คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
1.การศึกษาธรรม โดยตัดในพระไตรปิฏกบางส่วน เช่น ตัดพระอภิธรรมปิฏก
2.การศึกษาธรรม โดยขาดการปฏิบัติธรรมจนปฏิเวธ
ย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจธรรม คลาดเคลื่อน แล้วเกิดปัญหาถกเถียง จนลงกันไม่ได้ ทั้งที่ในพระไตรปิฏก ก็มีธรรมส่วนนี้ปรากฏชัดอยู่
จาก...
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=4087&w=%CD%C7%D4%AA%AA%D2
และ จาก...
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?E=&B=25&A=18176&w=%E0%BB%E7%B9%A4%B5%D4&option=2
ซึ่งจะเห็นว่า อวิชชา เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดต้งแต่ สังขาร>วิญญาณ>นามรูป>อายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปทาน
แล้ว อวิชชา นั้นแลเป็นคติของสัตว์ท้งหลาย ที่จะไปเกิดเป็น สังขาร > เป็นปฏิสนธิวิญญาณ ใน ภพ ภูมิ ต่างๆ
ก็เสมือนเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ในระหว่างสายปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดที่ยังไม่จบกระบวนการ แต่มีเหตุปัจจัยแทรกแซงไปเสียก่อนเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา ที่เป็นคติไปเกิดของสัตว์ในภพต่างๆ ไปเสียก่อน
หรือจะกล่าวว่า ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดสิ้นสุดแล้วไปตั้งตันที่ อวิชชา แล้วก็ได้ เมื่อมีมุมมองในนัยยะนั
แต่คงไม่ใช่ดังที่ถกกัน ที่คลาดเคลื่อนอยู่.
หวังว่าคงทำความเข้าใจตามหลักฐานพระไตรปิฏกให้ดีนะครับ.
2.การศึกษาธรรม โดยขาดการปฏิบัติธรรมจนปฏิเวธ
ย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจธรรม คลาดเคลื่อน แล้วเกิดปัญหาถกเถียง จนลงกันไม่ได้ ทั้งที่ในพระไตรปิฏก ก็มีธรรมส่วนนี้ปรากฏชัดอยู่
จาก...
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=4087&w=%CD%C7%D4%AA%AA%D2
[start]พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๒
วิภังคปกรณ์[/start]
วิภังคปกรณ์[/start]
[start] [๒๙๐] อวิชชาเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะนามเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ฯลฯ
สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามรูปเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะเกิดเพราะนามรูปเป็นปัจจัย
ผัสสะเกิดเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อภิธรรมมาติกา จบ
[/start]
อวิชชาเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะนามเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะอายตนะที่ ๖ เป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ฯลฯ
อวิชชาเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ฯลฯ
สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย
นามรูปเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย
สฬายตนะเกิดเพราะนามรูปเป็นปัจจัย
ผัสสะเกิดเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย
เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
อภิธรรมมาติกา จบ
[/start]
และ จาก...
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?E=&B=25&A=18176&w=%E0%BB%E7%B9%A4%B5%D4&option=2
[start]พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๗๓๕] อวิชชานั่นแลเป็นคติของสัตว์ทั้งหลาย
ผู้เข้าถึงชาติ มรณะ และสังสารวัฏ
ซึ่งมีสภาวะอย่างนี้และสภาวะอย่างอื่น๑- อยู่บ่อยๆ[/start]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
[๗๓๕] อวิชชานั่นแลเป็นคติของสัตว์ทั้งหลาย
ผู้เข้าถึงชาติ มรณะ และสังสารวัฏ
ซึ่งมีสภาวะอย่างนี้และสภาวะอย่างอื่น๑- อยู่บ่อยๆ[/start]
ซึ่งจะเห็นว่า อวิชชา เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของ ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดต้งแต่ สังขาร>วิญญาณ>นามรูป>อายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปทาน
แล้ว อวิชชา นั้นแลเป็นคติของสัตว์ท้งหลาย ที่จะไปเกิดเป็น สังขาร > เป็นปฏิสนธิวิญญาณ ใน ภพ ภูมิ ต่างๆ
ก็เสมือนเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติ ในระหว่างสายปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดที่ยังไม่จบกระบวนการ แต่มีเหตุปัจจัยแทรกแซงไปเสียก่อนเป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชา ที่เป็นคติไปเกิดของสัตว์ในภพต่างๆ ไปเสียก่อน
หรือจะกล่าวว่า ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิดสิ้นสุดแล้วไปตั้งตันที่ อวิชชา แล้วก็ได้ เมื่อมีมุมมองในนัยยะนั
แต่คงไม่ใช่ดังที่ถกกัน ที่คลาดเคลื่อนอยู่.
