ผมขอใช้พื้นที่นี้ระบายประสบการณ์ความรักอันแสนโหดร้ายของผม ตอนนี้ผมจมอยู่กับความเศร้าเหลือเกิน เผื่อมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
ผมเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งวันหนึ่งเขาก็ได้เข้ามาทำงานในโรงเรียนที่ผมทำงานอยู่ เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่อยู่ในฝ่ายผม พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นผู้ช่วยผม จากการที่ได้ทำงานอยู่ด้วยกันก็ทำให้เราได้รักกัน จนถึงขนาดว่าเราตัดสินใจจะแต่งงานกัน เราคบหากันได้ประมาณปีกว่าเขาก็สอบติดราชการครูต้องไปเป็นครูผู้ช่วยอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ผมใจหายมากตอนที่รู้ว่าเราจะต้องห่างกัน ผมไม่อยากให้เขาไปเลย และเขาก็บอกว่าเขาไม่อยากไป เขาไม่อยากห่างผมเหมือนกัน แต่เพื่อความก้าวหน้าของเขาและอาจจะเป็นของเรา ผมก็ต้องจำใจพูดว่าอยากให้เขาไปเพื่อตัวเขาเองและเพื่อเรา อีกไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เขาก็จะต้องเดินทางแล้ว ผมตื่นมาใจหายทุกวันที่รู้ว่าเราจะต้องห่างกัน วันหนึ่งเรานั่งทำงานอยู่โรงเรียนจนค่ำ จนเหลืออยู่ด้วยกันสองคน ผมนั่งทำงานอยู่ เขาเดินมานั่งพื้นข้าง ๆ เก้าอี้ผมแล้วเอาหัวซบที่เข่าผม ผมเอามือลูบหัวเขา ผมเจ็บมาก ๆ ในตอนนั้นอยากจะร้องให้ออกมาดัง ๆ ผมไม่อยากห่างเขาเลย แต่เพื่ออนาคตก็ต้องจำใจให้เขาไป ถึงวันที่เขาเดินทางผมถึงกับน้ำตาไหล แต่ผมก็ไม่ได้ให้เขารู้ เพราะคิดว่าเขาก็คงรู้สึกเหมือนกันไม่อยากให้เขาเป็นกังวล เราสัญญากันว่าเราจะแต่งงานกันทันทีที่เขาผ่านครูผู้ช่วยและได้กลับมา เขาถามผมว่าผมจะรอเขาได้ไหม ผมตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าต้องรอได้อยู่แล้วไม่ว่านานเท่าไรผมก็รอได้
จากวันนั้นมาเราก็ใช้วิธีวีดีโอคอลหากันทุกวัน คือทุกวันจริง ๆ ทำอะไร อยู่ไหน เลิกงานตอนไหน เราจะบอกกันตลอด “หนูเลิกงานแล้ว กำลังจะกลับ กลับถึงบ้านแล้วนะ กำลังจะกินข้าว อาบน้ำ” แล้วโทรหากันจนถึงเวลานอน ไม่ว่าเราจะยุ่งขนาดไหน เหนื่อยขนาดไหน ก็จะโทรหากันทุกวัน เปิดวีดีโอคอลทิ้งไว้แล้วก็ต่างคนต่างทำงาน วันหยุดเราก็จะดูหนังด้วยกันโดยใช้โปรแกรม Teleparty และเราก็จะมีเกมส์ที่เล่นด้วยกัน Dead by Daylight เราจะเล่นกันทุกวันศุกร์ วันศุกร์จะเป็นวันของเราที่พักงานไว้แล้วมาเล่นเกมส์ดูหนังมีความสุขร่วมกัน ศุกร์หนึ่งเขามาเล่าผมว่าเพื่อนชวนไปกินหมูกระทะแต่เขาปฏิเสธไปเพราะอยากอยู่กับแฟนมากกว่า มันทำให้หัวใจผมฟูมาก ผมดีใจมาก ๆ จนผมไม่อาจลืมคำ ๆ นั้นที่บอกว่าอยากอยู่กับแฟนมากกว่า เขาเล่าเสมอว่ามีคนมาจีบแต่เขาก็บอกทุกคนว่ามีแฟนแล้ว ผมนี่ไว้ใจเขามากและยิ่งรักเขามาก และมั่นใจว่าวันที่เราจะได้แต่งงานกันต้องมาถึงแน่นอน ถึงแม้จะห่างกายแต่ใจไม่เคยห่างกันสำหรับความรู้สึกของผม และผมก็มั่นใจว่าเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ระหว่างที่ห่างกันผมก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนอื่นเลยผมรู้แค่ว่ารักเขามาก ผมต้องไม่ทำให้เขาเสียใจ
