สวัสดีค่ะ ช่วงที่เพิ่งผ่านการประกาศผล admission รอบ 3 ของ dek68 ที่ผ่านมานี้ทำให้เราเครียดเป็นอย่างมากเพราะลังเลและไม่รู้จะตัดสินใจไปทางไหนดี ขอเกริ่นก่อนนะคะ เราเป็น dek66 ที่อยากเข้า นิเทศ จุฬาฯ ปีเราตอนนั้นเป็นปีแรกที่ทปอ.เปลี่ยนข้อสอบจาก GAT/PAT เป็น TGAT/TPAT และเป็นปีที่คะแนนเฟ้อเป็นอย่างมาก เราหลุดทุกอันดับค่ะ ไม่โทษใครโทษตัวเราเองที่จัดแบบไม่คิดให้ดี ที่จริงเรารู้ตัวว่าอยากลองพักเรียนดูตั้งแต่หลังสอบ tgat เมื่อปี66 พอประกาศผล ก็ตัดสินใจพักเรียนได้แบบ 100% พ่อแม่ก็ให้ซิ่วแบบง่าย ๆ
จนมาปี 67 เรายังคงฝันเดิมอยากเรียนเกี่ยวกับนิเทศ ตอนนั้นเรารู้แล้วว่า นิเทศ ฬ คงเกินฝันถ้าเทียบกับคะแนนที่มีในตอนนั้น เราเลยมองหามหาวิทยาลัยอื่น หาไปหามาเรามาเจอนิเทศ ศิลปากร คะแนนเราถึง แต่พอไปศึกษาข้อมูล ทำให้เรารู้ว่าค่าเทอมนั้นแพงเกินที่เราจะรับไหว และด้วยความที่คณะ เรียนที่เมืองทองธานี ไม่มีหอใน ทำให้เราต้องตัดใจไม่เอาที่นี่ และตัดสินใจเลือกคณะที่เราอยากเรียนรองมาคือคณะเกี่ยวกับภาษา สุดท้ายปี 67 เราสอบติด มนุษย์ เอกปรัชญา มก บางเขน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถึงฝัน เพราะเราต้องสละสิทธิ์ ในปีนั้นครอบครัวเรามีปัญหาด้านการเงิน และพ่อเพิ่งมาบอกเราว่าขอให้หยุดเรียนไปก่อนวันที่ประกาศผล เราก็ยอมไป ที่จริงก็แอบเสียใจ แต่พอได้สติ ก็คิดในแง่ดีว่า ก็ยังเหลือเวลาอีกปีอาจจะเป็นเวลาที่ดีจะได้ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วได้ที่ที่ดีมากกว่านี้
และมาในปีนี้ ปี 68 เราออกมาทำงาน หาเงินใช้เองเพราะเมื่อปี67 เราทำได้แค่ช่วยงานพ่ออยู่บ้าน เวลาขอเงินเขาเราจะรู้สึกแย่ เพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่มีให้ พอเราเริ่มทำงานเองเราก็ไม่เคยขอเงินพ่อแม่เลย แต่อาจมีบ้างที่ขอเขาแบบอะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ปีนี้เราใช้เงินตัวเองเพื่อจ่ายค่าสอบ ค่าเดินทางสอบ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว พอชีวิตเรียนรู้โลกความเป็นจริง มันทำให้รู้ว่าเงินมันสำคัญขนาดไหนเราเริ่มมองหาคณะที่ตลาดต้องการและเราก็สนใจ การเลือกคณะเป็นการตัดสินใจจนวินาทีสุดท้ายของการยื่น admissions จริง ๆ ปีนี้เราเลือกแค่ 4 อันดับ 1.บัญชี มข(คณิต2) 2.บัญชี มข.(คณิต1) 3.บริหาร ลาดกระบัง 4.อักษร ศิลปากร(ใส่เพราะรู้ว่าคงไม่น่าหลุดถึง) สุดท้ายเราติด บริหาร ลาดกระบัง ถึงคะแนนมข.เราเกิน min ปีก่อนๆ แต่พอมข.เปลี่ยนเกณฑ์เราจึงหลุด พอติดเราก็ไปบอกพ่อ คราวนี้เขาบอกว่าแล้วแต่เรา แต่สิ่งที่ทำให้เราคิดมากก็คือ ที่จริงปีนี้เราอยากได้ บัญชี จุฬา ขอสารภาพว่าเราเตรียมตัวไม่ดีเอง เพราะจัดการเวลาทำงานกับอ่านหนังสือไม่ได้ แต่คะแนนโดยรวมมันก็ดีขึ้นมากว่าปีที่ผ่าน ๆ มา
