นิยายแนว Sci-Fi เกี่ยวกับกาลอวกาศ พลังจิต สิ่งมีชีวิต และโลกหลังความตาย
เสียงจากดวงดาวที่ลืมเลือน
ปี ค.ศ. 2487 หลังจากที่โลกผ่านสงครามพลังงานครั้งสุดท้ายไปได้สองทศวรรษ องค์กร United Stellar Alliance หรือ USA ได้เปิดภารกิจสำรวจอวกาศลึกด้วยเทคโนโลยี “ไซ-เน็ต” เครือข่ายประสาทเทียมที่สามารถเชื่อมต่อจิตของมนุษย์เข้ากับระบบควบคุมยานแบบเต็มรูปแบบ นำไปสู่การเปิดยุค “นักบินทางจิต” ที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมยานด้วยมืออีกต่อไป
เอลยา ไครอฟ คือนักบินจิตอันดับหนึ่งของ USA หญิงสาวอายุ 27 ปี ผู้มีค่าประสานคลื่นสมองกับไซ-เน็ตสูงถึง 99.4% เธอคือผู้เหมาะสมที่สุดในการขับยาน Prometheus-VI ยานสำรวจรุ่นใหม่ที่สามารถเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง และเป็นยานลำแรกที่ถูกส่งไปยังขอบจักรวาลในภารกิจลับที่ชื่อว่า Echo Hunt
“ภารกิจของคุณง่ายมาก เอลยา” ผู้อำนวยการไซ-เน็ตกล่าวผ่านจอโปรเจคเตอร์ “รับสัญญาณคลื่นความถี่ X-2 ที่เราพบจากกลุ่มดาวลูปินัส…แล้วหาต้นกำเนิดของมันมาให้ได้”
เอลยารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย คลื่น X-2 ไม่ใช่สัญญาณธรรมดา มันมีโครงสร้างซ้ำกันเหมือนภาษาที่ยังไม่มีใครถอดรหัสได้ มันอาจเป็นแค่เสียงสะท้อนจากหลุมดำ หรืออาจเป็น…เสียงจากบางสิ่งที่ยังไม่มีใครรู้จัก
เมื่อเธอเข้าสู่แคปซูลไซ-เน็ต ร่างกายเธอค่อย ๆ จมหายไปในของเหลวใส เครือข่ายเส้นใยนาโนเชื่อมต่อเข้ากับฐานท้ายทอย และทันใดนั้นจิตของเธอก็หลอมรวมเข้ากับยาน Prometheus-VI เธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
การเดินทางผ่านอวกาศลึกด้วยความเร็วเหนือแสงไม่เคยนุ่มนวล มันคือความเงียบ ความว่างเปล่า และเสียงสัญญาณเตือนเป็นระยะที่เตือนเธอถึงแรงโน้มถ่วงที่บิดเบี้ยว คลื่นความถี่ X-2 เริ่มชัดขึ้นเมื่อเธอเข้าสู่พิกัดสุดท้าย และนั่นคือเวลาที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ยานหยุดนิ่งโดยไม่มีคำเตือน สัญญาณ X-2 ที่ครั้งหนึ่งฟังดูเหมือนเสียงแตกพร่า กลับกลายเป็นเสียงที่คล้ายกับการพูด…พูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงโบราณ
“ผู้สังเกตการณ์รายที่ 34… ยินดีต้อนรับกลับมา”
เอลยารู้สึกเย็นวาบทั่วร่าง (หรือจิต) แม้จะไม่มีร่างกายให้รู้สึก แต่ความกลัวแผ่ขยายไปทั่วสมองเทียมของเธอ
“ใคร…พูด?”
“ข้า…คือสิ่งที่เหลืออยู่ของสายพันธุ์ก่อนหน้าเจ้า”
“คุณไม่ใช่มนุษย์?”
“เรา เคยเป็น”
สิ่งที่สื่อสารกับเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่มันคือ “โครงข่ายความคิด” ของอารยธรรมโบราณที่เคยเจริญถึงขั้นสามารถอัปโหลดจิตสำนึกทั้งหมดของตนเองไว้ในโครงสร้างคลื่นควอนตัมเพื่อหลีกหนีการสูญพันธุ์จากภัยจักรวาล
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า X-2… แต่สำหรับเรามันคือเสียงร้องของการมีตัวตนครั้งสุดท้าย”
สิ่งนั้นเสนอข้อมูลบางอย่างให้เอลยา—ข้อมูลที่สามารถพลิกโฉมมนุษยชาติ: เทคโนโลยีเคลื่อนย้ายมวลแบบทันที วิศวกรรมจิต และโครงสร้างโค้งมิติเวลา แต่มันมีข้อแลกเปลี่ยน
“จิตของเจ้า ต้องหลอมรวมกับเรา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้”
เธอมีเวลาเพียง 2 นาทีในการตัดสินใจก่อนที่โครงสร้างคลื่นจะพังทลายลง—และเธอจะไม่สามารถกลับมาได้อีก
“ยาน Prometheus-VI สถานะยังคงเสถียร คุณจะกลับมาได้ทันที”
“แต่ถ้าไป…อาจไม่มีวันได้กลับ”
เสียงของหัวใจเธอเต้นรัว…แม้ไม่มีหัวใจที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น
ในวินาทีนั้นเอง เอลยาเลือก—ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง ไม่ใช่เพื่อชาติ—แต่เพื่อคำถามที่มนุษย์ถามมาตลอดหลายพันปี
“เรามาจากไหน…และเราไปที่ไหนต่อ?”