เราใช้ชีวิตแบบห่างกายแต่ไม่ห่างใจมาเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งปี หนึ่งปีนั้นไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหนเหนื่อยขนาดไหนเราก็ไม่เคยห่างกัน เราไม่เคยมีวันไหนที่จะไม่ได้วีดีโอคอลหากัน โทรบอกฝันดีกันก่อนนอน แต่วันนั้นก็มาถึงเขาเริ่มบอกว่ายุ่งมาก ยังไม่เลิกงาน ต้องเตรียมงานจนดึก ไม่ได้โทรหานะวันนี้ จากหนึ่งครั้งเป็นสองครั้ง และเริ่มบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่วันศุกร์ที่เคยเป็นวันของเราเขาก็ลืมมันไป แม้แต่วันเกิดผมที่ผ่านมาเขาก็ลืมมัน เขาเริ่มพูดว่าเขาน้อยใจที่เห็นคนอื่นอยู่กับแฟนเขาแต่เขาต้องอยู่คนเดียว ผมก็ได้แต่พูดว่ารออีกหน่อยเดี๋ยวเราก็ได้อยู่ได้กันแล้ว นี่ก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้วอีกแค่ปีเดียวเอง หลัง ๆ มาเขาเลิกงานตอนไหนก็ไม่บอก เวลาที่เคยโทรหากันเขาก็ไม่โทร ผมต้องอธิบายอย่างนี้ เวลาเลิกงานผมจะเป็นเวลาที่แน่นอน แต่เขาจะเลิกงานไม่แน่นอนเพราะอาจจะถูกใช้งานอย่างอื่นเพราะเป็นครูผู้ช่วย และเขาจะเลิกงานหลังผมทุกวัน เขาจึงเป็นฝ่ายโทรมาเมื่อเขาพร้อม ส่วนผมพร้อมรับโทรศัพท์เขาเสมอ แต่ช่วงหลัง ๆ เขาไม่บอกว่าเลิกงานแล้ว ถึงเวลาโทรเขาก็ไม่โทร จนบางวันผมต้องโทรไปทักไป ถึงได้คุยกัน ผมก็น้อยใจมาก ๆ แต่ก็คิดว่าเขาคงเหนื่อยกับงาน ถึงจะน้อยใจแต่ผมก็ทำใจยอมรับได้ วันที่ 9 มกราคม 2568 เขาไม่ส่งข้อความมาบอกว่าเลิกงานหรือยัง ประมาณสองทุ่มก็ไม่โทรมา ผมน้อยใจมาก ๆ แต่ก็อยากคุยมาก ๆ ก็เคยทักไปถามว่าเลิกงานหรือยัง เขาตอบกลับว่าเลิกงานแล้ว แล้วเขาก็โทรมา พอโทรมาเขาก็เปิดเพลงใส่มีเนื้อหาประมาณว่า “หรือรักเราจะผิดตั้งแต่เริ่มต้น” เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมมาก เขาบอกเขาเหนื่อยกับงาน วันนี้เขาเหนื่อยเขาอยากอยู่คนเดียวได้ไหม “ขอหนูโสดสักวันได้ไหม” เขาพูดคำนี้มาผมน้ำตาตกใน ที่ห่างกันผมก็น้อยใจมาก ๆ แต่ผมทนได้ แต่เขามาพูดคำนี้ เขาเหนื่อย เขาเลือกจะอยู่คนเดียว แล้วผมหละผมไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหม ผมเป็นกำลังใจให้เขาไม่ได้เลยใช่ไหม ด้วยความน้อยใจก็เลยตอบเขาไปว่า “ให้โสดตลอดไปเลย” แล้วเขาก็บอกงั้นขอเขาอยู่คนเดียวนะแล้วเขาก็วางสายไป
ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าเขามีคนอื่นหรือเปล่า เขาวางสายจากผมแล้วไปโทรหาคนอื่นหรือเปล่า แต่ผมก็ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่หรอก เขาคงจะเหนื่อยจริง ๆ ผมนอนไม่หลับคิดเรื่องวันนี้ก็น้ำตาไหล ผมว่าผมหลับไม่ถึงชั่วโมงในคืนนั้นแล้วก็ต้องตื่น เพราะวันนั้นเป็นวันศุกร์ผมต้องทำงาน แต่คิดว่าวันนี้เป็นวันศุกร์หัวใจผมก็ฟูอย่างมีความหวัง เพราะวันศุกร์มันเป็นวันของเราวันนี้ผมตั้งใจจะพูดกับเขาดี ๆ เอาใจเขาให้มาก ๆ ผมคิดถึงเขามาก ๆ ผมอยากให้ถึงช่วงตอนเย็นเร็ว ๆ แต่พอถึงช่วงตอนเย็น เขาก็ไม่ทักมาเหมือนเดิม ไม่บอกว่าเลิกงานหรือยัง ผมนั่งเฝ้าโทรศัพท์อย่างมีความหวัง จนถึงสองทุ่มก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเขา ผมจึงทักไปหาว่าเลิกงานหรือยัง เขาก็ไม่ตอบ ผมรอจนถึงสามทุ่มเขาก็ยังเงียบก็เลยโทรไป วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568 ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้ ไม่ว่าจะทักไป โทรไปเขาก็ไม่รับโทรศัพท์ ผมโทรหาไม่รู้สักกี่สายผมก็ไม่ได้นับ จนถึงเที่ยงคืนผมจึงหยุดโทร ผมจึงตัดสินใจนอน แต่ผมก็นอนไม่หลับยิ่งนอนก็ยิ่งคิดว่าผมคงโดนทิ้งแน่ ๆ ตอนนี้เขาจะอยู่กับคืนอื่นหรือเปล่า สรุปคืนนั้นผมก็ไม่ได้นอนลุกขึ้นมาทำงานที่พอทำได้จนเช้า เพราะอีกวันเป็นวันเสาร์ เช้าประมาณ 8 โมงเช้า ผมก็เริ่มโทรหาเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่รับเช่นเดิม ผมก็โทร ๆ หยุด ๆ ไปจนถึงช่วงประมาณ 10 โมงเขาถึงรับโทรศัพท์
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 ผมได้คุยกับเขาอีกครั้ง คำแรกที่ผมถามเขา “เปลี่ยนใจแล้วหรอ” เขาบอกเขาก็คิดทบทวนมานานแล้ว เขาไม่อยากโกหกความรู้สึก เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้ เขาบอกตรง ๆ ว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว ความรู้สึกผมคือยากจะตายไปเสียตรงนั้น ผมถามเขาถึงเหตุผล และเหตุผลของเขาคือ “เป็นเพราะเราห่างกันมันทำให้เขาไม่ได้รักผมแล้ว” ผมถามย้ำว่า “บอกเลิกผมเพื่อที่จะไปเริ่มต้นกับคนใหม่หรือเปล่า” เขาก็ปฏิเสธว่าไม่ได้มีใคร แค่เขาเหนื่อย เขาอยากอยู่คนเดียว เขาอยากใช้ชีวิต คือผมก็ทำใจเชื่อไม่ได้หรอกว่าเขาไม่ได้มีคนอื่น แล้วอยู่ ๆ จะมาบอกเลิกผม แต่ในเมื่อเขาหมดรักผมแล้ว ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็เลยจากกัน 11 มกราคม 2568 ยังเป็นวันที่เจ็บปวดเสมอสำหรับผม เขาบอกให้ผมรอ ผมก็รอมาตลอด “รอหนูหน่อยได้ไหม” คำ ๆ นั้นมันยังก้องอยู่ในหู ผมมั่นคงกับเขามาตลอด แต่เขากลับเป็นคนมาทิ้งกันไป ผมเจ็บปวดมาก เขาเป็นทั้งเพื่อน คนรัก และเป้าหมายของชีวิต วันที่มีเขามันทำให้ผมรู้ผมต้องเหนื่อย ต้องพยายามไปเพื่ออะไร อยากจะอยู่ด้วยกัน อยากเติบโตไปด้วยกัน แต่พอเขาจากไปผมเหมือนคนหลงทาง เคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย กลางวันมันว่างเปล่าสำหรับผม กลางคืนก็แสนยาวนาน ผมเจ็บมาก ถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อที่หัวผมคงให้เขาฆ่าผมโดยที่ผมไม่ขัดขืนเลย ถึงผมจะโดนกระทำแค่ไหนหากเขาได้บังเอิญเข้ามาอ่าน ผมก็ยังอยากบอกว่า รักที่สุด รักเสมอ รักตลอดไป และคงไปรักใครไม่ได้อีกแล้ว ใช่! “เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้” เขาเลือกที่จะหมดรัก แต่ผมเลือกที่จะรักตลอดไป ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมเจ็บก็ตาม ผมยังรักและเจ็บอย่างมีความหวังว่าสักวันเราจะกลับมารักกันได้ ..................
และผมก็ต้องเจ็บอีกเป็นรอบที่สอง รอบนี้ผมสาหัสมาก อาจจะมากกว่าครั้งแรกในเดือนมกราคม ปิดเทอมช่วงสงกรานต์เขาส่งข้อความมาหาผม “หนูกลับมาถึงบ้านแล้วนะ” คือบ้านเราก็อยู่ห่างกันไม่ถึง 2 กิโลเมตร ผมอ่านข้อความแล้ว ก็ตอบกลับ แล้วเราก็ได้คุยกันอีกครั้งหลังจากเขาทิ้งผมไปเกือบ 3 เดือน 11 เมษายน 2568 เราได้คุยกันแบบจริงจัง แต่ก็ได้เพียงส่งข้อความ คุยถึงเรื่อง ๆ เก่า ผมก็เลยถามเขา ขอให้เขายืนยันเหตุผลที่เขาบอกเลิกผม มันยังค้างคาใจผมมาตลอด ที่เขาบอกว่าเขาไม่ได้มีใคร เขาเพียงแค่เหนื่อยอยากอยู่คนเดียว มันจริงหรือหลอกกัน เขาไม่ได้ทิ้งกันไปเพื่อที่จะไปเริ่มต้นกับคนใหม่ใช่ไหม เขาบอกเขายืนยันตามนั้นจริง ๆ เขาไม่ได้มีใคร และถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีใคร หัวใจผมฟูมากผมเพ้อฝันไปว่าเราอาจจะกลับมาคบกันเหมือนเดิมได้ เขาทำให้ผมมีความหวังอีกครั้ง ถ้าเรากลับมาคบกันได้อีกครั้ง ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไปอีก ผมตัดสินใจ ขอเขาแต่งงาน ขอกำหนดวันแต่งเลย แต่เขาก็บอกว่า “ให้รอจนเขาผ่านครูผู้ช่วยก่อนได้ไหม ถึงวันนั้นถ้าเราทั้งคู่ยังรักกัน เรามาแต่งานกัน” ผมรอได้อยู่แล้วนานเท่าไรผมก็รอได้ ผมขอโทรหาเขา แต่เขาบอกขอช่วงเย็น เพราะเขามีนัดกับเพื่อนกลับมาเย็น ๆ ผมเลยนัด 2 ทุ่ม
วันที่ 11 เคยเป็นวันที่แย่สำหรับผม แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าผมหลุดออกมาจากนรกแห่งความเศร้าตลอดเวลา 3 เดือน หัวใจผมมันฟูด้วยความหวัง เวลาแห่งการรอคอยมันช่างยาวนานมากสำหรับผม ผมอยากให้ถึง 2 ทุ่มเร็ว ๆ แต่พอถึงเวลานัด เขาบอกเขาเหนื่อยอยากพัก ขอเป็นวันหลังได้ไหม ผมถามเขาไปตรง ๆ “ยังไม่พร้อมเจอกันหรอ” เขาบอกว่า “หลาย ๆ อย่าง” เขาให้เหตุผลผมมาแค่นี้ เขามาให้ความหวังผมแล้วเขาก็พังมันด้วยตัวเขาเองอีกแล้ว ผมต้องนอนร้องให้ไปอีกหนึ่งคืน และเป็นอีกคืนที่ผมไม่สามารถหลับได้เลย
เช้าวันที่ 12 ผมทักไปหาเขาอีกครั้งด้วยความหวัง ขอโทรหา ขอนัดเจอได้ไหม เขาบอกเขาไม่พร้อม ผมก็เลยถามย้ำว่าตอนนี้ไม่ได้มีใครอยู่จริง ๆ หรอ ผมขอร้องให้เขาตอบมาตรง ๆ เขาเลยยอมรับว่ามีคนที่อยู่ด้วยกันแล้ว แต่เขาไม่ได้จริงจัง “คำว่าไม่มีใครของเขา คืออยู่ด้วยกันแต่ไม่จริงจัง” ผมแทบบ้า มันคนละความหมายเลยสำหรับผม แต่ด้วยที่ผมรักเขาหมดหัวใจ ผมถามเขาว่า เลิกกับเขาได้ไหม ที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป เขาบอกเขาขอเวลาจนถึง 1 มิถุนายน แล้วเขาจะให้คำตอบ เขาถามผมว่ารอได้ไหม รอหนะผมรอได้ รอไปจนอีกกี่ปีกี่ชาติผมก็รอได้ แต่ให้ผมรอโดยมีไม่รู้คำตอบจะเป็นแบบไหน รอทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจอยู่กับคนอื่นตลอดเวลาที่ผมต้องรอ หัวใจผมจะรับได้อย่างไร ผมทรมานมาตลอด 3 เดือน และผมจะต้องทรมานไปโดยที่ไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดอีกหรอ เขาใจร้ายกับผมมาก ผมเป็นได้แค่ตัวเลือกของเขา แม้ว่าหัวใจผมจะเรียกร้องอยากอยู่กับเขา ไม่อยากจากเขา แต่มันคงถึงเวลาที่ต้องตัดใจจริง ผมเจ็บมาก เจ็บจนทนไม่ไหว ผมไม่สามารถทนเจ็บแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมตัดสินใจไม่ทำตามหัวใจเรียกร้อง ตอบเขาว่า “คงรอแบบนั้นไม่ได้” แต่หัวใจผมหนะมันเรียกร้องว่าให้ตอบตกลง ผมเจ็บมาก ๆ ที่ตอบปฏิเสธไป ผมไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว ผมบอกขอให้ผมหายไปจากชีวิตเขาเถอะนะ เราคงไม่สามารถพูดคุยพบเจอกันได้อีกแล้ว ผมขอเลือกทางที่ผมเจ็บที่สุด ผมขอไม่ฟังเสียงของหัวใจ ผมอยากหายเจ็บ ผมเจ็บจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาผมเจ็บมาตลอดเพราะผมยังมีความหวัง ความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ว่าเราอาจจะกลับมาคบกันได้มันทำให้ผมเจ็บมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว มันเจ็บที่สุด แต่อย่างน้อยความเจ็บนี้คงมีที่สิ้นสุด ที่เหลือก็คงต้องทนเจ็บต่อไปแบบนี้ หวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจ .........