หวังว่าคงทำความเข้าใจตามหลักฐานพระไตรปิฏกให้ดีนะครับ.
แสดงความคิดเห็น
พระพุทธทาสพูดเรื่อง ถูก ว่า สอนผิด เรื่องปฏิจจสมุปบาท
ที่เขากล่าวหาว่าอาตมาสอนผิดๆ
เกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท
เขามีสอนปฏิจจสมุปบาทอย่างคร่อมภพ คร่อมชาติตามหลักการของศีลธรรม
เพื่อให้คนกลัวบาปกลัวกรรมไปตามแบบของศีลธรรม
นั้นก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ส่วนหนึ่ง แล้วก็มีมานานแล้ว
ทีนี้เรามาบอกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะมันไม่ใช่อย่างนั้น
มันต้องดีกว่านั้น มันต้องเร็วกว่านั้น
คือว่าในชาติหนึ่งนี้หรือแม้แต่ในวันหนึ่งนี้
มันก็มีปฏิจจสมุปบาทเป็นวงๆ ไป
เกิดขึ้นทีไรเป็นทุกข์ทุกที เราต้องป้องกันไม่ให้เกิดหรือพอเกิดขึ้นมาก็หยุดเสียให้ได้
ทำลายเสียให้ได้ แล้วเราก็อยู่เหนือความทุกข์ ถ้าเราทำได้อย่างนี้เราก็ไม่ต้องเวียนว่ายไปในกองทุกข์ ในชาติหน้า ในชาติหลัง
มันก็ป้องกันเสียได้ด้วยการประพฤติกระทำที่ถูกต้องในชาตินี้ คือไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท
.
แล้วอาตมาก็ไม่ได้บอกเลิก ไม่ได้คัดค้านในปฏิจจสมุปบาทแบบที่เขาสอนกันอยู่เดิม
ขอให้เขาสอนกันไปตามเดิม แบบคร่อมภพ คร่อมชาติ
เข้าใจง่ายฟังง่ายสำหรับคนพวกหนึ่ง มีประโยชน์ทางศีลธรรม
แต่ถ้าพูดอย่างปรมัตถธรรมกันแล้ว
มันก็พูดอย่างนี้ว่า พูดกันเสียใหม่ว่า
ไม่ต้องคร่อมภพ คร่อมชาติ หรือว่าถ้าจะให้คล่อมภพ คร่อมชาติก็ได้เหมือนกัน
แต่ต้องอธิบายคำว่าชาติกันเสียใหม่ คือคำว่าชาติชนิดที่เกิดตัวกูขึ้นมาครั้งหนึ่ง
นี่เรียกว่าชาติ ฉะนั้นในวันหนึ่งเราก็มีได้หลายชาติ หลายสิบชาติ มันก็คร่อมภพ คร่อมชาติกันอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าโลง
ก็มีการเกิด การดับ คร่อมภพ คร่อมชาติได้มาก
นี้เรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายตรงตามพระพุทธประสงค์
.
