ความคาดหวังที่มากเกินไป จุดเริ่มต้นของ “ความเครียดและซึมเศร้า”
เมื่อถึงวันที่ความคาดหวังของครอบครัวที่มากเกินไปจนเกินรับไหว.. กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "ความเครียดและซึมเศร้า" โดยที่คุณไม่ทัยรู้ตัว
เคยไหม?…สำหรับหลายคน “ครอบครัว” คือกำลังใจและความรักที่คอยผลักดันให้เราเติบโต แต่สำหรับบางคน“ครอบครัว” กลับกลายเป็นความกดดันที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย ท้อ และห่างไกลจากความสุขในใจทีละน้อย
เมื่อความรักแปรเปลี่ยนเป็นความคาดหวังที่หนักเกินแบก พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมักอยากเห็นเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานมั่นคง เรียนดี ได้รับการยอมรับ แต่เมื่อความคาดหวังเหล่านั้นมีมากเกินไป หรือถูกส่งต่อมาในรูปแบบของคำพูดที่กดดัน เช่น
“ต้องเก่งกว่านี้”
“ทำได้แค่นี้เองเหรอ?”
“คนอื่นยังทำได้ ทำไมเธอจะทำไม่ได้?”
ความหวังดีที่เกินพอดีเหล่านี้ อาจค่อย ๆ สะสมกลายเป็นความเครียด ความกังวล และความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะซึมเศร้าในที่สุด วันนี้เรามีข้อมูลดีๆจาก “โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์” ที่จะเผยถึง..
สัญญาณที่บอกว่าความคาดหวังกำลังกลายเป็นแรงกดดันไปถึงลูกๆ ดังนี้..
-รู้สึกวิตกกังวลเมื่อต้องรายงานความคืบหน้า หรือพูดคุยกับครอบครัว
-กลัวความผิดหวังและคำตำหนิจากคนในบ้าน
-ทำอะไรสำเร็จก็ยังไม่รู้สึกภูมิใจ เพราะกลัวว่ามันยังไม่ดีพอ
-อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เหนื่อยใจ ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไร
-รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว แม้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
-เริ่มมีความคิดที่อยากหนีหายไป หรือรู้สึกไร้ค่า
เมื่อความคาดหวังกลายเป็นภาระใจ ควรทำอย่างไร?
1.รับฟังเสียงข้างในตัวเอง
หยุดและถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า… สิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คือความต้องการของเรา หรือเพื่อให้ใครบางคนพอใจ? เรามีความสุขหรือไม่กับสิ่งที่ทำอยู่?
2.สื่อสารด้วยความเข้าใจ
แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การพูดคุยเปิดใจอย่างใจเย็นกับคนในครอบครัวว่า ความคาดหวังบางอย่างกำลังสร้างความกดดัน อาจช่วยให้พวกเขาได้ทบทวนมุมมอง และเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเราได้มากขึ้น
3.ให้คุณค่ากับตัวเอง
อย่าลืมว่ามาตรฐานความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่คุณพยายามเต็มที่แล้ว นั่นคือความสำเร็จในแบบของคุณ
4.ขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกไม่ไหว
ถ้าความกดดันเริ่มส่งผลต่อจิตใจ จนรู้สึกเศร้าลึก ๆ นอนไม่หลับ หมดเรี่ยวแรง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือที่ให้ยืน การเข้าพบนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอ แต่คือการดูแลใจตัวเองอย่างกล้าหาญ.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4680739/
เรื่อง “แผลเท้าเบาหวาน ป้องกันอย่างไร”
แผลเท้าเบาหวานคือ แผลที่เท้าในผู้เป็นเบาหวานที่ต่ำกว่าระดับข้อเท้าลงมา มีความลึกที่ผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ (dermis) หรือลึกกว่านั้น และเป็นนานเกิน 14 วัน หรือมีแนวโน้มที่จะไม่หายภายใน 14 วัน
ผู้เป็นเบาหวาน
มีโอกาสเป็นแผลที่เท้า ประมาณร้อยละ 2 ต่อปี
ทั้งช่วงชีวิตมีโอกาสเป็นแผลที่เท้าสูงถึงร้อยละ 15-25
หากเคยมีแผลที่เท้ามีโอกาสเป็นแผลซ้ำในปีแรกสูงถึงร้อยละ 30-40
ผู้ที่ถูกตัดขา/ เท้า/นิ้ว มากกว่าร้อยละ 80 มีประวัติการเป็นแผลมาก่อน
เมื่อเป็นเบาหวานนาน หรือคุมน้ำตาลไม่ดี จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?
