กรมอนามัยแนะนำ 'วิธีตรวจสอบระบบน้ำประปา' เบื้องต้น หลังเกิดแผ่นดินไหว เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อน พร้อมแนะสังเกตอาการผิดปกติต่อร่างกายจากการใช้น้ำ
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ที่พักอาศัย และอาคารบางส่วน เกิดรอยร้าว ซึ่งอาจจะส่งผลต่อระบบภายในตัวอาคาร กรมอนามัย มีข้อแนะนำ เกี่ยวกับแนวทางการตรวจสอบระบบประปาเบื้องต้นที่ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โดยมีแนวทางการตรวจสอบระบบน้ำประปาหลังการเกิดแผ่นดินไหว ดังนี้
ตรวจสอบมาตรวัดน้ำ และท่อจ่ายน้ำหลัก
ปิดก๊อกน้ำและวาล์วหน้ามาตรวัดน้ำ ให้สังเกตมาตรวัดน้ำ หากยังหมุนอยู่ อาจบ่งชี้ว่ามีการรั่วไหลในระบบประปาภายในบ้าน ควรรีบตรวจสอบและซ่อมแซม
ตรวจสอบท่อประปาและอุปกรณ์ สำรวจท่อประปา หากมีรอยร้าว รั่วซึม หรือความเสียหายอื่นๆหากพบความเสียหาย ควรดำเนินการซ่อมแซมทันที เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของน้ำและการสูญเสียน้ำ
ตรวจสอบถังพักน้ำและปั๊มน้ำ ถังพักน้ำบนดาดฟ้า/ใต้ดิน
ตรวจสอบรอยร้าวหรือการรั่วไหลของน้ำ หากมีตะกอนหรือสีของน้ำเปลี่ยนไป อาจเกิดการปนเปื้อน
ปั๊มน้ำตรวจสอบว่าปั๊มน้ำยังทำงานปกติหรือไม่ หากปั๊มไม่ทำงานอาจเกิดจากไฟฟ้าขัดข้องหรือปั๊มเสียหาย
หากถังพักน้ำใต้ดินรั่วจะส่งผลให้น้ำอาจปนเปื้อนสิ่งสกปรกจากดิน เช่น แบคทีเรียไวรัส โลหะหนัก
นอกจากนี้แผ่นดินไหวอาจทำให้โครงสร้างพื้นดินรอบๆ ทรุดตัว ระบบปั๊มน้ำอาจทำงานหนักขึ้นและเสียหายเร็วขึ้น แนวทางแก้ไข หยุดใช้น้ำ จากถังพักน้ำที่รั่ว อุดรอยรั่วด้วยวัสดุกันซึม ล้างและฆ่าเชื้อระบบด้วยคลอรีนเข้มข้น
ตรวจสอบท่อประปาภายในอาคาร และตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น
เช็คอ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ ชักโครก และฝักบัว เปิดน้ำดูว่ามีน้ำไหลอ่อนหรือไม่ หากน้ำไหลอ่อนลง อาจมีการรั่วเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข
ตรวจสอบสี ความขุ่น และกลิ่นของน้ำ ดูว่ามีน้ำขุ่น สีหรือกลิ่นแปลก ๆ อาจเกิดจากท่อแตกร้าว
การล้างท่อและระบายน้ำขุ่น เปิดน้ำทิ้ง 5-10 นาที จนกว่าน้ำใสขึ้นและไม่มีสิ่งปนเปื้อนก่อนใช้งาน
หากมีการซ่อมแซมท่อประปาใกล้บ้าน อาจต้องรอให้หน่วยงานมาระบายตะกอนในเส้นก่อประปา ก่อนใช้งาน
ล้างและฆ่าเชื้อระบบน้ำ
เมื่อพบว่าน้ำอาจปนเปื้อน ให้ล้างถังพักน้ำ (แนะนำล้างถังพักทุก 6 เดือน)
สำรวจรอบๆ ถังพักเพื่อตรวจสอบจุดชำรุดของถังพัก ปิดวาล์วน้ำเข้า เพื่อป้องกันน้ำไหลเข้าถัง และเปิดระบายน้ำออกจากถัง
ฉีดล้างถังพักน้ำทั้งภายนอกและภายใน เพื่อล้างทำความสะอาดและไล่ตะกอนในถัง
ฉีดน้ำผสมคลอรีน 50 มิลลิกรัม/ลิตร (ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้นปล่อยน้ำคลอรีนทิ้ง แล้วเปิดวาล์วน้ำเข้าถังเพื่อใช้งาน)
