สวัสดีครับผมชื่อกูล จริงๆผมมีอีกชื่อหนึ่งน่ะเเต่ชื่อนี้เพื่อนเรียกบ่อยกว่า อีกชื่อนี้มันดูดีกว่า ตอนนี้ผมอายุ18แล้วครับ จบม.6 และต่อมหาลัยใกล้บ้าน ไม่ใช่มหาลัยที่ดีเท่าไรหรอก แต่มันก็เป็นมหาลัยที่ผมสามารถเรียนได้ เอาจริงๆก็อยากผมก็อยากไปมหาลัยที่ดีๆน่ะ แต่ก็น่ะ555 สิ่งที่ยังขาดอีกมากเลยก็คือ ความรู้กับเงินน่ะครับ จริงๆผมอยากเรียนต่อพวกสายที่เกี่ยวกับศิลปะน่ะ เพราะมันน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมถนัดเลยแหละ แต่นั้นถึงจะถนัดแต่ก็ยังไม่มากพอที่จะสานฝัน แต่ว่าผมก็เข้าใจได้เเละทำใจยอมรับมันได้ แต่นี้ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมอยากบันทึก จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของตัวผมกับเพื่อนมากกว่า ต้องบอกก่อนว่า ตัวผมเหมือนมีอาถรรพ์ ฟังดูเหนือธรรมชาตินิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อเท่าไร แต่ผมคิดว่าใช่คำนี้มันน่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า อาถรรพ์ผมคือ ผมไม่มีสามารถมีเพื่อนได้เกิน4ปี ประมาณว่า ถ้าผมสนิทกับใครมากๆ มันจะไม่เกิน4ปี นั้นแหละ มันจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องแยกทางกัน ตอนแรกเลยก็คือ ผมย้ายมาอยู่พิจิตรตอนอนุบาล2 แน่นอนว่าผมย้ายมาจากเมืองกรุงและได้เข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านนอก แต่ผมไม่จะเหยียดน่ะฟังก่อน ผมย้ายมากลางเทอมตอนอนุบาล ผมจำได้ดี สิ่งแรกที่เขาสอนคือ สอนการไหว้ เขาให้นั่งรอบวงเป็นวงกลมแต่ครึ่งหนึ่งเป็นฝั่งเด็กผู้ชายอีกครึ่งเป็นเด็กผู้หญิง
ซึ่งผมนั่งระหว่างรอยต่อของชายหญิงก็คือ ซ้ายมือผมเป็นผู้หญิง ขวามือเป็นผู้ชาย แล้วครูก็ก็เริ่มสอนให้ไหว้ โดยเริ่มจากผู้หญิงวนมาเรื่อยๆ เวลาผู้หญิงเขาก็จะมีการถอนสายบัว ซึ่งผมเห็นเขาทำแล้วผมก็คิดว่าทำเหมือนกัน ผมมาถึงคิวผมที่นั่งระหว่างกลางชายหญิง ผมลุกขึ้นไหว้แล้วถอนสายบัว ใช่ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือ ทั้งห้องรุมหัวเราะเพราะความตลก ในความเพื่อนของเพื่อนก็อาจจะเเค่หัวเราะเพราะตลกเฉยๆ แต่สำหรับผมที่เป็นคนที่คิดมาก มันกลายเป็นว่าผมมองการกระทำนี้เป็นการประนาม ผมหมดความมั่นใจในการคุยกับเพื่อนในห้อง จนเลยปล่อยตัวเองเคว้งมาจนขึ้นป.1 ผมโดนประนามอีกครั้งตั้งแต่ขึ้นชั้นป.1วันแรก เพราะผมใส่ถุงเท้าแบบเด็กอนุบาลมา รร
