เปิดแผนกู้วิกฤตกองทุนประกันสังคมล้มละลาย จ่อยืดอายุจาก 30 ปีไปเป็น 55 ปี

การแก้ปัญหากู้วิกฤตของกองทุนประกันสังคมที่คาดว่าเสี่ยงจะล้มละลายในอีก 30 ปีนี้ มีแนวทางอย่างไร และความคืบหน้าในการปฏิรูปประกันสังคม ออกจากระบบราชการ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมีคำตอบ อมยิ้ม11


จากการการศึกษาในปี 2563 ซึ่งสำนักงานประกันสังคม ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่า การดำเนินการของสำนักงานประกันสังคมภายใต้เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การพัฒนาสิทธิประโยชน์ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้รายรับไม่สมดุลกับรายจ่ายในอนาคต คาดว่าในปี 2597 เงินสำรองกองทุนจะลดลงเป็นศูนย์ อมยิ้ม07

ประมาณการสถานะเงินในกองทุนประกันสังคม ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
เงินสมทบเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำปีทั้งหมดไปจนถึงปี 2578
 ตั้งแต่ปี 2579 เป็นต้นไป ต้องใช้ผลตอบแทนการลงทุนรวมกับเงินสมทบ เพื่อให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำปี ทั้งนี้เงินสำรองยังคงมีกำรเติบโต แต่เป็นไปในอัตราที่ช้าลง
นับแต่ปี 2585 เป็นต้นไป รายรับรวม (เงินสมทบ ผลตอบแทนจากการลงทุน และรายได้อื่นๆ) ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายประจำปี และเงินสำรองกองทุนเริ่มลดน้อยลง
ในช่วงปี 2597 เงินสำรองกองทุนจะลดลงเป็นศูนย์
นับแต่ปี 2597 จะต้องเก็บเงินสมทบ เพื่อให้เพียงพอค่าใช้จ่ายในปีนั้น ตามอัตราเงินสมทบต้นทุน ซึ่งมีอัตรา 20.3 % ในปี 2597

กอทุนประกันสังคม
“ปัจจุบันเงินสำรองในกองทุนประกันสังคมยังมีเพียงพอต่อการจ่ายสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ผู้ประกันตนทุกคน ซึ่ง ณ เดือนธ.ค.2567 สำนักงานประกันสังคมให้ความคุ้มครองผู้ประกันตนกว่า 24,812,815 คน แต่ด้วยโครงสร้างของประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป และค่าบริการทางการแพทย์ ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้กองทุนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต”

อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ปัญหานี้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดลง การปฏิรูประบบบำนาญอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยองค์ประกอบหลักของการปฏิรูป ได้แก่ การขยายอายุการเกิดสิทธิรับบำนาญ และการเพิ่มอัตราเงินสมทบอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เปิด 4 แนวทางแก้ปัญหากู้วิกฤตประกันสังคมล้มละลาย
ดังนั้นข้อเสนอแนะสำคัญที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ทางสำนักงานประกันสังคม มองแนวทางไว้ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. การขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญ
เมื่อพิจารณาถึงอายุขัยในประเทศไทยและแนวทางปฏิบัติของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว พบว่า อายุเกษียณที่ 55 ปี ถือว่าต่ำเป็นพิเศษ จึงมีแนวคิดที่จะขยายออกไปเป็น 65 ปี ซึ่งเป็นแนวคิดที่มีการหยิบยกขึ้นหารือในการประชุม SSO Sustainable 2024 ซึ่งเป็นการประชุมวิชาการที่จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2567 โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบำนาญระดับโลก และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางรองรับสังคมสูงวัย
ทั้งนี้ หลายประเทศได้ปรับอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี เช่น สวีเดน ได้ขยายอายุเกษียณเป็น 67 ปี อย่างไรก็ตามการวางแผนและเปลี่ยนผ่านการเพิ่มอายุเกิดสิทธิรับบำนาญควรจัดทำขึ้นเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะยาว

2. ควรกำหนดการเพิ่มอัตราเงินสมทบตั้งแต่ในระยะสั้น
การประเมินค่าคณิตศาสตร์ประกันภัย แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความจำเป็นในการเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสมทบ ซึ่งอาจต้องเก็บเงินสมทบในอัตรา 20.2 % เพื่อให้กองทุนอยู่ได้ตลอดระยะเวลาประมาณการ 75 ปี แต่เป็นที่ทราบดีว่าการเพิ่มขึ้นทันที ในจำนวนที่สูงเช่นนี้นั้นไม่สามารถทำได้จริง รวมทั้งยังกระทบทางด้านเศรษฐกิจต่อนายจ้างและลูกจ้างอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเสนอแนะให้เพิ่มอัตราสมทบเงินบำนาญทีละน้อย และแบ่งเป็นระยะในช่วงเวลาหลายปี