การจัดการคุณภาพน้ำประปา การใช้สารส้ม ใช้สารส้มแกว่งในน้ำ เพื่อตกตะกอนความขุ่นของน้ำ
การต้ม ต้มน้ำให้เดือดอย่างน้อย1 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคก่อนดื่ม
ติดตามอาการผิดปกติของผู้ใช้น้ำหลังแผ่นดินไหว
ระบบทางเดินอาหาร ท้องเสียเฉียบพลัน อุจจาระเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้
อาการทางตา ตาแดง (ไวรัส/แบคทีเรีย) แสบตา น้ำตาไหล มีขี้ตา
อาการทางผิวหนัง ผื่นคัน แผลติดเชื้อ ผิวลอก คัน แผลบวมแดง
ทั้งนี้ ทางกรมอนามัยแนะนำว่า ประชาชนควรสังเกตอาการผิดปกติ หากรุนแรง ควรไปพบแพทย์ทันที และติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามา แก้ไข ซ่อมแซม ระบบประปาที่ชำรุด
‘ข้ออักเสบ’ โรคร้ายที่มักถูกคนมองข้ามในผู้ป่วย ‘เด็ก’
31 มีนาคม 2568
แชร์
KEY
POINTS
กลุ่มโรคข้ออักเสบในเด็ก เป็นโรคที่ถูกมองข้าม เพราะอัตราการเกิดของโรคต่ำ แต่เด็กกลับต้องพบกับอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง
วิธีการสังเกตว่าเด็กป่วยโรคข้ออักเสบในเด็กหรือไม่? ส่วนใหญ่พบว่ามาหาแพทย์ด้วยอาการอื่น
วิธีการรักษาโรคข้ออักเสบในเด็ก และการดูแลตนเองในระยะยาว
ผมกลับมาเมืองไทยในปี 2000 ตอนนั้นไม่มีหมอที่ทำเรื่องข้อในเด็กเลย
นพ.วิรัตน์ ภิญโญพรพานิช แพทย์เฉพาะทางด้านโรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลเมดพาร์ค ฉายภาพให้เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับโรคข้อในเด็กมากขึ้น
“เพียงแต่ว่าในช่วงที่อยู่อเมริกา ผมดูเรื่องการผ่าตัดเปลี่ยนข้อในเด็กด้วยที่โรงพยาบาลในรัฐเท็กซัส ระยะหลังแพทย์ที่ทำเรื่องนี้ในไทยมีมากขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในโรงพยาบาลคณะแพทย์ ซึ่งในไทยมีไม่เกิน 10 คนที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางกับเรื่องนี้”
เพราะคนให้ความสนใจน้อย และผู้ป่วยน้อยกว่า ‘โรคข้อในผู้ใหญ่’ โรคข้อในเด็กจึงถูก ‘มองข้าม’ ทั้งจากระบบสาธารณสุข และจากผู้ปกครองที่ไม่มีองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าว
“ยาที่ใช้บางตัวค่อนข้างจะแพง และถูกมองข้ามไปเพราะว่าเด็กไม่มีสิทธิในการรักษาที่ครอบคลุม"
ประกอบกับเด็กที่ป่วยมักจะไม่บ่น หรือไม่รู้ว่าตนป่วย จึงมีโอกาสที่จะเข้าไม่ถึงการรักษา หรือเข้าถึงแต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แม้ว่าผลการตอบสนองต่อการรักษาของเด็กจะดีราว 70-80% ก็ตาม
[img]https://image.posttoday.com/uploads/images/contents/w1024/2025/03/jT7nDRFsUI9Rk7OyVbye.webp?x-image-process=style/lg-webp[/img]
กลุ่มโรคข้ออักเสบในเด็ก โรคที่ถูกมองข้าม
คนจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ‘โรคข้อ’ จะเกิดแก่ผู้สูงวัย แต่แท้จริงแล้ว ‘กลุ่มโรคข้ออักเสบ’ สามารถเกิดใน ‘เด็ก’ ด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยที่สุดที่ นพ.วิรัตน์ เคยรักษานั้น อายุราว 1 ขวบครึ่ง
สำหรับสาเหตุการเกิดโรคนั้น ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน เพียงแต่มีปัจจัยบางอย่างที่จัดว่าเป็น ‘ความเสี่ยง’ ต่อการเกิดโรค อาทิ
ปัจจัยด้านพันธุกรรม ที่เรียกว่า HLA-B27 ซึ่งมักจะเกิดในเด็กเพศชายมากกว่าเพศหญิงในอัตรา 2:1 แม้ว่าโดยภาพรวมของโรคข้ออักเสบ สัดส่วนของโรคจะเกิดกับเด็กผู้หญิงมากกว่า ส่วนใหญ่จะทำให้เกิดอาการปวดข้อหรือปวดหลังตั้งแต่เด็ก และอาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มี HLA-B27 จะป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ
การติดเชื้อไวรัสไปสู่โรคข้อบางชนิดที่เรียกว่า Henoch-Schönlein Purpura (HSP) ในกลุ่มที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม KLA-B27 มักจะมีการติดเชื้อนำมาก่อน โดยเฉพาะการติดเชื้อทางเดินอาหารและทางเดินปัสสาวะ ก็เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้ ซึ่งมาจากพฤติกรรมการกินอาหารไม่สะอาด หรืออาหารเป็นพิษ
“เด็กอาจเกิดผื่นจ้ำแดงเขียว และจะมาพบแพทย์ด้วยเรื่องนี้ ซึ่งแพทย์ก็จะพบว่ามีปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับโรคข้อ”
ถ้าหากว่าผู้ที่มีพันธุกรรม HLA-B27 ร่วมกับการติดเชื้อ ก็ยิ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้ออักเสบในเด็กได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นพ.วิรัตน์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่ของเด็กที่เป็นกลุ่มโรคข้ออักเสบนั้น ‘หาสาเหตุไม่ได้’
เด็กป่วย แต่ ‘เด็กบ่นไม่เป็น’ อีกสาเหตุที่โรคถูกมองข้าม และวิธีการสังเกตที่สำคัญ
เมื่อเป็นโรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ การสังเกตของผู้ปกครองจึงเป็นเรื่องสำคัญ
“เด็กไม่บ่นว่าปวด เรื่องเจ็บ เขาไม่รู้จักความเจ็บ เพราะคุ้นชินกับมันมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กมาหาหมอจึงไม่ได้มาด้วยเรื่องปวดข้อ แต่มาเพราะว่าผู้ปกครองพามาเนื่องจากเด็กเดินกะเผลก ซึ่งสตอรี่ส่วนใหญ่จะบอกว่าล้มที่โรงเรียน ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่เลย แต่เด็กเป็นข้ออักเสบต่างหาก”
“อาการของโรคข้ออักเสบ บางทีข้อบวมแดงมันเห็นไม่ชัด จึงต้องอาศัยการฟังและสนใจว่าเด็กเป็นอย่างไร เล่นกีฬาที่โรงเรียนก็อาจจะวิ่งไม่ทันเพื่อน หรือว่ามีกิจกรรมบางอย่างที่เขาทำได้น้อยลงเช่น การนั่งกับพื้น นั่งยอง ๆ ไม่ได้ หรือไม่ยอมขยับขาและเข่า”
ร่วมกับการที่ผู้ปกครองจะต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ได้แก่ มีผื่นจ้ำแดงเขียวบนลำตัว หรือพบม่านตาอักเสบ
