ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน

กระทู้สนทนา
1. "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน" (Community Economy Strategy) ของ สุขวิช รังสิตพล และ ชวน หลีกภัย (สมัยรัฐบาล 2538-2543)
แนวคิดหลัก: พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการเสริมสร้าง ศักยภาพชุมชน ให้พึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง ผ่านการสนับสนุน เงินทุนตั้งต้น (community fund) และ เงินกู้หมุนเวียน (revolving fund) ที่ชุมชนบริหารเองจริง ๆ
โครงสร้าง: เงินทุนไม่แจกตรงให้รายบุคคล แต่ตั้งเป็น กองทุนเศรษฐกิจชุมชน ภายใต้การบริหารของ คณะกรรมการหมู่บ้าน ที่โปร่งใส (เลือกตั้งจากคนในหมู่บ้านเอง)
กลไกสำคัญ:
สนับสนุนการตั้งกลุ่มอาชีพ
ส่งเสริมการเรียนรู้และอบรมการบริหารจัดการ
ให้เงินกู้หมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำมาก เพื่อกระตุ้นการผลิตและการค้าขายในชุมชน
มีการประเมินผลต่อเนื่อง พร้อมแผนพัฒนาศักยภาพระยะยาว
เป้าหมาย: ชุมชนต้องยืนได้ด้วยตัวเองใน 3–5 ปี ไม่พึ่งเงินรัฐต่อเนื่อง


2. "OTOP" (หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์), "กองทุนหมู่บ้าน", และ "ธนาคารประชาชน" ของพรรคไทยรักไทย (ทักษิณ ชินวัตร ปี 2544 เป็นต้นมา):
แนวคิดหลัก: กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบกระจายเงินลงไปยังชุมชนโดยตรง เพื่อสร้างกำลังซื้อและกระตุ้น GDP ทันที
โครงสร้าง:
OTOP: ผลักดันผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่ตลาด โดยมีเงินสนับสนุนจากรัฐ
กองทุนหมู่บ้าน: แจกเงินก้อนให้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โดยให้หมู่บ้านบริหารกู้ยืมกันเอง
ธนาคารประชาชน: ให้ประชาชนกู้เงินง่าย ๆ ผ่านธนาคารออมสินเพื่อเพิ่มการใช้จ่าย
กลไกสำคัญ:
แจกเงินตรงถึงหมู่บ้าน (ไม่ต้องตั้งระบบระเบียบชุมชนให้แข็งแรงก่อน)
ส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์แบบเน้นยอดขาย (mass market) ไม่ได้สร้างกระบวนการพัฒนาองค์ความรู้ระยะยาว
รัฐบาลใช้โครงการเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างฐานการเมือง
ผลข้างเคียง: เกิดปัญหาหนี้เสียสูง (NPL), บางพื้นที่ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์, ขาดความต่อเนื่องในการพัฒนาศักยภาพชุมชนจริงจัง

เทียบกันตรง ๆ:
หัวข้อสุขวิช-ชวนไทยรักไทย-ทักษิณ
เป้าหมายหลัก
พัฒนาศักยภาพชุมชนระยะยาว ยืนได้ด้วยตัวเอง
กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เพิ่มกำลังซื้อทันที
รูปแบบเงินทุน
ตั้งกองทุนบริหารหมุนเวียนโดยชุมชนเองอย่างเป็นระบบ
แจกเงินตรง ไม่เน้นสร้างระบบบริหารชุมชนก่อน
การควบคุม
ชุมชนเลือกตั้งคณะกรรมการ คุมเอง
รัฐแจกแล้วหมู่บ้านจัดการกันเอง บางแห่งขาดโปร่งใส
ผลระยะยาว
ชุมชนเข้มแข็ง ลดเหลื่อมล้ำจริง
ชุมชนบางแห่งติดหนี้เพิ่ม และไม่เกิดการพึ่งพาตนเองแท้จริง
ความยั่งยืน
สูง
ต่ำ
ความนิยมระยะสั้น
น้อย (เพราะต้องใช้เวลาพัฒนา)
สูงมาก (แจกเงินเร็ว เห็นผลทันที)

สรุป:
ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน ของสุขวิชและชวน ดีกว่า OTOP และกองทุนหมู่บ้าน/ธนาคารประชาชนในแง่ ความยั่งยืน การพัฒนาศักยภาพ และการลดความเหลื่อมล้ำ
แต่ ไม่ชนะในแง่ความนิยมการเมืองทันใจ เพราะแนวทางของสุขวิชต้องใช้เวลาในการปลูกฝังคนและสร้างระบบให้แข็งแรงก่อน ต่างจากนโยบายแจกเงินด่วนที่ทำให้คนรู้สึกพึงพอใจทันที

