ว่าด้วย “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท .

กระทู้สนทนา
ผู้นั้นเห็นธรรม : 
ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นชื่อว่า เห็นปฏิจจสมุปบาท” 
ซึ่งเท่ากับว่า
 “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา(ตถาคต) : 
ผุ้ใดเห็น(รา)ตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม” (๑๗/๑๔๗/๒๑๖)๑; 
ชื่อว่า "ธรรมกาย"
.
‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม; 
ผู้ใดเห็นธรรม, ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ’. (โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสติ; โย ธมฺมํ ปสฺสติ,โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ). ……”.๑
.....
แม้อยู่ใกล้เราเพราะไม่เห็นธรรม : เมื่อไม่เห็นธรรมก็ชื่อว่า ไม่เห็นเรา
แม้จะอยู่ห่างกันร้อยโยชน์ ถ้ามีธรรม เห็นธรรม ก็ชื่อว่า เห็นพระองค์
.....
ธรรม_ธรรมะคือ หน้าที่ 1.เป็นตัวกฎความจริงของธรรมชาติ (กฏตายตัวแห่งธรรมดา)2.ให้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ 3.ข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องและ 4.ผลที่จะได้รับจากการปฎิบัตินั้น.(รวมแล้วชื่อว่า พระเจ้านั้นแหละ หรือเรียกว่า ตัวพระธรรมนั่นเอง.) ปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็นตัวธรรม .ที่มีค่าเท่ากับว่าถ้าเห็นแล้ว เป็นการเห็นตถาคต.นั้นแล
ผลสูงสุดก็บรรลุธรรมถึงนิพานนั้น.(สิ่งที่ไม่ตาย)
วิญญาณ....รู้ แสงสว่าง....เห็น = ผู้รู้เห็นอยู่ซึ่งความเป็นอย่างนั้นเอง.(จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดมีขึ้น
ก็ตาม)
(เช่น ....จักรวาฬทั้งมวลทั้งแปดทิศเข้ามาถึงได้โดยรอบครอบทั่วอนัตตา...ไม่มีที่สิ้นสุด♾.)
.
พระสัมมาสัมพุทธะทั้งหลาย(ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต)ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดวิทยา(วิชชา)ธรรม....
(เสมือนเป็นผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่วซึ่งรู้ชัดแจ้งในโลกทั้งปวง.))
.
ธรรมที่ถูกต้องนั้นแหละ พระเจ้าที่แท้จริง.
(ซึ่งเห็นว่าดี.)
.....

ดูก่อน ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! 
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม (ธรรมอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น); กล่าวคือ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย.

ธรรมใด เป็นความพอใจ (ฉนฺโท) เป็นความอาลัย (อาลโย) เป็นความ ติดตาม (อนุนโย) เป็นความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ) ในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เหล่านี้, ธรรมนั้น ชื่อว่า เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ (ทุกฺขสมุทโย).
    ธรรมใด เป็นความนำออกซึ่งฉันราคะ (ฉนฺทราควินโย) เป็นความละขาด ซึ่งฉันทราคะ (ฉนฺทราคปฺปหานํ) ในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เหล่านี้, ธรรมนั้น ชื่อว่า ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ (ทุกฺขนิโรโธ).
    ดูก่อน ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ด้วยการปฏิบัติมีประมาณเพียงเท่านี้แลคำสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นสิ่งที่บรรพชิตประพฤติกระทำให้มากแล้วดังนี้.(พระสารีบุตร)
 .ที่เรียกว่า “ธรรม” ด้วยกันอันเกืดแต่เหตุนั้น.