โดย..อ้วน ๆ แด่..หนู ๆ สนับสนุนโดย คาปิบาร่าและแมวส้ม
การจากไปเป็นศัตรูของความรัก การจากไปทำให้ความรักที่มีอยู่น้อยนิดดับสลาย เหมือนลมที่กรรโชกเปลวไฟบนปลายเทียนให้ดับลง แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความรักที่มีอยู่ท่วมท้นให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นอีกเปรียบไม่ผิดอะไรกับลมที่โหมกระพือกองไฟให้ลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น : เพชรพระอุมา
ถูกทำให้เจ็บกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำไมยังรักเขาอยู่
ผมเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งวันหนึ่งเขาก็ได้เข้ามาทำงานในโรงเรียนที่ผมทำงานอยู่ เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่อยู่ในฝ่ายผม พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็เหมือนเป็นผู้ช่วยผม จากการที่ได้ทำงานอยู่ด้วยกันก็ทำให้เราได้รักกัน จนถึงขนาดว่าเราตัดสินใจจะแต่งงานกัน เราคบหากันได้ประมาณปีกว่าเขาก็สอบติดราชการครูต้องไปเป็นครูผู้ช่วยอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ผมใจหายมากตอนที่รู้ว่าเราจะต้องห่างกัน ผมไม่อยากให้เขาไปเลย และเขาก็บอกว่าเขาไม่อยากไป เขาไม่อยากห่างผมเหมือนกัน แต่เพื่อความก้าวหน้าของเขาและอาจจะเป็นของเรา ผมก็ต้องจำใจพูดว่าอยากให้เขาไปเพื่อตัวเขาเองและเพื่อเรา อีกไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เขาก็จะต้องเดินทางแล้ว ผมตื่นมาใจหายทุกวันที่รู้ว่าเราจะต้องห่างกัน วันหนึ่งเรานั่งทำงานอยู่โรงเรียนจนค่ำ จนเหลืออยู่ด้วยกันสองคน ผมนั่งทำงานอยู่ เขาเดินมานั่งพื้นข้าง ๆ เก้าอี้ผมแล้วเอาหัวซบที่เข่าผม ผมเอามือลูบหัวเขา ผมเจ็บมาก ๆ ในตอนนั้นอยากจะร้องให้ออกมาดัง ๆ ผมไม่อยากห่างเขาเลย แต่เพื่ออนาคตก็ต้องจำใจให้เขาไป ถึงวันที่เขาเดินทางผมถึงกับน้ำตาไหล แต่ผมก็ไม่ได้ให้เขารู้ เพราะคิดว่าเขาก็คงรู้สึกเหมือนกันไม่อยากให้เขาเป็นกังวล เราสัญญากันว่าเราจะแต่งงานกันทันทีที่เขาผ่านครูผู้ช่วยและได้กลับมา เขาถามผมว่าผมจะรอเขาได้ไหม ผมตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่าต้องรอได้อยู่แล้วไม่ว่านานเท่าไรผมก็รอได้
จากวันนั้นมาเราก็ใช้วิธีวีดีโอคอลหากันทุกวัน คือทุกวันจริง ๆ ทำอะไร อยู่ไหน เลิกงานตอนไหน เราจะบอกกันตลอด “หนูเลิกงานแล้ว กำลังจะกลับ กลับถึงบ้านแล้วนะ กำลังจะกินข้าว อาบน้ำ” แล้วโทรหากันจนถึงเวลานอน ไม่ว่าเราจะยุ่งขนาดไหน เหนื่อยขนาดไหน ก็จะโทรหากันทุกวัน เปิดวีดีโอคอลทิ้งไว้แล้วก็ต่างคนต่างทำงาน วันหยุดเราก็จะดูหนังด้วยกันโดยใช้โปรแกรม Teleparty และเราก็จะมีเกมส์ที่เล่นด้วยกัน Dead by Daylight เราจะเล่นกันทุกวันศุกร์ วันศุกร์จะเป็นวันของเราที่พักงานไว้แล้วมาเล่นเกมส์ดูหนังมีความสุขร่วมกัน ศุกร์หนึ่งเขามาเล่าผมว่าเพื่อนชวนไปกินหมูกระทะแต่เขาปฏิเสธไปเพราะอยากอยู่กับแฟนมากกว่า มันทำให้หัวใจผมฟูมาก ผมดีใจมาก ๆ จนผมไม่อาจลืมคำ ๆ นั้นที่บอกว่าอยากอยู่กับแฟนมากกว่า เขาเล่าเสมอว่ามีคนมาจีบแต่เขาก็บอกทุกคนว่ามีแฟนแล้ว ผมนี่ไว้ใจเขามากและยิ่งรักเขามาก และมั่นใจว่าวันที่เราจะได้แต่งงานกันต้องมาถึงแน่นอน ถึงแม้จะห่างกายแต่ใจไม่เคยห่างกันสำหรับความรู้สึกของผม และผมก็มั่นใจว่าเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ระหว่างที่ห่างกันผมก็ไม่เคยมองผู้หญิงคนอื่นเลยผมรู้แค่ว่ารักเขามาก ผมต้องไม่ทำให้เขาเสียใจ