มีอาการเท้าชา ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ร้อนรู้เย็น หรือไม่รู้ตำแหน่งสัมผัส…อาจเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
กล้ามเนื้อขนาดเล็กลีบ เหงื่อออกน้อย… ทำให้เท้าผิดรูป ผิวแห้ง
เส้นประสาทส่วนปลายผิดปกติ หรือเลือดไปเลี้ยงน้อย…เกิดแผลเรื้อรัง
เท้าผิดรูป ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม … เกิดแผล
“การป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการถูกตัดเท้า นิ้วเท้าหรือขา”
การป้องกันแผลเท้าเบาหวาน
ตรวจเท้าประเมินความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้าอย่างละเอียดที่ รพ. อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
หรือตามระดับความเสี่ยง (ที่แพทย์หรือพยาบาลแจ้งให้ทราบ)
เพื่อค้นหาความเสี่ยงและความผิดปกติเข้าถึงการดูแลรักษาได้รวดเร็วและเหมาะสม
เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บเพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจทำจากเอ็น/ ไนล่อน ไม่ใช่เข็ม
“ ใช้ไนลอนแตะเบา ๆ ที่ฝ่าเท้า 2 ข้าง…เพียงหลับตาแล้วตอบความรู้สึก ”
*** ถ้าตรวจพบว่าผิดปกติ จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้า 3 เท่า ***
ตรวจหาความผิดปกติทั่วเท้า ทุกซอกทุกมุม ทั้งสภาพผิวหนังและเล็บ รูปร่างเท้า/ แผลที่เท้า
คลำชีพจรที่เท้าเพื่อประเมินเลือดที่มาเลี้ยงขา บางคนชีพจรที่เท้าเบาลง หรือคลำไม่ได้
จัดกลุ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้า และจัดการปัญหา หรือส่งต่อแพทย์/แพทย์เฉพาะทาง
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี จะช่วยชะลอการสูญเสียการรับความรู้สึกที่เท้า ป้องกันโรคเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมจากเบาหวาน และโรคหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
ไม่สูบบุหรี่/ บุหรี่ไฟฟ้า (e-cigarettes) หรือรับควันบุหรี่จากผู้อื่น หรืออยู่ในสถานที่ที่มีการสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงขาตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปที่เท้าลดลง มีโอกาสเกิดแผลได้ง่าย
ระวังอย่าให้เกิดตุ่มน้ำพุพอง จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เล็บขบ หนังหนาด้าน หรือผิวแห้งแตก
ตรวจเท้าทุกวันเพื่อหาความผิดปกติ เช่น ผิวแห้งแตก แผล หนังหนา ตาปลา (เลี่ยงการตัดหนังหนา หรือตาปลาเอง) เล็บขบ เชื้อรา เป็นต้น หากพบความผิดปกติให้รีบแจ้งแพทย์หรือพบแพทย์
ทาครีม หรือโลชั่นทุกวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้เท้า ป้องกันเท้าหนา แห้งแตก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดแผลและติดเชื้อตามมา
ใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาล เพื่อป้องกันการเสียดสี
แรงกระแทก หรือเหยียบของมีคม… “รองเท้าควรใส่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน…งดการเดินเท้าเปล่า”
ตัดเล็บเท้าแบบตรงไม่สั้นชิดเนื้อ ป้องกันการเกิดแผล และเล็บขบ
บริหารเท้า ขยับข้อต่อนิ้วเท้า หรือออกกำลังกายเท้าทุกวัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณเท้าและข้อเท้า รวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนเลือด
งดวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือประคบร้อนที่เท้าหรือขา เพราะประสาทรับความรู้สึกอาจลดลง
เท้าชา เกิดพุพอง น้ำร้อนลวก และเป็นแผลโดยไม่รู้ตัว มีโอกาสเสียเท้าหรือขา
ดูแลบาดแผลเบื้องต้น และแผลที่ไม่รุนแรงด้วยตนเอง อย่างถูกวิธี หรือปรึกษาแพทย์พยาบาลที่เชี่ยวชาญ
อาการที่ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว ….เดินแล้วปวดน่อง เท้าซีดเย็น นิ้วดำ หรือสีคล้ำ
ข้อมูลจาก พว.ปุญญาดา ณปัณพัฒน์ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4669057/
ความคาดหวังที่มากเกินไป จุดเริ่มต้นของ “ความเครียดและซึมเศร้า” และ “แผลเท้าเบาหวาน ป้องกันอย่างไร”
เมื่อถึงวันที่ความคาดหวังของครอบครัวที่มากเกินไปจนเกินรับไหว.. กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ "ความเครียดและซึมเศร้า" โดยที่คุณไม่ทัยรู้ตัว
เคยไหม?…สำหรับหลายคน “ครอบครัว” คือกำลังใจและความรักที่คอยผลักดันให้เราเติบโต แต่สำหรับบางคน“ครอบครัว” กลับกลายเป็นความกดดันที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย ท้อ และห่างไกลจากความสุขในใจทีละน้อย
เมื่อความรักแปรเปลี่ยนเป็นความคาดหวังที่หนักเกินแบก พ่อแม่หรือคนในครอบครัวมักอยากเห็นเราเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานมั่นคง เรียนดี ได้รับการยอมรับ แต่เมื่อความคาดหวังเหล่านั้นมีมากเกินไป หรือถูกส่งต่อมาในรูปแบบของคำพูดที่กดดัน เช่น
“ต้องเก่งกว่านี้”
“ทำได้แค่นี้เองเหรอ?”