มันเลยตอกย้ำผมไปอีก ผมเลยสิ้นหวังกับการหาเพื่อนมากขึ้นไปอีก จนวันเวลาผ่านไป ด้วยความเป็นเด็กผมก็เริ่มอยากมีเพื่อนแบบคนอื่น ผมเลยนั่งที่สนามเด็กเล่น เพื่อรอฟังเพื่อนเรียกชื่อกัน ใช่ครับ ผมไม่รู้ชื่อเพื่อนเลยสักคนทั้งที่เรียนมา 1ปีกว่าๆ ผมนั่งฟังชื่อเพื่อนเรียกกันเพื่อที่จะได้รู้ชื่อเพื่อน ชื่อแรกผมจำได้ดีคือ พฤกษ์ ผมเลยลองเรียกดูบาง ผมเลยตะโกนแบบดีใจว่า พฤกษ์ แต่นั้นแหละครับ ทุกคนหยุดวิ่งเล่นและรอบๆก็เงียบ เพื่อนผู้หญิงอีกคนที่เล่นอยู่กับคนที่ชื่อ
พฤกษ์ หันมาพูดว่า ฮึ้ยย มันเรียกชื่อตามว่ะ ว้ายๆๆ
เเล้วคนที่เหลือก็เริ่มล้อตามกัน ผมเลยน่าเสียมากๆ
(เผื่อใครสงสัยน่ะครับ ผมเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดีมากๆในตอนเด็ก จนตอนนี้ผมยังจำชื่อเพื่อนตอนประถมได้หมดเลย ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น ) หลังจากนั้นผมเลยรีบเดินออกมาแล้วไม่เล่นที่สนามวอลเลย์บอลคนเดียว แล้วจู่ๆคนที่เด็กคนหนึ่งที่เล่นเป็น Spiderman โหนใยผ่านหน้าผมไป เป็นเล่นแบบจินตนากาน่ะครับ ผมเลยดีใจมากเพราะผมชอบ Spiderman มาก ตอนผมอยู่กรุงเทพผมเคยเช่าแผ่นมาดู นานมาก ภาคของ โทบี้เลย นั่นเเหละ หลังจากนั้น ผมก็โหนตามไปเลยครับ เป็นวันที่สนุกมากๆ เด็กคนนี้ชื่อว่า เติ้ล ครับ ผมเพื่อนคนแรกในชีวิตผมเลย ผมจำได้ดี หลังจากนั้นผมสนิทกันมาก สนิทถึงขั้นที่ผมซ้อนจักรยานยายมันกลับบ้านทุกวัน มีอะไรก็แบ่งกันตลอด เป็นช่วงที่มีความสุขสุด จนมาถึงตอนจบป.1 เติ้ลต้องย้าย รร ตามแม่ไปเพราะแม่เขาย้ายที่ทำงาน นั้นแหละครับ ผมเคว้ง ทำให้ผมต้องหัดปั่นจัดรยาน ตอนปิดเทอมเพื่อจะได้ปั่นไป รร เองได้นับจากนี้ ขึ้นป.2 ผมมาเคว้งอีก 2 ปีเต็ม ผมไม่กล้าหาเพื่อนอีก เพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันยังค้างอยู่ในหัวผม จนมาถึงป.4 ผมไปเจอเด็กคนหนึ่งนั่งวาดรูปเล่นอยู่ วาดมนุษย์ก้างอ่ะครับ ผมเห็นแล้วมันสนุกดีผมเลยลองเข้าไปวาดด้วยซึ่งเพื่อนคนนั้นก็ไม่ได้ว่าผม
ผมเลยวาดรูปมาด้วยกันตั้งแต่นั้น ในปีเดียวผมก็ได้รู้เพื่อนอีกคนที่ดีมาก ผมจำได้ดี ที่โรงเรียนเขาได้ตั้ง สหกรณ์ มันของกินขายมากมาย แต่ผมไม่มีตังหรอก
เพราะที่บ้านผมฐานะลำบาก เพื่อนคนนี้เลยถามว่า เราแบ่งให้5บาท ผมก็ดีใจมากๆด้วนความเป็นเด็กอ่ะ ทำให้ในชั้นป.4 ผมได้เพื่อนสนิท 2 คน คือ แตม กล้า พวกผมสนิทกันมาก ค่อยกันตลอด คอยซัพพอตในด้านที่อีกคนไม่มี จนวันเวลาผ่านพ้น ไปจนจบป.6 ต้องย้ายจากกันอีก ตอนนี้มี 2 เฟส แล้วน่ะครับ เฟสแรก 1 ปี เฟส 2 มี 3ปี พอขึ้นม.1 ก็ต้องพบเจอคนใหม่ๆ ในช่วงม.1 ก็ยังมีติดต่อกันบ้างนิดหน่อยผ่าน Facebook เเต่เพราะต่างคนต่างหน้าที่ เลยทำให้ค่อยๆ หายจากกันไป
ตอนขึ้นม.1 มันได้แย่เหมือนตอนประถม เพราะเด็กแต่ละคนก็โตแล้ว แต่ก็นั้นเเหละ