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเวทนา มีตัณหา แล้วก็มีอุปาทาน มีภพและมีชาติ
วันหนึ่งเรามีตัณหาร้อยครั้งเราก็มีชาติร้อยครั้ง
จนกว่าจะตายก็มีกันเป็นหมื่นชาติ แสนชาติก็ได้
พระบาลีปฏิจจสมุปบาทตรัสไว้ชัดเจนอย่างนั้น
เมื่อใดมีตัณหาก็จะมีอุปาทาน มีภพ มีชาติไม่ต้องรอต่อตายแล้วเข้าโลงไปแล้ว
แล้วคนเรามันมีตัณหาได้เป็นสิบๆ ครั้ง เป็นร้อยๆ ครั้ง
ฉะนั้นมันก็ต้องจัดการให้มันถูกเรื่องกัน ก็ว่าที่มันมีตัณหา มีกิเลส มีชาติ มีทุกข์เป็นร้อยๆ ครั้ง
ทำอย่าให้มันเกิดเสียได้ที่นี่ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดในชาติหน้า ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง
มันก็มี แต่ว่าเรื่องที่ต้องทำมันต้องทำที่นี่
ต้องทำที่ชาตินี้และมีผลไปถึงชาติอื่นๆ เราจะให้มันผูกพันกันจนแก้ไขไม่ได้
จนระงับมันไม่ได้เนี่ย
มันไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องแก้ไขให้มันได้ทุกทีที่ความทุกข์เกิดขึ้น
มีปฏิจจสมุปบาททีไรก็มีความทุกข์ทีนั้น เนี่ยชาตินี่ทำความเข้าใจยาก
คำว่าชาติเกิดจากท้องแม่นั้น มันก็จริง
ตายคือร่างกายนี้ทำลายไปนั้นมันก็จริง
แต่ถ้าไม่มีชาติชนิดที่เกิดด้วยอุปาทานแล้ว มันก็ไม่มีความหมายอะไร
เกิดจากท้องแม่หรือแก่ หรือตาย อันนี้ไม่มีความหมายอะไร
ถ้าไม่มีชาติที่เป็นตัวกู ของกูเกิดอยู่ในใจก่อน
การเกิดจากท้องแม่นี่มันก็เกิดแล้ว แล้วมันก็ตายด้านอยู่อย่างนั้น
ไม่มีทุกข์สุขอะไร จนกว่าเมื่อใดจะเกิดชาติตัวกู ของกูแบบตัณหา อุปาทานขึ้นมาในใจนี่
มันมีตัวกูขึ้นมาอย่างนี้แล้วมันจึงไปรับเอาชาติที่เกิดจากท้องแม่หรือแก่ตามธรรมชาติ ตายตามธรรมดานั่นแหละ
เอามาเป็นของกู มันจึงมีทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะเกิด แก่ เจ็บ ตายในความหมายธรรมดา
ถ้าไม่มีชาติในความหมายพิเศษคือในภาษาธรรมแล้ว
ชาติในความหมายธรรมดาไม่มีความหมายอะไร นอนตายด้านอย่างนั้น ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรได้
พอมีชาติเป็นตัวกูด้วยอุปาทานขึ้นมา อะไรก็จะลุกขึ้นมา
ประดังหน้ากันขึ้นมาทีเดียว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายของกู
ก็จะมีความหมายขึ้นมา เกิดความกลัว เกิดความหวาดระแวงอะไรขึ้นมา
นี่ความเกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นทุกข์ขึ้นมา
เพราะว่าเรามีชาติชนิดที่เป็นตัณหา อุปาทาน
ทีนี้คำว่าชาติในปฏิจจสมุปบาทนั้น
พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ชาติชนิดนี้ ชาติที่เป็นตัณหา อุปาทาน อุปาทานว่าเรา ว่าของเราเนี่ย
มันได้เกิดขึ้นเมื่อไร แล้วก็อะไรๆ ทั้งหมดก็จะมาเป็นปัญหาแก่จิตชนิดนั้น ความได้ ความเสีย ความแพ้ ความชนะ อะไรมันก็มามีปัญหา เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
มันจึงว่าเกิดทุกทีแล้วก็เป็นทุกข์ทุกที เกิดเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูขึ้นมาทีไรจะต้องเป็นทุกข์ทุกที
สิ่งที่มีมันอยู่ใกล้ที่สุดมันจะเข้ามารบกวนความรู้สึก
เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ก็จะวิ่งเข้ามาเป็นปัญหา
แล้วประเภทที่ว่ามันเป็นความทุกข์ทนยากอย่างอื่น โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสก็จะมีความหมายความขึ้นมา
ความกระทบกับสิ่งที่ไม่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็จะเข้ามา
เพราะมันมีที่ตั้งคือตัวกู ถ้าไม่เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวกู มันก็ไม่มีที่ตั้ง
สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่รู้จะเข้ามาได้อย่างไร เข้ามาตั้งที่ไหน มันไม่มีที่ตั้ง นั่นแหละคือชาติในความหมายภาษาธรรม มันได้เกิดขึ้นแล้ว
มันก็เป็นที่ตั้งแห่งชาติในภาษาคน ชาติภาษาคนเกิดจากท้องแม่
ชาติภาษาธรรมเกิดจากตัณหา อุปาทาน ชาติในภาษาธรรมต้องเกิดก่อน แล้วชาติในภาษาคนจึงจะมีที่ตั้งที่อาศัย เนี่ยเป็นความทุกข์ที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาอย่างนี้
พุทธทาสภิกขุ - ธรรมน้ำล้างธรรมะโคลน (ภาคค่ำ)
ฟังได้ที่
https://drive.google.com/file/d/1OVydUgbON1hTy-nNV4zVkmBg_OJJwrEC/view?usp=drive_link
ที่มาธรรมพระพุทธทาส
https://www.facebook.com/groups/288706075382792/permalink/1712870146299704