นักวิเคราะห์ชี้ หุ้นไทยขาลงเต็มตัว อัดฉีดเงินหมื่นเฟส 3 ไม่ช่วยกระตุ้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_5085266
นักวิเคราะห์ชี้ หุ้นไทยขาลงเต็มตัว อัดฉีดเงินหมื่นเฟส 3 ไม่ช่วยกระตุ้น
วันที่ 10 มีนาคม นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทย เข้าสู่ภาวะขาลงอย่างเต็มตัว สะท้อนได้จากอาการปรับขึ้นไม่ไหว ปรับลดลงแบบซึมตัว รวมถึงปัจจุบันมีหุ้นไทยหลายตัวมาก ที่ราคาต่ำกว่าช่วงการระบาดโควิด-19 ด้วย
แต่แม้ดัชนีจะปรับทยอยปรับตัวลดลง แต่ประเมินว่า การจะวิ่งหลุดระดับ 1,000 จุด หรือต่ำกว่านี้เหมือนที่เคยเห็นในอดีต เบื้องต้นมองว่ายังไม่ขนาดนั้น เพราะขณะนี้ผลตอบแทนหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ติดลบ 14.15% ซึ่งถือว่าแย่ที่สุด ในบรรดาตลาดที่เคลื่อนไหวเทียบกับในภูมิภาคนี้แล้ว สะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยซึมซับปัจจัยลบที่มีอยู่ไปมากพอสมควร เหมือนตลาดหุ้นอื่นๆ ก็มีการปรับตัวลดลงอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้มากนัก
“ปัจจัยลบที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ โดยเฉพาะความเชื่อมั่น แต่ปัจจัยบวกก็มีสอดแทรกเข้ามา เพราะเห็นความพยายามของรัฐบาล รวมถึง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่พยายามหามาตรการเข้ามาช่วยแก้ปัญหา อาทิกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่ตลาดพยายามหยุดการขายเม็ดเงินเหล่านี้ให้ชะลอออกไปก่อน ผ่อนให้ซื้อในกองทุนไทยแลนด์ อีเอสจี มากขึ้นแทน แต่ก็อาจไม่ได้เห็นเร็วขนาดนั้น เพราะต้องรอกฎหมายก่อน ส่วนเรื่องความเชื่อมั่น ก็เห็นถึงความพยายามว่า จะออกกฎหมายเท่าเทียม ให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเอาผิดหุ้นที่ทำผิดได้เอง โดยที่ไม่ต้องรอหน่วยงานด้านกฎหมายหลักๆ เหมือนที่ผ่านมา” นายณัฐพล กล่าว
นายณัฐพล กล่าวว่า ปัจจัยที่จะมีผลกระตุ้นตลาดอย่างแท้จริง อาจต้องรอรัฐบาลว่าจะมีอะไรออกมาเพิ่มเติม เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ ซึ่งประเมินว่า เมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงปลายเดือนนี้ผ่านพ้นไป รัฐบาลน่าจะทำงานได้อย่างเต็มที่มากขึ้น มีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคทยอยออกมา แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงินหมื่นเฟส 3 จะยังไม่ได้ช่วยกระตุ้นมากนัก เพราะดัชนีหุ้นก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวตามภูมิภาค แต่มาตรการที่ออกมาก็ดีกว่าการไม่มีออกมาเลย แต่การจะช่วยสนับสนุนให้หุ้นบวกเยอะๆ ก็คงจะทำไม่ได้ มาตรการที่จะช่วยทำให้หุ้นบวกได้จริงๆ คือการห้ามชอร์ตเซล หรือการมีวายุภักษ์ภาค 2 ออกมาเพื่อให้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น
นายณัฐพล กล่าวว่า การฟื้นฟูหุ้นไทยตามแนวทางที่ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยออกมา เบื้องต้นมองว่าน่าจะได้ผล โดยเฉพาะโครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทย ส่งเสริมการลงทุนระยะยาว ลดหย่อนภาษี ภายใต้โมเดล Thailand Individual Saving Account (TISA) คล้ายกับโมเดล Nippon Individual Savings Account (NISA) ของประเทศญี่ปุ่น เพื่อสร้างจูงใจให้ประชาชนออมและลงทุนในหุ้นระยะยาว เพิ่มเม็ดเงินลงทุนในตลาดทุน สร้างความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนในระยะยาว ซึ่งโครงการนี้จะทำให้นักลงทุนเข้าลงทุนหุ้นรายตัวได้โดยถือระยะยาว และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีบุคคลประจำปี ภายใต้เพดานที่กำหนด เพราะสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือ การเพิ่มเม็ดเงินใหม่ และดันเศรษฐกิจมากขึ้น
สมาคมการค้ายาสูบ ชี้ บุหรี่เถื่อนทะลักเข้าประเทศ ทำเสียหายกว่า 2.8 หมื่นล้าน จี้รบ.เข้มปราบปราม
https://www.matichon.co.th/economy/news_5087041
