การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วงที่เหลือของปี 2568 ต้องปรับเปลี่ยนใหม่จากผลกระทบของสงครามการค้า และการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐที่กระทบเศรษฐกิจโลก รวมถึงการส่งออกและการผลิตไทย โดยทำให้ต้องทบทวนนโยบายการแจกเงิน 10,000 บาทโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะมีการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 19 พ.ค.นี้ โดยกระทรวงการคลังจะมีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากกรณีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในประเทศประมาณ 1-2 ปี
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจส่งออก ธุรกิจซัพพลายเชนที่เกี่ยวเนื่อง และผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามา ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ GDP เติบโตเกิน 3% โดยจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องดูแลควบคู่กันไปเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี 2568 ทำให้รัฐบาลปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมด โดยจะนำวงเงินที่อยู่ในงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันเหลือวงเงิน 157,000 ล้านบาท มาจัดสรรใหม่เป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับแผนใหม่จะออกเป็นแพคเกจและเน้นรองรับผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ซึ่งต้องเน้นการปรับโครงสร้างการผลิต การเสริมสภาพคล่องภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวจึงต้องยกเลิกโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มเป้าหมายอายุ 16-20 ปี รวม 2.7 ล้านคน หรือ 27,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาทำโครงการที่เหมาะสมกับสถานการณ์
รัฐบาลพับแผนแจกหมื่น โยกงบฯ 1.5 แสนล้าน ทำแผนใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจ