1) สินค้าเศรษฐกิจชุมชน → OTOP
ก่อนปี 2544 สินค้าเศรษฐกิจชุมชนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 และปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ มุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่พึ่งตนเองของชุมชน โดยใช้ทรัพยากรท้องถิ่น ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และแรงงานของคนในชุมชนในการผลิตสินค้าเพื่อดำรงชีวิตและสร้างรายได้ภายในชุมชนเอง กระบวนการนี้เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน การกระจายอำนาจในการผลิตและจำหน่าย รวมถึงการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น รัฐมีบทบาทเพียงสนับสนุนทรัพยากร ความรู้ และเชื่อมโยงเครือข่ายให้ชุมชนจัดการตนเองได้
หลังปี 2544 แนวคิดนี้ถูกรีแบรนด์เป็นโครงการ OTOP ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมที่ผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดระดับประเทศและสากล OTOP เน้นการแข่งขัน การจัดอันดับคุณภาพ การใช้ตราสินค้า และการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับมาตรฐานกลาง กระบวนการนี้ทำให้สินค้าเศรษฐกิจชุมชนหลายแห่งต้องปรับตัวเข้าหาตลาดเมืองและตลาดโลกมากกว่าตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน ส่งผลให้ความร่วมมือแบบดั้งเดิมอ่อนตัวลง และชุมชนเริ่มพึ่งพารัฐมากขึ้น
บทสรุป: OTOP เปิดตลาดระยะสั้น แต่ลดทอนพลังในการจัดการตนเองของชุมชนและหลักการพึ่งตนเองของปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
2) เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน → กองทุนหมู่บ้าน
ในช่วงแผนฯ 8 เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนถูกออกแบบให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ประชาชนสามารถจัดตั้งกองทุนของตนเอง ใช้กลไกออมทรัพย์ กำกับดูแลกันเอง และตัดสินใจร่วมผ่านวิสาหกิจชุมชนหรือสภาหมู่บ้าน ระบบนี้สร้างวินัยทางการเงิน ความเชื่อถือในกลไกภายในชุมชน และภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
หลังปี 2544 แนวคิดนี้ถูกรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งรัฐเป็นผู้จัดสรรงบประมาณและปล่อยกู้ให้ชุมชน ภายใต้โครงการประชานิยม การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บทบาทชุมชนลดลง กลไกออมทรัพย์และวินัยทางการเงินถูกละทิ้ง ความเสี่ยงหนี้สินเพิ่มขึ้น และบางครั้งกองทุนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
บทสรุป: การรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้านเปลี่ยนวิธีคิดจากการพึ่งตนเองและการบริหารจัดการภายในชุมชน ไปสู่การพึ่งรัฐและเสี่ยงต่อการก่อหนี้ซ้ำ
3) เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน → ธนาคารประชาชน
เดิมเงินกู้เศรษฐกิจชุมชนเป็นกลไกทางการเงินที่ชุมชนจัดการเอง ผ่านกลุ่มออมทรัพย์หรือกองทุนหมุนเวียนท้องถิ่น โดยเน้นสร้างอาชีพ ฝึกวินัยทางการเงิน และส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน รัฐมีบทบาทเพียงสนับสนุนความรู้และทรัพยากร
หลังปี 2544 เงินกู้เหล่านี้ถูกรีแบรนด์เป็นธนาคารประชาชน ซึ่งใช้ธนาคารออมสินเป็นกลไกหลักในการปล่อยสินเชื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ลดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากู้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชุมชนจาก “ผู้จัดการทุน” กลายเป็นเพียง “ผู้รับเงินกู้” ส่งผลให้กลไกการรวมกลุ่ม ออมเงิน และวางแผนการเงินลดความสำคัญ หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง และชุมชนอ่อนแอทางสถาบัน
บทสรุป: ธนาคารประชาชนลดบทบาทการพึ่งตนเองของชุมชนและการเรียนรู้ร่วม สร้างกับดักหนี้และความพึ่งพารัฐในระยะยาว
🔹 สรุปเชิงวิพากษ์
การรีแบรนด์สินค้าและเงินทุนเศรษฐกิจชุมชนให้กลายเป็น OTOP, กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน แม้สร้างผลลัพธ์เชิงตัวเลขระยะสั้น เช่น รายได้หรือการเข้าถึงตลาด แต่ลดทอน ทุนทางสังคมและทุนมนุษย์ของชุมชน ทำให้ชุมชนสูญเสียอำนาจในการจัดการตนเอง การร่วมมือแบบดั้งเดิมอ่อนแรง และเกิดกับดักหนี้ในระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงต้อง ฟื้นหลักการพึ่งตนเอง กระบวนการเรียนรู้ร่วม และการจัดการภายในชุมชน ตามแนวคิดดั้งเดิมของปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