ปมวัยเด็กมันทำผมอีกล่ะ ผมไม่ได้หาเพื่อนอีก จนจบม.2 พอม.3 มีเพื่อนคนหนึ่งในห้องที่ผมค่อนข้างจะถูดชะตา ก็เลยเริ่มลองเข้าหาดู เพราะเห็นว่า ชอบวาดรูปเหมือนกัน ผมเลยสนิทกันมาเรื่อย เพื่อนคนนี้สำคัญที่สุดในชีวิตล่ะ มันค่อนข้างที่จะมีความคิดมากกว่าผม
ผมเลยกลายเป็นติดเพื่อน เพื่อนทำไรผมตามหมด จนเพื่อนผมเริ่มเป็นห่วงกลัวว่า ผมจะใช้ชีวิตเองไม่ได้ มันเลยคอยบอกคอยสอนผมมาตลอด ในหลายๆเรื่อง สอนในทุกเรื่องๆจริง ซึ่งด้วยความสนิท ผมเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะคิดว่า ใครๆก็ทำได้ จนมันมาบอกผมที่หลังว่า ตอนจบม.4มันจะย้ายแล้วน่ะ ผมเลยตกใจอีก นึกในใจว่า อีกแล้วหรอ รอบนี้อะไรอีก ผมไม่รู้ว่าผมเข้าใจ ถูกไหม แต่ช่วงนั้นมันค่อยๆห่างจากผม
เริ่มทำตัวไม่สนิท ผมก็พยายามเข้าหาเรื่อยๆ เเต่มันก็ห่างผมเรื่อยๆ จนตอนนั้น ผมทะเลาะกัน ในช่วงใกล้จบม.4 พอดี ด้วยความที่ผมมีนิสัยขี้งอน ผมเลยไม่พูดกับมันอีกเลย จนเวลาที่ต้องใกล้จากกันค่อยๆเข้ามา ผมยิ่งเครียดมากขึ้นอีก เพราะคิดว่า จะต้องจบแบบนี้หรอ จนมาถึงคืนสุดท้ายที่ต้องจากกัน ผมไม่ยากจะเชื่อ ว่า ผมนอนร้องให้ถึงตี5 เเล้วในวันนั้นเเหละ ผมเลยเข้าใจ ทุกอย่างในชีวิตว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคือ ความตั้งใจของเพื่อนผม ในตอนนั้นคิดว่า ที่มันคอยสอนอะไรหลายๆอย่างให้ผม ก็เพราะอยากให้ผมอยู่ได้ด้วยตัวเอง อยากให้คิดอะไรได้ด้วยตัวเอง จะได้ไม่ต้องคอยตามคนอื่นตลอด ที่มันตีตัวออกห่างผมเรื่อยๆ
ก็ด้วยเหตุนี้ ตอนเช้าวันนั้น เหมือนผมได้รู้จักตัวเองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมหายเครียด แล้วเช้านั้นผมก็ไปเซเว่น ผมซื้อ รูทเบียร์ ที่มันชอบ ให้มันเป็นการอำลา แล้วผมก็พูดว่า "ไว้เจอกันใหม่น่ะเพื่อน ขอให้โชคดีกับเส้นทางที่เลือก" แล้วก็ยิ้มตอบกลับมาว่า " กูจะเก็บรูทเบียร์กระป๋องเอาไว้ จนกว่า กูจะได้เจออีก " หลังจากวันผม ความคิดผมก็เติบโตแบบ ก้าวกระโดดมาก ผมได้มารู้ทีหลังว่า ทุกสิ่งที่มันสอน คือ สิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตจริง สิ่งที่คอยพูดสอน ผมมาตลอด ผมได้ใช้จริงๆก็ตอนนี้แหละ มันเลยเป็นเพื่อนคนที่สำคัญมากๆ ชื่อของมันชื่อ เต้
(แต่ผมชอบเรียกมันว่า ชาญ )
พอถึงตอนม.5 รอบนี้ผมกล้าเข้าหาเพื่อนล่ะ ผมได้สนิทกับเพื่อน2คน คนแรกเป็นที่เก่งมาก ตัวสูง เข้ากับคนอื่นง่ายมาก ส่วนอีกคน เตี้ย!!555 แล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างหัวช้ากว่าคนอื่น นี้เเหละ ผมสนิทกับมันเพราะเหตุนี้เเหละ เหตุผลน่ะหรอ ผมอยากช่วยมันครับ เพราะมันคล้ายๆผมดี คนแรกชื่อ ม่อน คนสองชื่อ เบนซ์