เธอปล่อยตัวเองให้หลอมรวมกับคลื่น X-2
เสียงของเธอคือเสียงที่ 35…ในโครงข่ายของดวงดาวที่ลืมเลือน
จบบทที่หนึ่ง
เสียงจากดวงดาวที่ลืมเลือน
เสียงจากดวงดาวที่ลืมเลือน
ปี ค.ศ. 2487 หลังจากที่โลกผ่านสงครามพลังงานครั้งสุดท้ายไปได้สองทศวรรษ องค์กร United Stellar Alliance หรือ USA ได้เปิดภารกิจสำรวจอวกาศลึกด้วยเทคโนโลยี “ไซ-เน็ต” เครือข่ายประสาทเทียมที่สามารถเชื่อมต่อจิตของมนุษย์เข้ากับระบบควบคุมยานแบบเต็มรูปแบบ นำไปสู่การเปิดยุค “นักบินทางจิต” ที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมยานด้วยมืออีกต่อไป
เอลยา ไครอฟ คือนักบินจิตอันดับหนึ่งของ USA หญิงสาวอายุ 27 ปี ผู้มีค่าประสานคลื่นสมองกับไซ-เน็ตสูงถึง 99.4% เธอคือผู้เหมาะสมที่สุดในการขับยาน Prometheus-VI ยานสำรวจรุ่นใหม่ที่สามารถเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง และเป็นยานลำแรกที่ถูกส่งไปยังขอบจักรวาลในภารกิจลับที่ชื่อว่า Echo Hunt
“ภารกิจของคุณง่ายมาก เอลยา” ผู้อำนวยการไซ-เน็ตกล่าวผ่านจอโปรเจคเตอร์ “รับสัญญาณคลื่นความถี่ X-2 ที่เราพบจากกลุ่มดาวลูปินัส…แล้วหาต้นกำเนิดของมันมาให้ได้”
เอลยารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย คลื่น X-2 ไม่ใช่สัญญาณธรรมดา มันมีโครงสร้างซ้ำกันเหมือนภาษาที่ยังไม่มีใครถอดรหัสได้ มันอาจเป็นแค่เสียงสะท้อนจากหลุมดำ หรืออาจเป็น…เสียงจากบางสิ่งที่ยังไม่มีใครรู้จัก
เมื่อเธอเข้าสู่แคปซูลไซ-เน็ต ร่างกายเธอค่อย ๆ จมหายไปในของเหลวใส เครือข่ายเส้นใยนาโนเชื่อมต่อเข้ากับฐานท้ายทอย และทันใดนั้นจิตของเธอก็หลอมรวมเข้ากับยาน Prometheus-VI เธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
การเดินทางผ่านอวกาศลึกด้วยความเร็วเหนือแสงไม่เคยนุ่มนวล มันคือความเงียบ ความว่างเปล่า และเสียงสัญญาณเตือนเป็นระยะที่เตือนเธอถึงแรงโน้มถ่วงที่บิดเบี้ยว คลื่นความถี่ X-2 เริ่มชัดขึ้นเมื่อเธอเข้าสู่พิกัดสุดท้าย และนั่นคือเวลาที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ยานหยุดนิ่งโดยไม่มีคำเตือน สัญญาณ X-2 ที่ครั้งหนึ่งฟังดูเหมือนเสียงแตกพร่า กลับกลายเป็นเสียงที่คล้ายกับการพูด…พูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงโบราณ
“ผู้สังเกตการณ์รายที่ 34… ยินดีต้อนรับกลับมา”
เอลยารู้สึกเย็นวาบทั่วร่าง (หรือจิต) แม้จะไม่มีร่างกายให้รู้สึก แต่ความกลัวแผ่ขยายไปทั่วสมองเทียมของเธอ
“ใคร…พูด?”
“ข้า…คือสิ่งที่เหลืออยู่ของสายพันธุ์ก่อนหน้าเจ้า”
“คุณไม่ใช่มนุษย์?”
“เรา เคยเป็น”
สิ่งที่สื่อสารกับเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่มันคือ “โครงข่ายความคิด” ของอารยธรรมโบราณที่เคยเจริญถึงขั้นสามารถอัปโหลดจิตสำนึกทั้งหมดของตนเองไว้ในโครงสร้างคลื่นควอนตัมเพื่อหลีกหนีการสูญพันธุ์จากภัยจักรวาล
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า X-2… แต่สำหรับเรามันคือเสียงร้องของการมีตัวตนครั้งสุดท้าย”
สิ่งนั้นเสนอข้อมูลบางอย่างให้เอลยา—ข้อมูลที่สามารถพลิกโฉมมนุษยชาติ: เทคโนโลยีเคลื่อนย้ายมวลแบบทันที วิศวกรรมจิต และโครงสร้างโค้งมิติเวลา แต่มันมีข้อแลกเปลี่ยน
“จิตของเจ้า ต้องหลอมรวมกับเรา เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้”
เธอมีเวลาเพียง 2 นาทีในการตัดสินใจก่อนที่โครงสร้างคลื่นจะพังทลายลง—และเธอจะไม่สามารถกลับมาได้อีก
“ยาน Prometheus-VI สถานะยังคงเสถียร คุณจะกลับมาได้ทันที”
“แต่ถ้าไป…อาจไม่มีวันได้กลับ”
เสียงของหัวใจเธอเต้นรัว…แม้ไม่มีหัวใจที่แท้จริงอยู่ตรงนั้น
ในวินาทีนั้นเอง เอลยาเลือก—ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง ไม่ใช่เพื่อชาติ—แต่เพื่อคำถามที่มนุษย์ถามมาตลอดหลายพันปี
“เรามาจากไหน…และเราไปที่ไหนต่อ?”
เธอปล่อยตัวเองให้หลอมรวมกับคลื่น X-2
เสียงของเธอคือเสียงที่ 35…ในโครงข่ายของดวงดาวที่ลืมเลือน
จบบทที่หนึ่ง