“คนอื่นยังทำได้ ทำไมเธอจะทำไม่ได้?”
ความหวังดีที่เกินพอดีเหล่านี้ อาจค่อย ๆ สะสมกลายเป็นความเครียด ความกังวล และความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะซึมเศร้าในที่สุด วันนี้เรามีข้อมูลดีๆจาก “โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์” ที่จะเผยถึง..
สัญญาณที่บอกว่าความคาดหวังกำลังกลายเป็นแรงกดดันไปถึงลูกๆ ดังนี้..
-รู้สึกวิตกกังวลเมื่อต้องรายงานความคืบหน้า หรือพูดคุยกับครอบครัว
-กลัวความผิดหวังและคำตำหนิจากคนในบ้าน
-ทำอะไรสำเร็จก็ยังไม่รู้สึกภูมิใจ เพราะกลัวว่ามันยังไม่ดีพอ
-อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เหนื่อยใจ ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไร
-รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว แม้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
-เริ่มมีความคิดที่อยากหนีหายไป หรือรู้สึกไร้ค่า
เมื่อความคาดหวังกลายเป็นภาระใจ ควรทำอย่างไร?
1.รับฟังเสียงข้างในตัวเอง
หยุดและถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า… สิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คือความต้องการของเรา หรือเพื่อให้ใครบางคนพอใจ? เรามีความสุขหรือไม่กับสิ่งที่ทำอยู่?
2.สื่อสารด้วยความเข้าใจ
แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การพูดคุยเปิดใจอย่างใจเย็นกับคนในครอบครัวว่า ความคาดหวังบางอย่างกำลังสร้างความกดดัน อาจช่วยให้พวกเขาได้ทบทวนมุมมอง และเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเราได้มากขึ้น
3.ให้คุณค่ากับตัวเอง
อย่าลืมว่ามาตรฐานความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่คุณพยายามเต็มที่แล้ว นั่นคือความสำเร็จในแบบของคุณ
4.ขอความช่วยเหลือเมื่อรู้สึกไม่ไหว
ถ้าความกดดันเริ่มส่งผลต่อจิตใจ จนรู้สึกเศร้าลึก ๆ นอนไม่หลับ หมดเรี่ยวแรง หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือที่ให้ยืน การเข้าพบนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอ แต่คือการดูแลใจตัวเองอย่างกล้าหาญ.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4680739/
เรื่อง “แผลเท้าเบาหวาน ป้องกันอย่างไร”
แผลเท้าเบาหวานคือ แผลที่เท้าในผู้เป็นเบาหวานที่ต่ำกว่าระดับข้อเท้าลงมา มีความลึกที่ผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ (dermis) หรือลึกกว่านั้น และเป็นนานเกิน 14 วัน หรือมีแนวโน้มที่จะไม่หายภายใน 14 วัน
ผู้เป็นเบาหวาน
มีโอกาสเป็นแผลที่เท้า ประมาณร้อยละ 2 ต่อปี
ทั้งช่วงชีวิตมีโอกาสเป็นแผลที่เท้าสูงถึงร้อยละ 15-25
หากเคยมีแผลที่เท้ามีโอกาสเป็นแผลซ้ำในปีแรกสูงถึงร้อยละ 30-40
ผู้ที่ถูกตัดขา/ เท้า/นิ้ว มากกว่าร้อยละ 80 มีประวัติการเป็นแผลมาก่อน
เมื่อเป็นเบาหวานนาน หรือคุมน้ำตาลไม่ดี จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง?
