"ไม่ง่าย แต่โคตรคุ้ม! เมื่อฉันตัดสินใจทำหนังสือเอง 1000 เล่ม ด้วยตัวเอง (แชร์ประสบการณ์สุดบ้าบอ)"

จุดเริ่มต้นของความบ้าบอ "ใครเขาทำ หนังสือพันเล่ม ไม่ผ่านสำนักพิมพ์?"

นี่ไม่ใช่โปรเจกต์ที่เริ่มต้นจากแพสชั่นนักเขียน
ไม่ใช่ความฝันที่อยากมีหนังสือของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
มันเกิดจาก ความจำเป็น ที่รู้ตัวอีกทีผมก็ถอยหลังไม่ได้แล้ว
จากภาพถ่ายสู่การทำหนังสือ > เมื่อแค่ถ่ายรูปมันไม่พอ

ย้อนกลับไป สั้นๆ ผมเริ่มจากการเป็นครีเอทีฟ ทำสารคดี ทำร้านกาแฟ ทำโฮสเทล ก่อนที่ความสนใจเรื่องอาหารจะนำพาไปมาสู่การทำงานด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต ผ่านจานอาหาร 

ผมเรียกตัวเองว่าเป็นนักสื่อสาร บางครั้งสวมบทช่างภาพ บางครั้งเป็นคนทำวิดีโอ บางจังหวะเป็นนักออกแบบ หลายๆ ครั้งเข้าครัวทำอาหาร ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเรื่องราวของผม แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งจะต้องมาทำหนังสือตั้ง 1,000 เล่มตั้งแต่ต้นยันจบ ด้วยแรงตัวเอง

มีครั้งหนึ่งที่ผมได้น้ำตาลปึกมาจากน้าสาว ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า น้ำตาลโตนดบ้านเรา(สุโขทัย) มันมาจากไหน ผมเข้าไปในชุมชนตามลายแทงข้อมูลที่ได้มา แต่กลายเป็นว่า ผมไปผิดบ้าน 

ด้วยโชคชะตาหรืออะไรไม่ทราบได้ ความผิดพลาดนี้ทำให้ผมได้พบกับครอบครัวปราชญ์ตาล ที่สืบทอดการทำน้ำตาลโตนดมาหลายชั่วคน จากนั้นมา ผมก็เข้าไปเก็บข้อมูล ถ่ายภาพ และสร้างสินค้าน้ำตาลสดร่วมกับชุมชน แบบที่คงไว้ด้วยกลิ่นรสที่มีอัตลักษณ์แบบสุโขทัย แบบที่ไม่เหมือนที่ไหน หวานละมุน หอมกลิ่นควันฟืน!

ตอนนั้นผมคิดว่า สิ่งที่จะทำให้องค์ความรู้และผู้คนที่นี่รอด คือน้ำตาลโตนดรสดั้งเดิมที่ทั้งแตกต่าง อร่อย และมีความหมาย
ด้วยความตั้งใจแรกที่คิดว่า เราต้องทำให้มันเป็นสินค้า ถ้าทำให้น้ำตาลโตนดเป็นสินค้าได้ มันจะนำพาให้การทำน้ำตาลสุโขทัยที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นอยู่รอด
 
ผมลงพื้นที่ ศึกษากระบวนการทำจริง ทำสินค้าขึ้นมา ลองขายจริง จนได้ข้อมูลมามหาศาล

> น้ำตาลโตนดต้องใช้ความเชี่ยวชาญ ดูน้ำตาลให้เป็น กะจังหวะให้ได้ เพราะไม่มีตำราให้อ่าน มีแต่คำบอกเล่าและการฝึกจดจำจากประสบการณ์ 
> ตลาดใหญ่ไม่ได้ต้องการน้ำตาลโตนดแท้ เพราะผลผลิตน้อย กระบวนผลิตช้า และต้นทุนสูงจนเคยคุยกับเจ้าใหญ่ เค้ายังไม่ลงมาเล่นกับน้ำตาลสดเพราะบอกว่ายากเกินไป
> ไม่มีคนรุ่นใหม่ทำ เพราะเป็นงานยาก ได้เงินน้อย

คำถามสำคัญในหัวตอนนั้นคือ แล้วถ้าสักวัน น้ำตาลโตนดแท้ตามแบบโบราณหายไป จะทำยังไง?
 