เราใช้ชีวิตแบบห่างกายแต่ไม่ห่างใจมาเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งปี หนึ่งปีนั้นไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหนเหนื่อยขนาดไหนเราก็ไม่เคยห่างกัน เราไม่เคยมีวันไหนที่จะไม่ได้วีดีโอคอลหากัน โทรบอกฝันดีกันก่อนนอน แต่วันนั้นก็มาถึงเขาเริ่มบอกว่ายุ่งมาก ยังไม่เลิกงาน ต้องเตรียมงานจนดึก ไม่ได้โทรหานะวันนี้ จากหนึ่งครั้งเป็นสองครั้ง และเริ่มบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่วันศุกร์ที่เคยเป็นวันของเราเขาก็ลืมมันไป แม้แต่วันเกิดผมที่ผ่านมาเขาก็ลืมมัน เขาเริ่มพูดว่าเขาน้อยใจที่เห็นคนอื่นอยู่กับแฟนเขาแต่เขาต้องอยู่คนเดียว ผมก็ได้แต่พูดว่ารออีกหน่อยเดี๋ยวเราก็ได้อยู่ได้กันแล้ว นี่ก็ผ่านไปปีหนึ่งแล้วอีกแค่ปีเดียวเอง หลัง ๆ มาเขาเลิกงานตอนไหนก็ไม่บอก เวลาที่เคยโทรหากันเขาก็ไม่โทร ผมต้องอธิบายอย่างนี้ เวลาเลิกงานผมจะเป็นเวลาที่แน่นอน แต่เขาจะเลิกงานไม่แน่นอนเพราะอาจจะถูกใช้งานอย่างอื่นเพราะเป็นครูผู้ช่วย และเขาจะเลิกงานหลังผมทุกวัน เขาจึงเป็นฝ่ายโทรมาเมื่อเขาพร้อม ส่วนผมพร้อมรับโทรศัพท์เขาเสมอ แต่ช่วงหลัง ๆ เขาไม่บอกว่าเลิกงานแล้ว ถึงเวลาโทรเขาก็ไม่โทร จนบางวันผมต้องโทรไปทักไป ถึงได้คุยกัน ผมก็น้อยใจมาก ๆ แต่ก็คิดว่าเขาคงเหนื่อยกับงาน ถึงจะน้อยใจแต่ผมก็ทำใจยอมรับได้ วันที่ 9 มกราคม 2568 เขาไม่ส่งข้อความมาบอกว่าเลิกงานหรือยัง ประมาณสองทุ่มก็ไม่โทรมา ผมน้อยใจมาก ๆ แต่ก็อยากคุยมาก ๆ ก็เคยทักไปถามว่าเลิกงานหรือยัง เขาตอบกลับว่าเลิกงานแล้ว แล้วเขาก็โทรมา พอโทรมาเขาก็เปิดเพลงใส่มีเนื้อหาประมาณว่า “หรือรักเราจะผิดตั้งแต่เริ่มต้น” เขาไม่ได้พูดอะไรกับผมมาก เขาบอกเขาเหนื่อยกับงาน วันนี้เขาเหนื่อยเขาอยากอยู่คนเดียวได้ไหม “ขอหนูโสดสักวันได้ไหม” เขาพูดคำนี้มาผมน้ำตาตกใน ที่ห่างกันผมก็น้อยใจมาก ๆ แต่ผมทนได้ แต่เขามาพูดคำนี้ เขาเหนื่อย เขาเลือกจะอยู่คนเดียว แล้วผมหละผมไม่มีค่าอะไรเลยใช่ไหม ผมเป็นกำลังใจให้เขาไม่ได้เลยใช่ไหม ด้วยความน้อยใจก็เลยตอบเขาไปว่า “ให้โสดตลอดไปเลย” แล้วเขาก็บอกงั้นขอเขาอยู่คนเดียวนะแล้วเขาก็วางสายไป
ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่าเขามีคนอื่นหรือเปล่า เขาวางสายจากผมแล้วไปโทรหาคนอื่นหรือเปล่า แต่ผมก็ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่หรอก เขาคงจะเหนื่อยจริง ๆ ผมนอนไม่หลับคิดเรื่องวันนี้ก็น้ำตาไหล ผมว่าผมหลับไม่ถึงชั่วโมงในคืนนั้นแล้วก็ต้องตื่น เพราะวันนั้นเป็นวันศุกร์ผมต้องทำงาน แต่คิดว่าวันนี้เป็นวันศุกร์หัวใจผมก็ฟูอย่างมีความหวัง เพราะวันศุกร์มันเป็นวันของเราวันนี้ผมตั้งใจจะพูดกับเขาดี ๆ เอาใจเขาให้มาก ๆ ผมคิดถึงเขามาก ๆ ผมอยากให้ถึงช่วงตอนเย็นเร็ว ๆ แต่พอถึงช่วงตอนเย็น เขาก็ไม่ทักมาเหมือนเดิม ไม่บอกว่าเลิกงานหรือยัง ผมนั่งเฝ้าโทรศัพท์อย่างมีความหวัง จนถึงสองทุ่มก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเขา ผมจึงทักไปหาว่าเลิกงานหรือยัง เขาก็ไม่ตอบ ผมรอจนถึงสามทุ่มเขาก็ยังเงียบก็เลยโทรไป วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568 ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้ ไม่ว่าจะทักไป โทรไปเขาก็ไม่รับโทรศัพท์ ผมโทรหาไม่รู้สักกี่สายผมก็ไม่ได้นับ จนถึงเที่ยงคืนผมจึงหยุดโทร ผมจึงตัดสินใจนอน แต่ผมก็นอนไม่หลับยิ่งนอนก็ยิ่งคิดว่าผมคงโดนทิ้งแน่ ๆ ตอนนี้เขาจะอยู่กับคืนอื่นหรือเปล่า สรุปคืนนั้นผมก็ไม่ได้นอนลุกขึ้นมาทำงานที่พอทำได้จนเช้า เพราะอีกวันเป็นวันเสาร์ เช้าประมาณ 8 โมงเช้า ผมก็เริ่มโทรหาเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่รับเช่นเดิม ผมก็โทร ๆ หยุด ๆ ไปจนถึงช่วงประมาณ 10 โมงเขาถึงรับโทรศัพท์