.
วิญญาณบริสุทธิ์โดยตัวของมันเอง.จะเห็นเป็นอัตตาไปอย่างไรได้เล่า? ...เป็นผู้สร้างเสียเอง.
. เช่น อายตนะภายใน+ อายตนะถายนอก(แห่งจักษุ)

เมื่อจิตหลุดพ้นไปแล้ว(นิพพาน.) จากอาสวะทั้งหลายเหล่าใด.
.(ปราศจากความหมาย...รูปร่าง.ขอบเขต)
.จึงปรากกฎอยู่.(ขึ่งไม่ใช่ตัวตนที่ไหน)(เพ้อฝัน)
เช่น รัศมีในทุกแห่งหน (,ดิน น้ำ ลม ไฟไม่มีทางสัมผัสได้ ในความว่างนั้นเ,(สมันนาหารจิต๒)
หรือไม่มีใครสร้างพระเจ้าได้ดอก.  นอกจากตัวของเรา(มโนเอา)เอง (เลมๆแล้งๆ(เป็นต้น. (รอบครอบทั่วจักวาล....นั้นแหละ)
.
มีใจอันหาขอบเขตมิได้อยู่...
.....
(
ในที่นี้:-
๒.  สมันนาหารจิต คือจิตที่ละภวังค์ขึ้นมากำหนดอารมณ์ที่มากระทบทางทวารนั้น ๆ มีอวิชชา, หรือความปราศจากสติ, หรือปราศจากวิชชาในวิมุตติ, ประกอบอยู่.)
 ......
เปรียบเหมือน: เมื่อน้ำในมหาสมุทรขึ้น....ฯลฯ
ย่อมทำให้ละหาน น้อยมีน้ำขึ้น, ฉันใด;

(สงฺขาเร อุปยาเปติ);
เมื่อสังขารทั้งหลาย เข้ามา ย่อมทำให้วิญญาณเข้ามา; เมื่อวิญญาณเข้ามา ย่อมทำให้นามรูปเข้ามา; เมื่อ นามรูปเข้ามา ย่อมทำให้สฬายตนะเข้ามา; เมื่อสฬายตนะเข้ามา ย่อมทำให้ผัสสะ เข้ามา; เมื่อผัสสะเข้ามา ย่อมทำให้เวทนาเข้ามา; เมื่อเวทนาเข้ามา ย่อมทำให้ตัณหา เข้ามา; เมื่อตัณหาเข้ามา ย่อมทำให้อุปาทานเข้ามา;...ฯลฯ
เช่นเดียวกัน.
......
เปรียบเหมือน:น้ำในมหาสมุทรลง ....ฯลฯ
ย่อม ทำให้น้ำที่ละหานน้อยลดลง, ฉันใด; 
ข้อนี้ก็ฉันนั้น :
.....
เมื่อผัสสะออกไป ย่อมทำ ให้เวทนาออกไป; 
เมื่อเวทนาออกไป ย่อมทำให้ตัณหาออกไป; 
เมื่อตัณหาออกไป ย่อมทำให้อุปาทาน ออกไป; เมื่ออุปาทานออกไป ย่อมทำให้ภพออกไป
เมื่อภพออกไป.....ฯลฯ .หายไป (วิชชาเกิดขึ้นแทนที่นั้นแหละ)
.
(...คงไม่ทอดลูกเต๋าดอก.)
.{ยังหยั่งไม่ถึง}.
.....
บุคคล เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งจักษุ ตามที่เป็นจริง, เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งรูปทั้งหลาย
ตามที่เป็นจริง,เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งจักขุวิญญาณ ตามที่เป็นจริง, 
เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งจักขุสัมผัส ตามที่เป็นจริง,เมื่อไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งเวทนาอันเกิดขึ้น
เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม
ตามที่เป็นจริง แล้ว; .....ฯลฯ
ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความก่อเกิดต่อไป
......
นั่นคือผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; 
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; 
เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหานั้น นั่นแหละ
จึงมีความดับแห่งอุปาทาน ; 
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; 
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; 
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : 
ความดับลงแห่งกองทุกข์  ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
.<<<<<<<<
(อายตนกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในอายตนะ ๑,
    ปฏิจจสมุปปาทกุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท ๑,) 
ผู้นั้นแหละมีปัญญาที่แท้จริง.
.....:......
.ป.ล
บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า - มธ 5:8
.

สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่