3. การขยายเพดานค่าจ้าง
ควรขยายเพดานค่าจ้างในปัจจุบันทันที และขยายแบบค่อยเป็นค่อยไปหลังจากนั้น

4. สำนักงานประกันสังคมควรร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
ในการกำหนดนโยบายสร้างความยั่งยืนให้กองทุนที่ได้กำหนดวัตถุประสงค์เอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขตัวแปรปัจจัย ทั้งนี้ควรมีการกำหนดรายละเอียดของมาตราการเหล่านี้ไว้ในกฎหมาย

ทั้งนี้หากดำเนินการตามแนวทางทั้งหมด จะช่วยยืนอายุกองทุนประกันสังคมไปจากเดิม 30 ปี เป็น 55 ปี (มีการปรับปรุงประมาณการจาก ILO ข้อมูลถึง ธ.ค. 63 โดยใช้ข้อมูลถึง ก.ย. 2567 เงินสำรองกองทุนจะลดลงเป็นศูนย์ในปี 2598)

อัพเดทการปฏิรูปประกันสังคม ออกจากระบบราชการ
ส่วนการปฏิรูปประกันสังคม ออกจากระบบราชการ เป็นเสรีให้มืออาชีพมาบริหาร แก้กฎหมายประกันสังคมที่อยู่มา 35 ปี ให้ทันยุคสมัยนั้น ที่ผ่านมาทางสำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการศึกษาและเสนอเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างสำนักงานประกันสังคมให้เป็นองค์กรอิสระที่มิใช่ส่วนราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงานและให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด

โดยในปี 2538-2544 มีการศึกษาที่จะทำให้สำนักงานประกันสังคมเป็นองค์การมหาชนเพื่อเพิ่มความเป็นอิสระในการบริหารงาน แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องอำนาจ และการบริหารภายใต้กรอบของกฎหมาย พ.ร.บ.องค์การมหาชน

ต่อมาในปี 2547-2550 ได้มีการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างให้เป็นหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (SDU) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารกองทุน แต่ยังพบปัญหาจากข้อจำกัดของระบบราชการ จากนั้นในปี 2551-2553 ได้มีการศึกษาและเสนอให้ปรับโครงสร้างเป็นองค์การบริหารพิเศษ (Executive Agency) โดยเสนอตราเป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานประกันสังคมเป็นการเฉพาะ

ล่าสุดได้เสนอแยกกองบริหารการลงทุนเป็นหน่วยงานอิสระ มีการเสนอ (ร่าง) พ.ร.บ. กองทุนเพื่อการลงทุนของสำนักงานประกันสังคม พ.ศ. ... โดยมีหลักการเพื่อการลงทุนของสำนักงานประกันสังคม และนำเงินลงทุนไปลงทุน แทนสำนักงานประกันสังคม โดยกำหนดให้กองทุนมีฐานะเป็น นิติบุคคล และเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ แต่มีการเปลี่ยนรัฐบาล จึงยังไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี

ทั้งนี้ข้อจำกัดและความเสี่ยงจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง มีใน 4 เรื่องหลัก คือ
1.การบริหารงาน หากระเบียบ หลักเกณฑ์ในการสรรหากรรมการ และระบบการควบคุมภายในไม่รัดกุม การบริหารอาจถูกแทรกแซงทำให้ขาดประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร ไม่เป็นไปตามแผนและส่งผลเสียต่อประโยชน์ของผู้ประกันตน

2.การบริหารการเงิน การบริหารงบประมาณอาจไม่รัดกุม เท่าการจัดการภาครัฐ และอาจขาดการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล

3.การบริหารการลงทุน หากไม่มีการควบคุมที่ดี การลงทุนอาจถูกแทรกแซงและขาดประสิทธิภาพ

และ 4.การบริหารบุคลากร องค์กรจะมีภาระค่าใช้จ่ายสูงหากการบริหารบุคลากรไม่มีความรัดกุม เพราะต้องใช้งบประมาณของตนเองในการจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการ

ทั้งหมดล้วนเป็นแนวทางในการแก้ปัญหา การปฏิบัติก็คงไม่ง่าย แต่การมีแผนอย่างน้อยก็เป็นเข็มทิศที่จะต้องมุ่งขับเคลื่อนให้เกิดทางออกในการแก้ไข เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่