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568 ผมได้คุยกับเขาอีกครั้ง คำแรกที่ผมถามเขา “เปลี่ยนใจแล้วหรอ” เขาบอกเขาก็คิดทบทวนมานานแล้ว เขาไม่อยากโกหกความรู้สึก เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้ เขาบอกตรง ๆ ว่าเขาไม่ได้รักผมแล้ว ความรู้สึกผมคือยากจะตายไปเสียตรงนั้น ผมถามเขาถึงเหตุผล และเหตุผลของเขาคือ “เป็นเพราะเราห่างกันมันทำให้เขาไม่ได้รักผมแล้ว” ผมถามย้ำว่า “บอกเลิกผมเพื่อที่จะไปเริ่มต้นกับคนใหม่หรือเปล่า” เขาก็ปฏิเสธว่าไม่ได้มีใคร แค่เขาเหนื่อย เขาอยากอยู่คนเดียว เขาอยากใช้ชีวิต คือผมก็ทำใจเชื่อไม่ได้หรอกว่าเขาไม่ได้มีคนอื่น แล้วอยู่ ๆ จะมาบอกเลิกผม แต่ในเมื่อเขาหมดรักผมแล้ว ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็เลยจากกัน 11 มกราคม 2568 ยังเป็นวันที่เจ็บปวดเสมอสำหรับผม เขาบอกให้ผมรอ ผมก็รอมาตลอด “รอหนูหน่อยได้ไหม” คำ ๆ นั้นมันยังก้องอยู่ในหู ผมมั่นคงกับเขามาตลอด แต่เขากลับเป็นคนมาทิ้งกันไป ผมเจ็บปวดมาก เขาเป็นทั้งเพื่อน คนรัก และเป้าหมายของชีวิต วันที่มีเขามันทำให้ผมรู้ผมต้องเหนื่อย ต้องพยายามไปเพื่ออะไร อยากจะอยู่ด้วยกัน อยากเติบโตไปด้วยกัน แต่พอเขาจากไปผมเหมือนคนหลงทาง เคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย กลางวันมันว่างเปล่าสำหรับผม กลางคืนก็แสนยาวนาน ผมเจ็บมาก ถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อที่หัวผมคงให้เขาฆ่าผมโดยที่ผมไม่ขัดขืนเลย ถึงผมจะโดนกระทำแค่ไหนหากเขาได้บังเอิญเข้ามาอ่าน ผมก็ยังอยากบอกว่า รักที่สุด รักเสมอ รักตลอดไป และคงไปรักใครไม่ได้อีกแล้ว ใช่! “เรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้” เขาเลือกที่จะหมดรัก แต่ผมเลือกที่จะรักตลอดไป ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผมเจ็บก็ตาม ผมยังรักและเจ็บอย่างมีความหวังว่าสักวันเราจะกลับมารักกันได้ ..................
และผมก็ต้องเจ็บอีกเป็นรอบที่สอง รอบนี้ผมสาหัสมาก อาจจะมากกว่าครั้งแรกในเดือนมกราคม ปิดเทอมช่วงสงกรานต์เขาส่งข้อความมาหาผม “หนูกลับมาถึงบ้านแล้วนะ” คือบ้านเราก็อยู่ห่างกันไม่ถึง 2 กิโลเมตร ผมอ่านข้อความแล้ว ก็ตอบกลับ แล้วเราก็ได้คุยกันอีกครั้งหลังจากเขาทิ้งผมไปเกือบ 3 เดือน 11 เมษายน 2568 เราได้คุยกันแบบจริงจัง แต่ก็ได้เพียงส่งข้อความ คุยถึงเรื่อง ๆ เก่า ผมก็เลยถามเขา ขอให้เขายืนยันเหตุผลที่เขาบอกเลิกผม มันยังค้างคาใจผมมาตลอด ที่เขาบอกว่าเขาไม่ได้มีใคร เขาเพียงแค่เหนื่อยอยากอยู่คนเดียว มันจริงหรือหลอกกัน เขาไม่ได้ทิ้งกันไปเพื่อที่จะไปเริ่มต้นกับคนใหม่ใช่ไหม เขาบอกเขายืนยันตามนั้นจริง ๆ เขาไม่ได้มีใคร และถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีใคร หัวใจผมฟูมากผมเพ้อฝันไปว่าเราอาจจะกลับมาคบกันเหมือนเดิมได้ เขาทำให้ผมมีความหวังอีกครั้ง ถ้าเรากลับมาคบกันได้อีกครั้ง ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไปอีก ผมตัดสินใจ ขอเขาแต่งงาน ขอกำหนดวันแต่งเลย แต่เขาก็บอกว่า “ให้รอจนเขาผ่านครูผู้ช่วยก่อนได้ไหม ถึงวันนั้นถ้าเราทั้งคู่ยังรักกัน เรามาแต่งานกัน” ผมรอได้อยู่แล้วนานเท่าไรผมก็รอได้ ผมขอโทรหาเขา แต่เขาบอกขอช่วงเย็น เพราะเขามีนัดกับเพื่อนกลับมาเย็น ๆ ผมเลยนัด 2 ทุ่ม