ผมกับไอ้วาก็ค่อยช่วยมันตลอด มันก็ช่วยพวกผมเหมือน ค่อยช่วยในด้านที่อีกคนไม่มี นี้แหละ จุดเริ่มต้นของความเครียดผมในครั้งนี้ ตอนใกล้จบม.6 ผมคิดไว้ มันจะเกิดขึ้นอีกไหมหนอ อาถรรพ์ของเรา เเต่ผมก็ทำใจได้ตั้งแต่ตอนเริ่มสนิทกันล่ะ
(ประสบการณ์โชกโชน555)
ไอ้วาผมไม่ค่อยห่วงหรอก มันเก่งเเล้วก็เอาตัวรอดได้ ถึงมันมีปัญหาในชีวิต มันก็ค่อยสู้ตลอด มันเป็นปัญหาส่วนตัวมัน ผมเลยเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ ปัญหาคือ ไอ้เบนซ์ที่แหละ ที่ผมเป็นห่วง กลัวมันไม่ทันเหลี่ยมคน บอกก่อนว่า ผมค่อนข้างที่จะทันเหลี่ยมคนอยู่ เพราะผมนี้เเหละ ตัวเหลี่ยมเลย555 แต่เหลี่ยมผมไม่เคยทำเคยทำใครเดือดร้อยน่ะ บอกก่อน นั่นแหละผมเลยอยากสอนให้มันทันเหลี่ยมคน ผมเลยค่อนข้างสอนมันบ่อยๆแบบที่ผมเคยโดนสอน แต่ว่า ผมสอนผิด
คิดว่าน่ะ เพราะผมคงจะจู้จิกกับมันมากไปหน่อย มันเลยกลายเป็นว่า ผมเข้าไปยุ่มยามกับชีวิตมันมากเกินไป พยายามทำให้มันเป็นในแบบที่ผมต้องการ
แค่เพราะความหวังที่อยากให้เพื่อนได้ดี แต่ทันเป็นที่ผมไม่ทันได้คิด จนผมรู้ตัวก็ตอน เดือนเมษาที่ผ่านมา ผมนอนห้องเดียวมันเเหละก็บ่อยเเหละ แต่นานทีเฉพาะตอนไปทำงาน ในตอนเช้าวันหนึ่ง ผมก็แกล้งกวนมันตอนเช้า จนมันรำคาญเเหละ มันเลยพูดออกมาว่า
แมร่งน่ารำคาญ ตอนนั้น ผมเลยชะงักอยู่ เพราะ
1.สีหน้าตอนนั้นของมันดูโกรธจริงๆ
2.คือ ผมนึกขึ้นได้ทันทีเลยว่า จริงว่ะ กูเข้ายุ่งยามในชีวิตมันมากเกินไปว่ะ
3.ผมคิดว่า หรือ กูควรปล่อยเพื่อนไปได้แล้ววะ มันก็โตแล้ว
นั้นแหละครับในช่วงวินาทีนั้นสมองผมคิดหลายเรื่องมากในช่วงเวลานิดเดียว ผมเริ่มเข้าใจ ว่า ตัวเองน่ารำคาญ และเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน นับจากวินาทีนั้น ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมไม่ได้รู้สึกอยากเข้าไปในชีวิตมันอีก ผมเลยบอกกับตัวเอง เราต้องหยุดทำแบบนี้ หยุดให้ความหวังดีทำร้ายคนอื่น ผมเลยไม่ได้คุยกับแบบหยอกอีกเลย ผมหมดความกล้าที่จะเรียกมันว่า ลิง อีก ลิงเป็นคำที่ผมชอบเรียก แต่มันให้เรียกเฉพาะกลุ่มเพื่อนน่ะ กลายเป็นว่า จากที่ผมเคยไปนั่งเล่นห้องมันทุกวัน ผมก็ไม่ได้ไปอีกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกันเลยน่ะ แต่คุยเฉพาะจำเป็น เช่น เรื่องงานอะไรแบบนี้ นั่นแหละ
แล้วจากที่ตอนแรกผมสามคนจะเรียนคณะครุศาสตร์เพราะบอกว่าจะคอยช่วยกัน แต่พอเกิดเรื่องขึ้น เบนก็ย้ายไปเรียนรัฐศาสตร์แทน ผมเลยมาเครียดว่า ผมทำให้มันย้ายคณะรึป่าว เพราะผมไม่อยากให้ใครมาเสียอนาคตเพราะผม จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้คุย จากตอนพึ่งเกิดเรื่อง ยังพอคุยกันได้อยู่จนตอนนี้เหมือนว่าทุกอย่างจะค่อยจางหายแล้ว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่ผมคิดว่ามันน่าจะงงในตอนแรกมั้ง แล้วพอหลังมันก็น่าจะสบายมากขึ้นแหละที่ผมไม่ได้ไปยุ่มยามกับมันแล้ว เพราะมันก็ยังมีเพื่อนในเกมอยู่
