร่วมของชุมชน และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง
OTOP , กองทุนหมู่บ้าน และ ธนาคารประชาชน