เปรียบเทียบว่า "ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน, เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน และเงินกู้เศรษฐกิจชุมชน" ที่ สุขวิช รังสิตพลและ ชวน หลีกภัย ทำไว้ในช่วงรัฐบาลชวน (2535–2540) นั้น ดีกว่า "OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน" ของ พรรคไทยรักไทย (ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา) อย่างไรใช่ไหมครับ
ผมขอสรุปให้ชัด ๆ ดังนี้:

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชน (สุขวิช รังสิตพล / ชวน หลีกภัย)
ช่วงเวลา: 2538–2543 (ยุคแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8)
แนวคิดหลัก: "เสริมศักยภาพ" ชุมชนด้วย องค์ความรู้เงินทุนเบื้องต้น, และ การบริหารจัดการตนเอง
เงินทุน: ตั้งกองทุนเศรษฐกิจชุมชน (Community Economic Fund) ให้หมู่บ้านละ 300,000–500,000 บาท (ปี 2538) โดยมีระบบบริหารเองภายในหมู่บ้าน
เงินกู้: ชุมชนคิดดอกเบี้ยเอง, ตั้งกฎเกณฑ์เอง, หมุนเวียนในกลุ่ม
วิธีใช้: เน้นให้ชาวบ้านสร้าง “กิจกรรมเศรษฐกิจชุมชน” เช่น กลุ่มเกษตรแปรรูป, งานหัตถกรรม, กลุ่มผลิตสินค้า
สนับสนุน: รัฐให้การอบรม-ให้ความรู้การบริหาร, การตลาด, การผลิต
เป้าหมาย: ทำให้หมู่บ้านพึ่งพาตนเองได้ใน 5–10 ปี ไม่ติดวังกับรัฐ

OTOP, กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน (พรรคไทยรักไทย)
ช่วงเวลา: 2544 เป็นต้นมา
แนวคิดหลัก: "กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า" โดยอัดฉีดเงินและสนับสนุนการผลิตสินค้า
เงินทุน: แจกกองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาททันทีต่อหมู่บ้าน (ไม่มีการเตรียมความพร้อมหมู่บ้านก่อน)
เงินกู้: ตั้งธนาคารประชาชน ให้ประชาชนกู้ได้ง่าย ดอกเบี้ยต่ำ
วิธีใช้: หมู่บ้านสามารถใช้เงินได้ค่อนข้างอิสระ มีการกู้ยืมไปใช้จ่ายบริโภคหรือหนี้เก่า
สนับสนุน: รัฐสนับสนุนการทำสินค้า OTOP (หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์)
เป้าหมาย: เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าและฐานคะแนนเสียงการเมือง

เปรียบเทียบข้อดีของสุขวิช ชวน กับไทยรักไทย
ประเด็นสุขวิช / ชวนไทยรักไทย
การเตรียมตัวชุมชน
เตรียมความพร้อม อบรม องค์ความรู้ก่อน
แจกเงินทันที
เป้าหมายระยะยาว
พึ่งพาตนเองใน 5–10 ปี
กระตุ้นบริโภคทันที
การบริหารเงินกู้
ชุมชนตั้งกฎเกณฑ์ คัดกรอง ใช้เงินทำธุรกิจจริง
ปล่อยกู้กว้าง ใช้จ่ายส่วนตัวได้
ผลลัพธ์ชัดเจน
หมู่บ้านเข้มแข็ง-มีวิสาหกิจชุมชนเพิ่ม
มีสินค้า OTOP แต่หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น
การสร้างวินัยการเงิน
เน้นวินัยการออม-การลงทุนหมุนเวียนในกลุ่ม
ปล่อยกู้เสรี ลดวินัยการเงิน
ภาระหนี้ภาครัฐ
น้อยกว่ามาก เพราะรัฐสนับสนุนเบื้องต้นเท่านั้น
รัฐต้องอุดหนุนต่อเนื่อง หนี้สาธารณะสูงขึ้น

สรุปสั้น ๆ
แนวทาง สุขวิช–ชวน ลงลึก เตรียมชุมชนจริง ปลูกฝังให้บริหารตนเองได้ยั่งยืน
แนวทาง ไทยรักไทย เร่งแจกเงินทันที กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่เพิ่มหนี้ครัวเรือน และสร้างภาระระยะยาว
ผลสุดท้าย: เศรษฐกิจชุมชนแบบสุขวิช–ชวน ดีกว่า OTOP กองทุนหมู่บ้านและธนาคารประชาชน ในแง่ความยั่งยืนและสร้างการพึ่งพาตนเองจริง


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่