แค่นี้ก็สบายใจได้ล่ะ ส่วนผมนั้นก็แค่เป็นคนที่คิดมาก แค่อยากจะสื่อความคิดลงมาในบันทึกนี้ ผมไม่รู้หรอกว่า อีกฝ่ายจะคิดว่า ผมผิดรึป่าว แต่ส่วนตัวเเล้วผมคิดว่า ผมผิดจริง ทั้งนี้ผมก็ได้ระบายเรื่องที่เครียดออกมาพอสมควร แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะไปพูดเคลียปัญหากัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่าย จะไม่ได้อยากพูดคุยอีกด้วยแล้ว แล้วคุณคิดเห็นอย่างไร
งั้นผมก็ ขอจบบันทึกนี้เอาเลยก็แล้วกันน่ะ
ขอให้อาถรรพ์ผมมันจบไปพร้อมกับเรื่องนี้ที
ลงบันทึก 19 พฤษภาคม 2568
แค่อยากระบายสิ่งหนึ่งออกมา
ซึ่งผมนั่งระหว่างรอยต่อของชายหญิงก็คือ ซ้ายมือผมเป็นผู้หญิง ขวามือเป็นผู้ชาย แล้วครูก็ก็เริ่มสอนให้ไหว้ โดยเริ่มจากผู้หญิงวนมาเรื่อยๆ เวลาผู้หญิงเขาก็จะมีการถอนสายบัว ซึ่งผมเห็นเขาทำแล้วผมก็คิดว่าทำเหมือนกัน ผมมาถึงคิวผมที่นั่งระหว่างกลางชายหญิง ผมลุกขึ้นไหว้แล้วถอนสายบัว ใช่ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือ ทั้งห้องรุมหัวเราะเพราะความตลก ในความเพื่อนของเพื่อนก็อาจจะเเค่หัวเราะเพราะตลกเฉยๆ แต่สำหรับผมที่เป็นคนที่คิดมาก มันกลายเป็นว่าผมมองการกระทำนี้เป็นการประนาม ผมหมดความมั่นใจในการคุยกับเพื่อนในห้อง จนเลยปล่อยตัวเองเคว้งมาจนขึ้นป.1 ผมโดนประนามอีกครั้งตั้งแต่ขึ้นชั้นป.1วันแรก เพราะผมใส่ถุงเท้าแบบเด็กอนุบาลมา รร
มันเลยตอกย้ำผมไปอีก ผมเลยสิ้นหวังกับการหาเพื่อนมากขึ้นไปอีก จนวันเวลาผ่านไป ด้วยความเป็นเด็กผมก็เริ่มอยากมีเพื่อนแบบคนอื่น ผมเลยนั่งที่สนามเด็กเล่น เพื่อรอฟังเพื่อนเรียกชื่อกัน ใช่ครับ ผมไม่รู้ชื่อเพื่อนเลยสักคนทั้งที่เรียนมา 1ปีกว่าๆ ผมนั่งฟังชื่อเพื่อนเรียกกันเพื่อที่จะได้รู้ชื่อเพื่อน ชื่อแรกผมจำได้ดีคือ พฤกษ์ ผมเลยลองเรียกดูบาง ผมเลยตะโกนแบบดีใจว่า พฤกษ์ แต่นั้นแหละครับ ทุกคนหยุดวิ่งเล่นและรอบๆก็เงียบ เพื่อนผู้หญิงอีกคนที่เล่นอยู่กับคนที่ชื่อ
พฤกษ์ หันมาพูดว่า ฮึ้ยย มันเรียกชื่อตามว่ะ ว้ายๆๆ
เเล้วคนที่เหลือก็เริ่มล้อตามกัน ผมเลยน่าเสียมากๆ