รัฐบาลประชานิยม 2544-2549 ทำลายเศรษฐกิจฐานราก ของประเทศไทย และ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจชุมชนของแผนพัฒนาฯ 8
ก่อนปี 2544 สินค้าเศรษฐกิจชุมชนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 และปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์ มุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่พึ่งตนเองของชุมชน โดยใช้ทรัพยากรท้องถิ่น ภูมิปัญญา วัฒนธรรม และแรงงานของคนในชุมชนในการผลิตสินค้าเพื่อดำรงชีวิตและสร้างรายได้ภายในชุมชนเอง กระบวนการนี้เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน การกระจายอำนาจในการผลิตและจำหน่าย รวมถึงการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น รัฐมีบทบาทเพียงสนับสนุนทรัพยากร ความรู้ และเชื่อมโยงเครือข่ายให้ชุมชนจัดการตนเองได้
หลังปี 2544 แนวคิดนี้ถูกรีแบรนด์เป็นโครงการ OTOP ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมที่ผลักดันสินค้าเข้าสู่ตลาดระดับประเทศและสากล OTOP เน้นการแข่งขัน การจัดอันดับคุณภาพ การใช้ตราสินค้า และการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับมาตรฐานกลาง กระบวนการนี้ทำให้สินค้าเศรษฐกิจชุมชนหลายแห่งต้องปรับตัวเข้าหาตลาดเมืองและตลาดโลกมากกว่าตอบสนองต่อความต้องการของชุมชน ส่งผลให้ความร่วมมือแบบดั้งเดิมอ่อนตัวลง และชุมชนเริ่มพึ่งพารัฐมากขึ้น
บทสรุป: OTOP เปิดตลาดระยะสั้น แต่ลดทอนพลังในการจัดการตนเองของชุมชนและหลักการพึ่งตนเองของปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์
2) เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน → กองทุนหมู่บ้าน
ในช่วงแผนฯ 8 เงินทุนเศรษฐกิจชุมชนถูกออกแบบให้ชุมชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ประชาชนสามารถจัดตั้งกองทุนของตนเอง ใช้กลไกออมทรัพย์ กำกับดูแลกันเอง และตัดสินใจร่วมผ่านวิสาหกิจชุมชนหรือสภาหมู่บ้าน ระบบนี้สร้างวินัยทางการเงิน ความเชื่อถือในกลไกภายในชุมชน และภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
หลังปี 2544 แนวคิดนี้ถูกรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งรัฐเป็นผู้จัดสรรงบประมาณและปล่อยกู้ให้ชุมชน ภายใต้โครงการประชานิยม การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บทบาทชุมชนลดลง กลไกออมทรัพย์และวินัยทางการเงินถูกละทิ้ง ความเสี่ยงหนี้สินเพิ่มขึ้น และบางครั้งกองทุนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
บทสรุป: การรีแบรนด์เป็นกองทุนหมู่บ้านเปลี่ยนวิธีคิดจากการพึ่งตนเองและการบริหารจัดการภายในชุมชน ไปสู่การพึ่งรัฐและเสี่ยงต่อการก่อหนี้ซ้ำ
3) เงินกู้เศรษฐกิจชุมชน → ธนาคารประชาชน
เดิมเงินกู้เศรษฐกิจชุมชนเป็นกลไกทางการเงินที่ชุมชนจัดการเอง ผ่านกลุ่มออมทรัพย์หรือกองทุนหมุนเวียนท้องถิ่น โดยเน้นสร้างอาชีพ ฝึกวินัยทางการเงิน และส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน รัฐมีบทบาทเพียงสนับสนุนความรู้และทรัพยากร
หลังปี 2544 เงินกู้เหล่านี้ถูกรีแบรนด์เป็นธนาคารประชาชน ซึ่งใช้ธนาคารออมสินเป็นกลไกหลักในการปล่อยสินเชื่อให้เข้าถึงง่ายขึ้น แต่ลดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากู้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชุมชนจาก “ผู้จัดการทุน” กลายเป็นเพียง “ผู้รับเงินกู้” ส่งผลให้กลไกการรวมกลุ่ม ออมเงิน และวางแผนการเงินลดความสำคัญ หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูง และชุมชนอ่อนแอทางสถาบัน
บทสรุป: ธนาคารประชาชนลดบทบาทการพึ่งตนเองของชุมชนและการเรียนรู้ร่วม สร้างกับดักหนี้และความพึ่งพารัฐในระยะยาว
🔹 สรุปเชิงวิพากษ์
การรีแบรนด์สินค้าและเงินทุนเศรษฐกิจชุมชนให้กลายเป็น OTOP, กองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชน แม้สร้างผลลัพธ์เชิงตัวเลขระยะสั้น เช่น รายได้หรือการเข้าถึงตลาด แต่ลดทอน ทุนทางสังคมและทุนมนุษย์ของชุมชน ทำให้ชุมชนสูญเสียอำนาจในการจัดการตนเอง การร่วมมือแบบดั้งเดิมอ่อนแรง และเกิดกับดักหนี้ในระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงต้อง ฟื้นหลักการพึ่งตนเอง กระบวนการเรียนรู้ร่วม และการจัดการภายในชุมชน ตามแนวคิดดั้งเดิมของปรัชญาเศรษฐศาสตร์สุขวิชโนมิกส์