สมาคมการค้ายาสูบไทย เผยบุหรี่เถื่อนทะลักเข้าประเทศไทย ทำประเทศเสียหายกว่า 2.8 หมื่นล้านบาท ร้านค้ารายได้-กำไรหาย ถอดใจไม่ต่อใบอนุญาตขายยาสูบ หวังรัฐบาลเข้มปราบปรามเหมือนบุหรี่ไฟฟ้า เผยพร้อมแจ้งเบาะแสให้กรมสรรพสามิตหลังพบบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม นางสาวธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์บุหรี่เถื่อนที่ทะลักเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจยาสูบในทุกระดับ ตั้งแต่ต้นน้ำคือเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ ไปจนถึงร้านค้าโชห่วยกว่า 400,000 รายทั่วประเทศ
“บุหรี่เถื่อนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่ชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ยังกระจายตัวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งภาคกลาง ซึ่งพบว่ามีสัดส่วนบุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อร้านค้าปลายน้ำ ที่ต้องเผชิญกับภาวะ “ขายยาก กำไรหด” เนื่องจากบุหรี่เถื่อนมีราคาถูกกว่าบุหรี่ที่เสียภาษี 2-3 เท่า ทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อบุหรี่เถื่อนมากขึ้น ร้านค้าที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายมียอดขายลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้และความอยู่รอดของธุรกิจ”
“ปัจจุบัน ร้านค้าปลีกที่ขายบุหรี่ถูกกฎหมายทั่วประเทศลดลงประมาณ 1 แสนร้านค้า จากในปี 2566 ที่มี 5 แสนราย แต่ในปี 2567 เหลือเพียง 4 แสนรายเท่านั้น จากที่สอบถามร้านค้าสมาชิกบางรายให้ข้อมูลว่า ขายบุหรี่แทบไม่ได้เลย เพราะร้านค้าบริเวณใกล้เคียงขายบุหรี่เถื่อน ลูกค้าประจำบางรายก็หันไปสั่งจากช่องทางออนไลน์แทน เลยไม่อยากไปเสียเงินต่อใบอนุญาตแล้ว เลิกขายไปเลยดีกว่า” นางสาวธัญญศรัณ กล่าว
ก่อนหน้านี้ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์บุหรี่เถื่อนปี 2567 ว่ายังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยพบสัดส่วนการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายสูงถึง 25.4% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 10 ปี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 28,000 ล้านบาทต่อปี แม้พื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ สตูล สงขลา พัทลุง ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ยังคงครองแชมป์การระบาดของบุหรี่เถื่อนที่สูงที่สุดในประเทศ แต่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็มีการเติบโตของบุหรี่เถื่อนสูงขึ้นมากอย่างน่ากังวล
“บุหรี่เถื่อนเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เทคนิคของขบวนการบุหรี่เถื่อนก็มีความซับซ้อนมากขึ้น ทำได้แม้กระทั่งการปลอมแสตมป์ที่มี QR code ส่องไปก็ขึ้นว่ามีการเสียภาษีถูกต้อง ส่วนบุหรี่เถื่อนอีกประมาณ 25.4% ก็ไม่มีการติดแสตมป์ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการยกระดับการแก้ปัญหา ซึ่งสมาคมเองก็ยินดีให้ความร่วมมือและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานปราบปรามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจปราบปรามบุหรี่หนีภาษีอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด สมาคมฯ ได้นำส่งข้อมูลการแจ้งเบาะแสร้านค้าบุหรี่เถื่อนจำนวน 35 รายการ ที่สมาชิกได้ช่วยกันรายงานเข้ามาผ่านแพลตฟอร์มของสมาคมฯให้กับกรมสรรพสามิต ส่วนใหญ่ที่มีการรายงานเข้ามาคือการขายบุหรี่เถื่อนในพื้นที่กรุงเทพ นนทบุรี สมุทรปราการ สระแก้วและประจวบฯ ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจที่ระบุว่าปัญหาบุหรี่เถื่อนขยายตัวเข้ามาในกรุงเทพและปริมณฑลแล้ว”
“สมาคมฯ ขอให้กรมสรรพสามิตช่วยตรวจสอบและสืบสวนหาผู้ขายรายใหญ่และปิดกั้นเวปไซต์และโซเชียลมีเดีย และให้ช่วยเป็นเจ้าภาพประสานกับศูนย์คัดแยกไปรษณีย์และของบริษัทขนส่งเอกชนเพื่อจัดทำมาตรการและแผนงานที่ชัดเจนในการปราบปรามบุหรี่ รวมถึงแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนตั้งแต่ต้นทาง โดยประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย เมียนมา ลาว มาเลเซีย ที่เป็นประเทศต้นทางที่ส่งบุหรี่เถื่อนเข้ามายังประเทศไทย”
“สมาคมอยากเห็นการยกระดับแก้ปัญหาบุหรี่เถื่อนให้เข้มข้น เช่นเดียวกับที่รัฐบาลและท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารประกาศกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อปกป้องร้านค้าโชห่วยในชุมชนให้อยู่รอดท่านกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไมดีนัก” นางสาวธัญญศรัณ กล่าวทิ้งท้าย