(เผื่อใครสงสัยน่ะครับ ผมเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดีมากๆในตอนเด็ก จนตอนนี้ผมยังจำชื่อเพื่อนตอนประถมได้หมดเลย ทั้งชื่อจริงชื่อเล่น ) หลังจากนั้นผมเลยรีบเดินออกมาแล้วไม่เล่นที่สนามวอลเลย์บอลคนเดียว แล้วจู่ๆคนที่เด็กคนหนึ่งที่เล่นเป็น Spiderman โหนใยผ่านหน้าผมไป เป็นเล่นแบบจินตนากาน่ะครับ ผมเลยดีใจมากเพราะผมชอบ Spiderman มาก ตอนผมอยู่กรุงเทพผมเคยเช่าแผ่นมาดู นานมาก ภาคของ โทบี้เลย นั่นเเหละ หลังจากนั้น ผมก็โหนตามไปเลยครับ เป็นวันที่สนุกมากๆ เด็กคนนี้ชื่อว่า เติ้ล ครับ ผมเพื่อนคนแรกในชีวิตผมเลย ผมจำได้ดี หลังจากนั้นผมสนิทกันมาก สนิทถึงขั้นที่ผมซ้อนจักรยานยายมันกลับบ้านทุกวัน มีอะไรก็แบ่งกันตลอด เป็นช่วงที่มีความสุขสุด จนมาถึงตอนจบป.1 เติ้ลต้องย้าย รร ตามแม่ไปเพราะแม่เขาย้ายที่ทำงาน นั้นแหละครับ ผมเคว้ง ทำให้ผมต้องหัดปั่นจัดรยาน ตอนปิดเทอมเพื่อจะได้ปั่นไป รร เองได้นับจากนี้ ขึ้นป.2 ผมมาเคว้งอีก 2 ปีเต็ม ผมไม่กล้าหาเพื่อนอีก เพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันยังค้างอยู่ในหัวผม จนมาถึงป.4 ผมไปเจอเด็กคนหนึ่งนั่งวาดรูปเล่นอยู่ วาดมนุษย์ก้างอ่ะครับ ผมเห็นแล้วมันสนุกดีผมเลยลองเข้าไปวาดด้วยซึ่งเพื่อนคนนั้นก็ไม่ได้ว่าผม
ผมเลยวาดรูปมาด้วยกันตั้งแต่นั้น ในปีเดียวผมก็ได้รู้เพื่อนอีกคนที่ดีมาก ผมจำได้ดี ที่โรงเรียนเขาได้ตั้ง สหกรณ์ มันของกินขายมากมาย แต่ผมไม่มีตังหรอก
เพราะที่บ้านผมฐานะลำบาก เพื่อนคนนี้เลยถามว่า เราแบ่งให้5บาท ผมก็ดีใจมากๆด้วนความเป็นเด็กอ่ะ ทำให้ในชั้นป.4 ผมได้เพื่อนสนิท 2 คน คือ แตม กล้า พวกผมสนิทกันมาก ค่อยกันตลอด คอยซัพพอตในด้านที่อีกคนไม่มี จนวันเวลาผ่านพ้น ไปจนจบป.6 ต้องย้ายจากกันอีก ตอนนี้มี 2 เฟส แล้วน่ะครับ เฟสแรก 1 ปี เฟส 2 มี 3ปี พอขึ้นม.1 ก็ต้องพบเจอคนใหม่ๆ ในช่วงม.1 ก็ยังมีติดต่อกันบ้างนิดหน่อยผ่าน Facebook เเต่เพราะต่างคนต่างหน้าที่ เลยทำให้ค่อยๆ หายจากกันไป
ตอนขึ้นม.1 มันได้แย่เหมือนตอนประถม เพราะเด็กแต่ละคนก็โตแล้ว แต่ก็นั้นเเหละ
ปมวัยเด็กมันทำผมอีกล่ะ ผมไม่ได้หาเพื่อนอีก จนจบม.2 พอม.3 มีเพื่อนคนหนึ่งในห้องที่ผมค่อนข้างจะถูดชะตา ก็เลยเริ่มลองเข้าหาดู เพราะเห็นว่า ชอบวาดรูปเหมือนกัน ผมเลยสนิทกันมาเรื่อย เพื่อนคนนี้สำคัญที่สุดในชีวิตล่ะ มันค่อนข้างที่จะมีความคิดมากกว่าผม
ผมเลยกลายเป็นติดเพื่อน เพื่อนทำไรผมตามหมด จนเพื่อนผมเริ่มเป็นห่วงกลัวว่า ผมจะใช้ชีวิตเองไม่ได้ มันเลยคอยบอกคอยสอนผมมาตลอด ในหลายๆเรื่อง สอนในทุกเรื่องๆจริง ซึ่งด้วยความสนิท ผมเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะคิดว่า ใครๆก็ทำได้ จนมันมาบอกผมที่หลังว่า ตอนจบม.4มันจะย้ายแล้วน่ะ ผมเลยตกใจอีก นึกในใจว่า อีกแล้วหรอ รอบนี้อะไรอีก ผมไม่รู้ว่าผมเข้าใจ ถูกไหม แต่ช่วงนั้นมันค่อยๆห่างจากผม
เริ่มทำตัวไม่สนิท ผมก็พยายามเข้าหาเรื่อยๆ เเต่มันก็ห่างผมเรื่อยๆ จนตอนนั้น ผมทะเลาะกัน ในช่วงใกล้จบม.4 พอดี ด้วยความที่ผมมีนิสัยขี้งอน ผมเลยไม่พูดกับมันอีกเลย จนเวลาที่ต้องใกล้จากกันค่อยๆเข้ามา ผมยิ่งเครียดมากขึ้นอีก เพราะคิดว่า จะต้องจบแบบนี้หรอ จนมาถึงคืนสุดท้ายที่ต้องจากกัน ผมไม่ยากจะเชื่อ ว่า ผมนอนร้องให้ถึงตี5 เเล้วในวันนั้นเเหละ ผมเลยเข้าใจ ทุกอย่างในชีวิตว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคือ ความตั้งใจของเพื่อนผม ในตอนนั้นคิดว่า ที่มันคอยสอนอะไรหลายๆอย่างให้ผม ก็เพราะอยากให้ผมอยู่ได้ด้วยตัวเอง อยากให้คิดอะไรได้ด้วยตัวเอง จะได้ไม่ต้องคอยตามคนอื่นตลอด ที่มันตีตัวออกห่างผมเรื่อยๆ
ก็ด้วยเหตุนี้ ตอนเช้าวันนั้น เหมือนผมได้รู้จักตัวเองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมหายเครียด แล้วเช้านั้นผมก็ไปเซเว่น ผมซื้อ รูทเบียร์ ที่มันชอบ ให้มันเป็นการอำลา แล้วผมก็พูดว่า "ไว้เจอกันใหม่น่ะเพื่อน ขอให้โชคดีกับเส้นทางที่เลือก" แล้วก็ยิ้มตอบกลับมาว่า " กูจะเก็บรูทเบียร์กระป๋องเอาไว้ จนกว่า กูจะได้เจออีก " หลังจากวันผม ความคิดผมก็เติบโตแบบ ก้าวกระโดดมาก ผมได้มารู้ทีหลังว่า ทุกสิ่งที่มันสอน คือ สิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตจริง สิ่งที่คอยพูดสอน ผมมาตลอด ผมได้ใช้จริงๆก็ตอนนี้แหละ มันเลยเป็นเพื่อนคนที่สำคัญมากๆ ชื่อของมันชื่อ เต้
(แต่ผมชอบเรียกมันว่า ชาญ )
พอถึงตอนม.5 รอบนี้ผมกล้าเข้าหาเพื่อนล่ะ ผมได้สนิทกับเพื่อน2คน คนแรกเป็นที่เก่งมาก ตัวสูง เข้ากับคนอื่นง่ายมาก ส่วนอีกคน เตี้ย!!555 แล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างหัวช้ากว่าคนอื่น นี้เเหละ ผมสนิทกับมันเพราะเหตุนี้เเหละ เหตุผลน่ะหรอ ผมอยากช่วยมันครับ เพราะมันคล้ายๆผมดี คนแรกชื่อ ม่อน คนสองชื่อ เบนซ์
ผมกับไอ้วาก็ค่อยช่วยมันตลอด มันก็ช่วยพวกผมเหมือน ค่อยช่วยในด้านที่อีกคนไม่มี นี้แหละ จุดเริ่มต้นของความเครียดผมในครั้งนี้ ตอนใกล้จบม.6 ผมคิดไว้ มันจะเกิดขึ้นอีกไหมหนอ อาถรรพ์ของเรา เเต่ผมก็ทำใจได้ตั้งแต่ตอนเริ่มสนิทกันล่ะ
(ประสบการณ์โชกโชน555)
ไอ้วาผมไม่ค่อยห่วงหรอก มันเก่งเเล้วก็เอาตัวรอดได้ ถึงมันมีปัญหาในชีวิต มันก็ค่อยสู้ตลอด มันเป็นปัญหาส่วนตัวมัน ผมเลยเข้าไปยุ่งมากไม่ได้ ปัญหาคือ ไอ้เบนซ์ที่แหละ ที่ผมเป็นห่วง กลัวมันไม่ทันเหลี่ยมคน บอกก่อนว่า ผมค่อนข้างที่จะทันเหลี่ยมคนอยู่ เพราะผมนี้เเหละ ตัวเหลี่ยมเลย555 แต่เหลี่ยมผมไม่เคยทำเคยทำใครเดือดร้อยน่ะ บอกก่อน นั่นแหละผมเลยอยากสอนให้มันทันเหลี่ยมคน ผมเลยค่อนข้างสอนมันบ่อยๆแบบที่ผมเคยโดนสอน แต่ว่า ผมสอนผิด
คิดว่าน่ะ เพราะผมคงจะจู้จิกกับมันมากไปหน่อย มันเลยกลายเป็นว่า ผมเข้าไปยุ่มยามกับชีวิตมันมากเกินไป พยายามทำให้มันเป็นในแบบที่ผมต้องการ