เราอยากฟังความคิดเห็นของทุกคนหน่อยว่าเราควรทำยังไง 1.ถ้าไปเรียนเราก็จะต้องหางานทำต่อ เพราะไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่มาก เราคงหาทุนของคณะ กู้กยศ. อยู่หอใน 2.ซิ่วอยู่บ้าน ออกจากงานมาอ่านหนังสือแบบเต็มที่ เพราะตอนนี้เราเก็บเงินจากที่ทำงานได้อยู่ก้อนหนึ่งแต่ก็ไม่เยอะมาก
ถ้าเลือกแบบที่ 1 เรากลัวว่าเราจะทำทุกอย่างได้ไม่ดีพอ อย่างที่บอกยังไงเราก็ต้องทำงาน และถ้าเรียนมหาลัยควบไปด้วย ก็กลัวจะไม่เต็มที่กับการอ่านหนังสือ เพราะตอนนี้เราคิดว่าถ้าไปเรียนเราคงอยากซิ่วไป บัญชี จุฬา อยู่ดี
และถ้าเลือกแบบที่ 2 ปัญหาก็คือการซิ่วอยู่บ้านแบบเฉย ๆ เราเครียดจากครอบครัวมาก เพราะเรากับพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด เราอยู่กับปู่ย่ามาตลอด พอปี 66 ปู่เราเสีย เราเลยต้องย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ ตอนแรกมันเหมือนจะดี แต่พอได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ พ่อกับแม่มักไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ เราติดมหาลัยก็ไม่เคยมีครั้งไหนเขายินดีด้วยเลย ครั้งนี้ก็ด้วย เราอยากลองคุยกับเขาเรื่องการตัดสินใจครั้งนี้เหมือนกัน เพราะหลังจากที่ติดแล้ว เขาไม่เคยพูดถึงเลย และจากที่เราทำงานทำให้เวลาพ่อแม่และเราไม่ตรงกันเสมอ มันก็ผ่านมา 2 วันแล้วตั้งแต่ประกาศผล เราก็ยังไม่ได้คุยกับพ่อแม่สักที แต่เราอึดอัดไม่ไหวเป็นอย่างมาก ที่จริงเรากดยืนยันสิทธิ์ไปแล้ว แต่วันที่ 26 สามารถไปกดสละสิทธิ์ได้ และอีกอย่างเราบอกพ่อแม่ ญาติ เพื่อนสนิทไปแล้วว่าติดที่ไหนก็คงเรียน แต่ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกค่ะ กลัวเขาผิดหวังในตัวเราเลยพูดไปอย่างนั้น เลยอยากระบายและขอคำปรึกษาจากทุกความคิดเห็นค่ะ
ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
Gap year อยู่บ้านมา 2 ปี ปีนี้ติดมหาลัยควรไปเรียนดีไหม?
จนมาปี 67 เรายังคงฝันเดิมอยากเรียนเกี่ยวกับนิเทศ ตอนนั้นเรารู้แล้วว่า นิเทศ ฬ คงเกินฝันถ้าเทียบกับคะแนนที่มีในตอนนั้น เราเลยมองหามหาวิทยาลัยอื่น หาไปหามาเรามาเจอนิเทศ ศิลปากร คะแนนเราถึง แต่พอไปศึกษาข้อมูล ทำให้เรารู้ว่าค่าเทอมนั้นแพงเกินที่เราจะรับไหว และด้วยความที่คณะ เรียนที่เมืองทองธานี ไม่มีหอใน ทำให้เราต้องตัดใจไม่เอาที่นี่ และตัดสินใจเลือกคณะที่เราอยากเรียนรองมาคือคณะเกี่ยวกับภาษา สุดท้ายปี 67 เราสอบติด มนุษย์ เอกปรัชญา มก บางเขน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ถึงฝัน เพราะเราต้องสละสิทธิ์ ในปีนั้นครอบครัวเรามีปัญหาด้านการเงิน และพ่อเพิ่งมาบอกเราว่าขอให้หยุดเรียนไปก่อนวันที่ประกาศผล เราก็ยอมไป ที่จริงก็แอบเสียใจ แต่พอได้สติ ก็คิดในแง่ดีว่า ก็ยังเหลือเวลาอีกปีอาจจะเป็นเวลาที่ดีจะได้ตั้งใจอ่านหนังสือแล้วได้ที่ที่ดีมากกว่านี้