เท้ง ยัน ฝ่ายค้านไม่ได้ดื้อดึง ใส่ชื่อทักษิณในญัตติ ขอปธ.สภาฯวางตัวเป็นกลาง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5087278
‘เท้ง’ ยัน ‘ฝ่ายค้าน’ ไม่ได้ดื้อ ขอรอดูพรุ่งนี้ ตั้งเป้าสะท้อนเสียงโดยตรงไปที่ ‘วันนอร์’ ยันต้องใส่ชื่อ ‘ทักษิณ’ ในญัตติซักฟอก ตอก ‘ประธาน’ ต้องวางตัวเป็นกลาง! อย่าปกป้องฝั่ง รบ. ถามญัตติทั่วไปใส่ชื่อคนนอกได้ ทำไมญัตติไม่ไว้วางใจทำไม่ได้ ทั้งที่กล่าวหามากกว่า จะได้เปิดกว้างไปเลย
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ยืนยันให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถอดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติ ว่า ขอให้รอการประชุมสภาพรุ่งนี้ (12 มี.ค.68) ตนก็เชื่อว่าพวกเราจะสะท้อนเสียงต่อประธานสภาโดยตรง ตามหลักการและเหตุผลที่ได้ระบุไว้ในหนังสือคัดค้าน
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตนเชื่อว่าน้ำหนักที่ให้ไป เหตุผลที่เราให้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการญัตติที่ได้แสดงให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์ หลายครั้งก็มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกได้ ถ้าหากจำเป็น เพราะฉะนั้น อยากจะให้ประธานได้รับฟังเหตุผลของเรา และลองตัดสินใจดูอีกสักครั้งหนึ่ง แต่หลังจากรับฟังแล้ว ประธานสภาจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นอำนาจของประธาน ซึ่งก็ยังมีกรอบเวลาในการหารืออยู่ภายในสัปดาห์นี้
เมื่อถามว่าสามารถกล่าวในที่ประชุมได้แต่ประธานสภาต้องการให้ลบชื่อออกจากญัตติ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ถ้าดูตามรายการญัตติที่ยื่นคัดค้านไปเมื่อวาน (10 มี.ค.68) จะเห็นว่าหลายญัตติมีการใส่ชื่อบุคคลภายนอก ตนอยากชวนให้ทุกท่านคิดว่าญัตติธรรมดากับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อะไรที่เป็นเรื่องการกล่าวหามากกว่ากัน ทุกคนตอบเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“ญัตติธรรมดาสามารถกล่าวถึงบุคคลภายนอก ระบุชื่อบุคคลภายนอกในญัตติได้ แล้วทำไมญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เป็นการกล่าวหา จึงจะไม่สามารถระบุลงไปได้ เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้ ผมเองก็คิดว่าอำนาจในการตีความต่างๆ ก็เป็นของท่านประธานแต่เราเองก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการให้เหตุผล” นายณัฐพงษ์กล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการตัดชื่อนายทักษิณออก แล้วใส่เพียงแค่บิดาหรือคนในครอบครัวของนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนคิดว่าการใช้คำในการระบุลงไปในญัตติอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือกระบวนการอภิปรายในสภา แน่นอนที่สุดว่าถ้าระบุชื่อนายทักษิณอย่างตรงไปตรงมา การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะสามารถกล่าวถึงนายทักษิณได้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น และการประท้วงก็ทำได้ยากมากขึ้น
“มองกลับกัน ความพยายามที่บอกว่าให้ใช้คำอื่น เลี่ยงบาลีก็ได้ ไม่ต้องระบุชื่อ ก็ได้อาจจะเป็นความพยายามในการที่จะลุกขึ้นประท้วง พร้อมที่จะลุกขึ้นประท้วงทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงคุณทักษิณในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้เองผมอยากให้ท่านประธานวางตัวเป็นกลาง ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่อยากให้ใช้อำนาจของท่านที่ดูเหมือนเป็นการปกป้องคุณทักษิณ หรือฝั่งรัฐบาลมากไปกว่านี้” นายณัฐพงษ์กล่าว
JJNY : 5in1 เงินหมื่นไม่ช่วยกระตุ้น│บุหรี่เถื่อนทะลักเข้าปท.│เท้งยันไม่ได้ดื้อดึง│เท้งยกคณะดูเรือนจำ│ร้องปชน.ค้านแก้กม.
https://www.matichon.co.th/economy/news_5085266
สมาคมการค้ายาสูบ ชี้ บุหรี่เถื่อนทะลักเข้าประเทศ ทำเสียหายกว่า 2.8 หมื่นล้าน จี้รบ.เข้มปราบปราม
https://www.matichon.co.th/economy/news_5087041
เท้ง ยัน ฝ่ายค้านไม่ได้ดื้อดึง ใส่ชื่อทักษิณในญัตติ ขอปธ.สภาฯวางตัวเป็นกลาง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5087278