แค่เพราะความหวังที่อยากให้เพื่อนได้ดี แต่ทันเป็นที่ผมไม่ทันได้คิด จนผมรู้ตัวก็ตอน เดือนเมษาที่ผ่านมา ผมนอนห้องเดียวมันเเหละก็บ่อยเเหละ แต่นานทีเฉพาะตอนไปทำงาน ในตอนเช้าวันหนึ่ง ผมก็แกล้งกวนมันตอนเช้า จนมันรำคาญเเหละ มันเลยพูดออกมาว่า
แมร่งน่ารำคาญ ตอนนั้น ผมเลยชะงักอยู่ เพราะ
1.สีหน้าตอนนั้นของมันดูโกรธจริงๆ
2.คือ ผมนึกขึ้นได้ทันทีเลยว่า จริงว่ะ กูเข้ายุ่งยามในชีวิตมันมากเกินไปว่ะ
3.ผมคิดว่า หรือ กูควรปล่อยเพื่อนไปได้แล้ววะ มันก็โตแล้ว
นั้นแหละครับในช่วงวินาทีนั้นสมองผมคิดหลายเรื่องมากในช่วงเวลานิดเดียว ผมเริ่มเข้าใจ ว่า ตัวเองน่ารำคาญ และเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน นับจากวินาทีนั้น ความรู้สึกผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมไม่ได้รู้สึกอยากเข้าไปในชีวิตมันอีก ผมเลยบอกกับตัวเอง เราต้องหยุดทำแบบนี้ หยุดให้ความหวังดีทำร้ายคนอื่น ผมเลยไม่ได้คุยกับแบบหยอกอีกเลย ผมหมดความกล้าที่จะเรียกมันว่า ลิง อีก ลิงเป็นคำที่ผมชอบเรียก แต่มันให้เรียกเฉพาะกลุ่มเพื่อนน่ะ กลายเป็นว่า จากที่ผมเคยไปนั่งเล่นห้องมันทุกวัน ผมก็ไม่ได้ไปอีกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่คุยกันเลยน่ะ แต่คุยเฉพาะจำเป็น เช่น เรื่องงานอะไรแบบนี้ นั่นแหละ
แล้วจากที่ตอนแรกผมสามคนจะเรียนคณะครุศาสตร์เพราะบอกว่าจะคอยช่วยกัน แต่พอเกิดเรื่องขึ้น เบนก็ย้ายไปเรียนรัฐศาสตร์แทน ผมเลยมาเครียดว่า ผมทำให้มันย้ายคณะรึป่าว เพราะผมไม่อยากให้ใครมาเสียอนาคตเพราะผม จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่ได้คุย จากตอนพึ่งเกิดเรื่อง ยังพอคุยกันได้อยู่จนตอนนี้เหมือนว่าทุกอย่างจะค่อยจางหายแล้ว ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แต่ผมคิดว่ามันน่าจะงงในตอนแรกมั้ง แล้วพอหลังมันก็น่าจะสบายมากขึ้นแหละที่ผมไม่ได้ไปยุ่มยามกับมันแล้ว เพราะมันก็ยังมีเพื่อนในเกมอยู่
แค่นี้ก็สบายใจได้ล่ะ ส่วนผมนั้นก็แค่เป็นคนที่คิดมาก แค่อยากจะสื่อความคิดลงมาในบันทึกนี้ ผมไม่รู้หรอกว่า อีกฝ่ายจะคิดว่า ผมผิดรึป่าว แต่ส่วนตัวเเล้วผมคิดว่า ผมผิดจริง ทั้งนี้ผมก็ได้ระบายเรื่องที่เครียดออกมาพอสมควร แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอที่จะไปพูดเคลียปัญหากัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่าย จะไม่ได้อยากพูดคุยอีกด้วยแล้ว แล้วคุณคิดเห็นอย่างไร
งั้นผมก็ ขอจบบันทึกนี้เอาเลยก็แล้วกันน่ะ
ขอให้อาถรรพ์ผมมันจบไปพร้อมกับเรื่องนี้ที
ลงบันทึก 19 พฤษภาคม 2568