วันที่ 11 เคยเป็นวันที่แย่สำหรับผม แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าผมหลุดออกมาจากนรกแห่งความเศร้าตลอดเวลา 3 เดือน หัวใจผมมันฟูด้วยความหวัง เวลาแห่งการรอคอยมันช่างยาวนานมากสำหรับผม ผมอยากให้ถึง 2 ทุ่มเร็ว ๆ แต่พอถึงเวลานัด เขาบอกเขาเหนื่อยอยากพัก ขอเป็นวันหลังได้ไหม ผมถามเขาไปตรง ๆ “ยังไม่พร้อมเจอกันหรอ” เขาบอกว่า “หลาย ๆ อย่าง” เขาให้เหตุผลผมมาแค่นี้ เขามาให้ความหวังผมแล้วเขาก็พังมันด้วยตัวเขาเองอีกแล้ว ผมต้องนอนร้องให้ไปอีกหนึ่งคืน และเป็นอีกคืนที่ผมไม่สามารถหลับได้เลย
เช้าวันที่ 12 ผมทักไปหาเขาอีกครั้งด้วยความหวัง ขอโทรหา ขอนัดเจอได้ไหม เขาบอกเขาไม่พร้อม ผมก็เลยถามย้ำว่าตอนนี้ไม่ได้มีใครอยู่จริง ๆ หรอ ผมขอร้องให้เขาตอบมาตรง ๆ เขาเลยยอมรับว่ามีคนที่อยู่ด้วยกันแล้ว แต่เขาไม่ได้จริงจัง “คำว่าไม่มีใครของเขา คืออยู่ด้วยกันแต่ไม่จริงจัง” ผมแทบบ้า มันคนละความหมายเลยสำหรับผม แต่ด้วยที่ผมรักเขาหมดหัวใจ ผมถามเขาว่า เลิกกับเขาได้ไหม ที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป เขาบอกเขาขอเวลาจนถึง 1 มิถุนายน แล้วเขาจะให้คำตอบ เขาถามผมว่ารอได้ไหม รอหนะผมรอได้ รอไปจนอีกกี่ปีกี่ชาติผมก็รอได้ แต่ให้ผมรอโดยมีไม่รู้คำตอบจะเป็นแบบไหน รอทั้ง ๆ ที่รู้ว่าคนที่ตัวเองรักหมดหัวใจอยู่กับคนอื่นตลอดเวลาที่ผมต้องรอ หัวใจผมจะรับได้อย่างไร ผมทรมานมาตลอด 3 เดือน และผมจะต้องทรมานไปโดยที่ไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดอีกหรอ เขาใจร้ายกับผมมาก ผมเป็นได้แค่ตัวเลือกของเขา แม้ว่าหัวใจผมจะเรียกร้องอยากอยู่กับเขา ไม่อยากจากเขา แต่มันคงถึงเวลาที่ต้องตัดใจจริง ผมเจ็บมาก เจ็บจนทนไม่ไหว ผมไม่สามารถทนเจ็บแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมตัดสินใจไม่ทำตามหัวใจเรียกร้อง ตอบเขาว่า “คงรอแบบนั้นไม่ได้” แต่หัวใจผมหนะมันเรียกร้องว่าให้ตอบตกลง ผมเจ็บมาก ๆ ที่ตอบปฏิเสธไป ผมไม่อยากเจ็บไปมากกว่านี้แล้ว ผมบอกขอให้ผมหายไปจากชีวิตเขาเถอะนะ เราคงไม่สามารถพูดคุยพบเจอกันได้อีกแล้ว ผมขอเลือกทางที่ผมเจ็บที่สุด ผมขอไม่ฟังเสียงของหัวใจ ผมอยากหายเจ็บ ผมเจ็บจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาผมเจ็บมาตลอดเพราะผมยังมีความหวัง ความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ว่าเราอาจจะกลับมาคบกันได้มันทำให้ผมเจ็บมาตลอด แต่ตอนนี้มันไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว มันเจ็บที่สุด แต่อย่างน้อยความเจ็บนี้คงมีที่สิ้นสุด ที่เหลือก็คงต้องทนเจ็บต่อไปแบบนี้ หวังว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยาหัวใจ .........
โดย..อ้วน ๆ แด่..หนู ๆ สนับสนุนโดย คาปิบาร่าและแมวส้ม
การจากไปเป็นศัตรูของความรัก การจากไปทำให้ความรักที่มีอยู่น้อยนิดดับสลาย เหมือนลมที่กรรโชกเปลวไฟบนปลายเทียนให้ดับลง แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความรักที่มีอยู่ท่วมท้นให้เพิ่มความรุนแรงขึ้นอีกเปรียบไม่ผิดอะไรกับลมที่โหมกระพือกองไฟให้ลุกโชติช่วงยิ่งขึ้น : เพชรพระอุมา