และมาในปีนี้ ปี 68 เราออกมาทำงาน หาเงินใช้เองเพราะเมื่อปี67 เราทำได้แค่ช่วยงานพ่ออยู่บ้าน เวลาขอเงินเขาเราจะรู้สึกแย่ เพราะเรารู้ว่าเขาจะไม่มีให้ พอเราเริ่มทำงานเองเราก็ไม่เคยขอเงินพ่อแม่เลย แต่อาจมีบ้างที่ขอเขาแบบอะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ปีนี้เราใช้เงินตัวเองเพื่อจ่ายค่าสอบ ค่าเดินทางสอบ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว พอชีวิตเรียนรู้โลกความเป็นจริง มันทำให้รู้ว่าเงินมันสำคัญขนาดไหนเราเริ่มมองหาคณะที่ตลาดต้องการและเราก็สนใจ การเลือกคณะเป็นการตัดสินใจจนวินาทีสุดท้ายของการยื่น admissions จริง ๆ ปีนี้เราเลือกแค่ 4 อันดับ 1.บัญชี มข(คณิต2) 2.บัญชี มข.(คณิต1) 3.บริหาร ลาดกระบัง 4.อักษร ศิลปากร(ใส่เพราะรู้ว่าคงไม่น่าหลุดถึง) สุดท้ายเราติด บริหาร ลาดกระบัง ถึงคะแนนมข.เราเกิน min ปีก่อนๆ แต่พอมข.เปลี่ยนเกณฑ์เราจึงหลุด พอติดเราก็ไปบอกพ่อ คราวนี้เขาบอกว่าแล้วแต่เรา แต่สิ่งที่ทำให้เราคิดมากก็คือ ที่จริงปีนี้เราอยากได้ บัญชี จุฬา ขอสารภาพว่าเราเตรียมตัวไม่ดีเอง เพราะจัดการเวลาทำงานกับอ่านหนังสือไม่ได้ แต่คะแนนโดยรวมมันก็ดีขึ้นมากว่าปีที่ผ่าน ๆ มา
เราอยากฟังความคิดเห็นของทุกคนหน่อยว่าเราควรทำยังไง 1.ถ้าไปเรียนเราก็จะต้องหางานทำต่อ เพราะไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่มาก เราคงหาทุนของคณะ กู้กยศ. อยู่หอใน 2.ซิ่วอยู่บ้าน ออกจากงานมาอ่านหนังสือแบบเต็มที่ เพราะตอนนี้เราเก็บเงินจากที่ทำงานได้อยู่ก้อนหนึ่งแต่ก็ไม่เยอะมาก
ถ้าเลือกแบบที่ 1 เรากลัวว่าเราจะทำทุกอย่างได้ไม่ดีพอ อย่างที่บอกยังไงเราก็ต้องทำงาน และถ้าเรียนมหาลัยควบไปด้วย ก็กลัวจะไม่เต็มที่กับการอ่านหนังสือ เพราะตอนนี้เราคิดว่าถ้าไปเรียนเราคงอยากซิ่วไป บัญชี จุฬา อยู่ดี
และถ้าเลือกแบบที่ 2 ปัญหาก็คือการซิ่วอยู่บ้านแบบเฉย ๆ เราเครียดจากครอบครัวมาก เพราะเรากับพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด เราอยู่กับปู่ย่ามาตลอด พอปี 66 ปู่เราเสีย เราเลยต้องย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ ตอนแรกมันเหมือนจะดี แต่พอได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ พ่อกับแม่มักไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ เราติดมหาลัยก็ไม่เคยมีครั้งไหนเขายินดีด้วยเลย ครั้งนี้ก็ด้วย เราอยากลองคุยกับเขาเรื่องการตัดสินใจครั้งนี้เหมือนกัน เพราะหลังจากที่ติดแล้ว เขาไม่เคยพูดถึงเลย และจากที่เราทำงานทำให้เวลาพ่อแม่และเราไม่ตรงกันเสมอ มันก็ผ่านมา 2 วันแล้วตั้งแต่ประกาศผล เราก็ยังไม่ได้คุยกับพ่อแม่สักที แต่เราอึดอัดไม่ไหวเป็นอย่างมาก ที่จริงเรากดยืนยันสิทธิ์ไปแล้ว แต่วันที่ 26 สามารถไปกดสละสิทธิ์ได้ และอีกอย่างเราบอกพ่อแม่ ญาติ เพื่อนสนิทไปแล้วว่าติดที่ไหนก็คงเรียน แต่ที่จริงก็ไม่ใช่หรอกค่ะ กลัวเขาผิดหวังในตัวเราเลยพูดไปอย่างนั้น เลยอยากระบายและขอคำปรึกษาจากทุกความคิดเห็นค่ะ
ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