มีอาการเท้าชา ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้ร้อนรู้เย็น หรือไม่รู้ตำแหน่งสัมผัส…อาจเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
กล้ามเนื้อขนาดเล็กลีบ เหงื่อออกน้อย… ทำให้เท้าผิดรูป ผิวแห้ง
เส้นประสาทส่วนปลายผิดปกติ หรือเลือดไปเลี้ยงน้อย…เกิดแผลเรื้อรัง
เท้าผิดรูป ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม … เกิดแผล
“การป้องกันไม่ให้เกิดแผลที่เท้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการถูกตัดเท้า นิ้วเท้าหรือขา”
การป้องกันแผลเท้าเบาหวาน
ตรวจเท้าประเมินความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้าอย่างละเอียดที่ รพ. อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
หรือตามระดับความเสี่ยง (ที่แพทย์หรือพยาบาลแจ้งให้ทราบ)
เพื่อค้นหาความเสี่ยงและความผิดปกติเข้าถึงการดูแลรักษาได้รวดเร็วและเหมาะสม
เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บเพราะอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจทำจากเอ็น/ ไนล่อน ไม่ใช่เข็ม
“ ใช้ไนลอนแตะเบา ๆ ที่ฝ่าเท้า 2 ข้าง…เพียงหลับตาแล้วตอบความรู้สึก ”
*** ถ้าตรวจพบว่าผิดปกติ จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดแผลที่เท้า 3 เท่า ***
ตรวจหาความผิดปกติทั่วเท้า ทุกซอกทุกมุม ทั้งสภาพผิวหนังและเล็บ รูปร่างเท้า/ แผลที่เท้า
คลำชีพจรที่เท้าเพื่อประเมินเลือดที่มาเลี้ยงขา บางคนชีพจรที่เท้าเบาลง หรือคลำไม่ได้
จัดกลุ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้า และจัดการปัญหา หรือส่งต่อแพทย์/แพทย์เฉพาะทาง
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี จะช่วยชะลอการสูญเสียการรับความรู้สึกที่เท้า ป้องกันโรคเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อมจากเบาหวาน และโรคหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
ไม่สูบบุหรี่/ บุหรี่ไฟฟ้า (e-cigarettes) หรือรับควันบุหรี่จากผู้อื่น หรืออยู่ในสถานที่ที่มีการสูบบุหรี่ เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงขาตีบ ทำให้เลือดไหลเวียนไปที่เท้าลดลง มีโอกาสเกิดแผลได้ง่าย
ระวังอย่าให้เกิดตุ่มน้ำพุพอง จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เล็บขบ หนังหนาด้าน หรือผิวแห้งแตก
ตรวจเท้าทุกวันเพื่อหาความผิดปกติ เช่น ผิวแห้งแตก แผล หนังหนา ตาปลา (เลี่ยงการตัดหนังหนา หรือตาปลาเอง) เล็บขบ เชื้อรา เป็นต้น หากพบความผิดปกติให้รีบแจ้งแพทย์หรือพบแพทย์
ทาครีม หรือโลชั่นทุกวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้เท้า ป้องกันเท้าหนา แห้งแตก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดแผลและติดเชื้อตามมา
ใส่ถุงเท้าและรองเท้าที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาล เพื่อป้องกันการเสียดสี
แรงกระแทก หรือเหยียบของมีคม… “รองเท้าควรใส่ทั้งในบ้านและนอกบ้าน…งดการเดินเท้าเปล่า”
ตัดเล็บเท้าแบบตรงไม่สั้นชิดเนื้อ ป้องกันการเกิดแผล และเล็บขบ
บริหารเท้า ขยับข้อต่อนิ้วเท้า หรือออกกำลังกายเท้าทุกวัน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณเท้าและข้อเท้า รวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนเลือด
งดวางกระเป๋าน้ำร้อนหรือประคบร้อนที่เท้าหรือขา เพราะประสาทรับความรู้สึกอาจลดลง
เท้าชา เกิดพุพอง น้ำร้อนลวก และเป็นแผลโดยไม่รู้ตัว มีโอกาสเสียเท้าหรือขา
ดูแลบาดแผลเบื้องต้น และแผลที่ไม่รุนแรงด้วยตนเอง อย่างถูกวิธี หรือปรึกษาแพทย์พยาบาลที่เชี่ยวชาญ
อาการที่ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว ….เดินแล้วปวดน่อง เท้าซีดเย็น นิ้วดำ หรือสีคล้ำ
ข้อมูลจาก พว.ปุญญาดา ณปัณพัฒน์ สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4669057/