สำหรับความรุนแรงของโรคนั้นเป็นไปได้ตั้งแต่ การทำลายของข้อจนเสียหาย เกิดความพิการ จนถึงขั้นเสียชีวิต
“ยกตัวอย่างหากเกิดที่ขา ข้างหนึ่งเกิดข้ออักเสบ มันจะทำให้เลือดไปเลี้ยงขาที่ข้างนั้นเยอะ จะทำให้ขายืดตัวไม่เท่ากับอีกข้างหนึ่ง ทำให้มีปัญหาคือขายาวไม่เท่ากัน หรือในกรณีกลุ่มที่มีอาการม่านตาอักเสบ ผลเสียก็คือเรื่องการมองเห็น นอกจากนี้กลุ่มที่เป็นโรคข้อรุนแรง จะพบว่าเด็กเป็นไข้เรื้อรังไม่หาย อาการทรุดลงและมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้”
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเด็กผู้หญิงที่มีอาการอักเสบของข้อจำนวนมาก และมีผลเลือดที่มีรูมาตอยด์แฟคเตอร์ร่วมด้วย เด็กกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสที่โรคจะรุนแรงขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และจะกลายเป็นโรครูมาตอยด์ในผู้ใหญ่ต่อไป
วิธีการรักษา ‘คุมโรคให้สงบ’ ทำอย่างไร
นพ.วิรัตน์ ภิญโญพรพานิช กล่าวว่าปัจจุบันไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้โรคนี้หายขาด แต่สามารถทำให้สงบได้เป็นระยะเวลานาน และโอกาสที่จะกำเริบในอนาคตน้อยลง
“ย้อนกลับไปสัก 30 ปีที่แล้ว การรักษาโรคข้อนั้นโอกาสที่จะทำให้โรคสงบยาก เพราะไม่มียาที่ดี ตามคลินิกและโรงพยาบาลจึงได้เห็นคนพิการเยอะ ในเด็กก็อาจจะคุมโรคได้ในระดับหนึ่งแต่ว่ามันก็ยังทำร้ายเด็กไปเรื่อย ๆ
แต่ปัจจุบันการรักษาดีขึ้นมาก มียาตัวใหม่ ๆ ที่ทำให้โรคสงบลงได้เป็นระยะเวลานาน ควบคู่กับการกายภาพและการดูแลตนเอง เช่น ออกกำลังกาย และระวังการติดเชื้อ”
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ป่วย ‘โรคข้อ’ ในเด็ก จะต้องดูแลตนเองต่อเนื่องหลายสิบปี โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิดม่านตาอักเสบ
“หมอจะต้องดูแลและสะสมเคสไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นโรคที่เรื้อรัง ผมดูมาเรื่อย ๆ เด็กบางคนอยู่กับผมจนถึงอายุ 20 กว่า เข้ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็มี”
การคุมโรคให้สงบ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการรักษาโรคข้อในเด็ก เพราะโรคข้อในเด็กสามารถขยายผลไปสู่โรคอื่น ๆ ได้อีกหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงภาวะพิการหรือม่านตาอักเสบเท่านั้น แต่ในบางครั้งอาจจะนำไปสู่โรคหัวใจหรือเกี่ยวพันกับเส้นเลือดใหญ่ได้ด้วย
“สุดท้ายอยากฝากให้พ่อแม่สังเกตลูกว่าเป็นอย่างไร ความใส่ใจเป็นเรื่องสำคัญ และอยากให้คิดว่าเด็กก็เป็นโรคข้อได้ ไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในผู้ใหญ่” นพ.วิรัตน์กล่าวปิดท้าย
กรมอนามัยแนะ 'ตรวจสอบระบบประปา' และ ‘ข้ออักเสบ’ โรคร้ายที่มักถูกคนมองข้ามในผู้ป่วย ‘เด็ก’