เปรียบเทียบการช่วยเหลือเกษตรกร: ยุคสุขวิช-ชวน (2539-2543) vs. ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย (2544-2549)
1. ยุคสุขวิช-ชวน (2539-2543)
เน้นการฟื้นฟูเกษตรกรอย่างยั่งยืน
พักหนี้เกษตรกร: ตั้งแต่ปี 2540 ช่วยลดภาระหนี้จากวิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมกับโครงการฟื้นฟูอาชีพเพื่อให้เกษตรกรสามารถกลับมามีรายได้
ลดต้นทุนการผลิต: ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และเกษตรผสมผสาน ลดการพึ่งพาสารเคมีและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
โครงสร้างพื้นฐาน: ขยายระบบชลประทานและแหล่งน้ำขนาดเล็ก รวมถึงพัฒนาถนนชนบทเพื่อเชื่อมโยงเกษตรกรกับตลาด
เงินทุนเศรษฐกิจชุมชน หรือ กองทุนหมู่บ้าน: ให้กู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน แต่มีการตรวจสอบเข้มงวดหลังจากกู้
2. ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย (2544-2549)
เน้นประชานิยมและการช่วยเหลือแบบทันที
พักหนี้เกษตรกร: ไม่มีการฟื้นฟูหรือแผนการบริหารหนี้ ทำให้เกษตรกรหลายรายต้องเผชิญกับภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นหลังโครงการหมด
กองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท: ปล่อยกู้ง่ายโดยไม่มีกลไกในการป้องกันหนี้เสีย ส่งผลให้เกิดหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น
OTOP: มุ่งเน้นการผลิตสินค้ามากกว่าคุณภาพ ขาดการส่งเสริมในด้านมาตรฐานสินค้าและการตลาด ทำให้สินค้าไม่สามารถแข่งขันในระยะยาว ต่างจากยุคสินค้าเศรษฐกิจชุมชน ชอง สุขวิช -ชวน ซึ่งเป็นไปตาม ยุทธศาสตร์ชองแผนฯพัฒนาฯ 8 ระหว่างปี 2539 -2543
โครงการแจกเงิน: เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นการช่วยเหลือในระยะสั้น แต่ทำให้ระบบสาธารณสุขแบกรับภาระหนัก
การเปรียบเทียบในเชิงนโยบาย
ยุคสุขวิช-ชวน มุ่งเน้นการพัฒนาและฟื้นฟูอย่างยั่งยืน โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการช่วยเหลือในระยะยาว ขณะที่ ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย เน้นการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วแต่ขาดการวางแผนระยะยาว ซึ่งทำให้เกิดปัญหาหนี้สินและความไม่ยั่งยืนในการพัฒนาเกษตรกรและเศรษฐกิจท้องถิ่น
ยุคอภิวัฒน์การศึกษา 2538-2543 vs. ยุคประชานิยม 2544-ปัจจุบัน
การอภิวัฒน์การศึกษา 2538:
รายได้ครัวเรือนเติบโตจาก 5,625 บาท (ปี 2533) เป็น 12,729 บาท (ปี 2542)
ภายหลังการอภิวัฒน์การศึกษาในปี 2538 การศึกษามีคุณภาพมากขึ้นและมีการปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาให้ทั่วถึง
การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปี 2539 เป็นการเติบโตที่สวนทางกับวิกฤตต้มยำกุ้ง (1997)
ยุคประชานิยม 2544-ปัจจุบัน:
มีหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นและปัญหาการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาอย่างยั่งยืน
งบประมาณมีการใช้จ่ายสูงในช่วงปี 2544-2545 ซึ่งสร้างภาระให้กับรัฐบาลในระยะยาว
การแก้ไขความยากจนด้วยภูมิปัญญา ท้องถิ่น