ผมกำหดรู้อาศัยเหตุแห่งปัจจัย จึงกำหนดเห็นสภาพแห่งสุญญตา ย่อมมีปกติคือว่างจากอัตตา ว่างจากสักกายทิฏฐิ มันจะเป็นสุญญตาสภาวะโดยสิ้นเชิงได้อย่างไร เพราะวิญญาณยังดำรงอยู่ด้วยอายตนะเป็นปัจจัย
อุปมาเหมือนอายตนะ เปรียบได้กับสังขารอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้บุคคลจะกำหนดรู้เหตุ ย่อมเกิดอนุโลมญาณ อันเห็นความเป็นไตรลักษณ์แห่งสังขาร วิปัสสนาญาณย่อมน้อมไปสู่สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณที่วางเฉยในสังขาร มิหยิบฉวยด้วยตัณหา อวิชชาจึงเสื่อมไปโดยลำดับขั้น
แม้จิตจักดำรงอยู่โดยอารมณ์แห่งวิปัสสนา เห็นซึ่งสังขารทั้งปวงเป็นไปตามปัจจัย แต่เมื่อยังมีอายตนะเป็นปัจจัยอยู่ อารมณ์ทั้งหลายย่อมเกิดดับตามเหตุปัจจัยนั้น หาใช่เป็นสุญญตาโดยสิ้นเชิงไม่ เพราะยังมีความเป็นไปแห่งจิต ยังมีธรรมมารมณ์เป็นอารมณ์ แม้จิตจักสงบระงับ แต่ยังมีอายตนะปรากฏอยู่เป็นปัจจัยด้วย
พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน สุญญตสูตร ว่า สุญญตา มิใช่เพียงแค่ว่างโดยปฏิเสธ หากแต่เป็นความว่างอันเป็นไปโดยปัจจัย อายตนะทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกฏแห่งปัจจัยขันธ์ ๕ หาใช่สิ่งที่พึงละเลยไม่ เพราะอายตนะเป็นเหตุให้มีการสืบต่อแห่งวิบาก แม้ปฏิบัติด้วยสุญญตา ก็ยังต้องกำหนดรู้ว่า อายตนะนั้นเป็นไปตามธรรม ปรากฏอยู่ชั่วคราวตามเหตุปัจจัย มิใช่ของเรา มิใช่เรา มิใช่ตัวตนของเรา
ด้วยเหตุนี้ แม้จักกล่าวว่าสุญญตาเป็นสภาพที่ว่างจากอัตตา แต่อาศัยเหตุแห่งอายตนะ อารมณ์ทั้งหลายย่อมปรากฏขึ้นเป็นปัจจัยแห่งการกำหนดรู้ ก่อให้เกิดญาณตามลำดับ จนกว่าสังขารทั้งหลายจะดับสิ้นโดยปัจจัยแห่งวิราคะ สมุจเฉทวิมุตติจึงปรากฏเป็นที่สุดแห่งวิบาก อายตนะ ที่ไม่ว่างจึงเป็น ผลของวิบาก ที่เคลื่อนไปสู่ ปริโยสาน ผมเข้าใจถูกไหมครับ
ไม่ว่างอยู่อย่างเดียว คือ อายตนะ คืออะไรครับ
อุปมาเหมือนอายตนะ เปรียบได้กับสังขารอันเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้บุคคลจะกำหนดรู้เหตุ ย่อมเกิดอนุโลมญาณ อันเห็นความเป็นไตรลักษณ์แห่งสังขาร วิปัสสนาญาณย่อมน้อมไปสู่สังขารุเปกขาญาณ อันเป็นญาณที่วางเฉยในสังขาร มิหยิบฉวยด้วยตัณหา อวิชชาจึงเสื่อมไปโดยลำดับขั้น
แม้จิตจักดำรงอยู่โดยอารมณ์แห่งวิปัสสนา เห็นซึ่งสังขารทั้งปวงเป็นไปตามปัจจัย แต่เมื่อยังมีอายตนะเป็นปัจจัยอยู่ อารมณ์ทั้งหลายย่อมเกิดดับตามเหตุปัจจัยนั้น หาใช่เป็นสุญญตาโดยสิ้นเชิงไม่ เพราะยังมีความเป็นไปแห่งจิต ยังมีธรรมมารมณ์เป็นอารมณ์ แม้จิตจักสงบระงับ แต่ยังมีอายตนะปรากฏอยู่เป็นปัจจัยด้วย
พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน สุญญตสูตร ว่า สุญญตา มิใช่เพียงแค่ว่างโดยปฏิเสธ หากแต่เป็นความว่างอันเป็นไปโดยปัจจัย อายตนะทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกฏแห่งปัจจัยขันธ์ ๕ หาใช่สิ่งที่พึงละเลยไม่ เพราะอายตนะเป็นเหตุให้มีการสืบต่อแห่งวิบาก แม้ปฏิบัติด้วยสุญญตา ก็ยังต้องกำหนดรู้ว่า อายตนะนั้นเป็นไปตามธรรม ปรากฏอยู่ชั่วคราวตามเหตุปัจจัย มิใช่ของเรา มิใช่เรา มิใช่ตัวตนของเรา
ด้วยเหตุนี้ แม้จักกล่าวว่าสุญญตาเป็นสภาพที่ว่างจากอัตตา แต่อาศัยเหตุแห่งอายตนะ อารมณ์ทั้งหลายย่อมปรากฏขึ้นเป็นปัจจัยแห่งการกำหนดรู้ ก่อให้เกิดญาณตามลำดับ จนกว่าสังขารทั้งหลายจะดับสิ้นโดยปัจจัยแห่งวิราคะ สมุจเฉทวิมุตติจึงปรากฏเป็นที่สุดแห่งวิบาก อายตนะ ที่ไม่ว่างจึงเป็น ผลของวิบาก ที่เคลื่อนไปสู่ ปริโยสาน ผมเข้าใจถูกไหมครับ