ในขณะที่คนทำน้ำตาลแท้ ตามภูมิปัญญาโบราณ เหลือไม่ถึงสิบคน มากกว่าครึ่งเป็นหน่วย ส.ว. (สูงวัยเกิน 60+) เตาตาลเริ่มถูกทุบทิ้ง น้ำตาลโตนดที่หาดื่มหากินได้ เป็นน้ำตาลข้างถนน ที่ต้องสุ่มเอาว่าแม่ค้าคนไหนจะผสมอะไรลงไปเพื่อลดต้นทุน 
ณ เวลานั้นผมคาดการณ์คำนวณไว้ว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น น้ำตาลโตนดแท้ๆ ของสุโขทัย จะหายไปในอีกไม่เกิน 10 ปีจนกระทั่งปีที่แล้ว (2567) ปราชญ์ตาลมือดีที่สุดที่ทำน้ำตาลให้ผม สุขภาพเริ่มไม่แข็งแรง ทำตาลได้น้อยลง ตอนนั้นผมรู้ได้เลยว่าเหลือเวลาไม่ถึง 5 ปี วิถีการทำน้ำตาลโตนดที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของสุโขทัย จะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

เมื่อทั้งกระบวนการดูจะไปต่อไม่ได้ ก็ต้องเก็บเรื่องราวไว้ให้ได้


ตอนนั้นเป็นจุดตัดสินใจ ที่ต้องลงมือทำหนังสือ เพราะตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างเปราะบาง ถ้าทุกอย่างจบสิ้นลง อย่างน้อยขอให้ยังมีหนังสือของเราที่บอกว่าครั้งหนึ่งมันเคยมีอยู่
 
จากนั้นมา ผมเองจึงเร่งรีบเก็บข้อมูลจากชุมชนให้ได้มากที่สุด เก็บภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ถอดรหัสอัตลักษณ์การทำน้ำตาลแบบวิทยาศาสตร์จนได้ข้อมูลมาตรฐานอุณหภูมิ เวลา และองค์ประกอบที่ทำให้ได้รสชาติตามอัตลักษณ์สุโขทัย เริ่มสืบค้นข้อมูลตำรา ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานต่างๆ ค้นหาแหล่งอ้างอิงอัตลักษณ์รสชาติ Terrior แบบที่ฝรั่งอธิบายไวน์ที่ดี ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง วิ่งไปคุยกับนักพันธุศาสตร์ นักพืชศาสตร์ นักวิจัย นักธรณีวิทยา จนได้ข้อมูลมากองรวมๆ กันเต็มไปหมด 
> น้ำตาลแหวกวงดำ ภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมา เป็นจุดชี้วัดระดับความ "หวานพอดีแบบสุโขทัย" ต้มไฟแรง  ระยะเวลาต้มประมาณไม่เกิน 15 นาที อุณหภูมิสุดท้ายก่อนดับไฟอยู่ที่ 100 องศาC ระดับความหวานอยู่ที่ 14-15 องศา Brix

ปัญหาต่อมาคือคือ ผมทำหนังสือ “ไม่เป็น”


ตอนนั้นรู้เลยว่า(คิดเอาเอง) จะแบกโปรเจคที่ดูจะไม่ทำเงินแบบนี้ ไปหาสำนักพิมพ์ คงไม่มีทาง ผมจึงเลือกที่จะลงทุนเองทั้งหมด โดยคิดว่า น่าจะหาวิธีระดมทุนอะไรได้บ้างแหละ ความคิดมันง่าย แต่พอทำหนังสือจริงๆ มันไม่ง่าย

> ผม ไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน
> ผม ไม่เคยออกแบบหนังสือ ใกล้เคียงสุดคือทำสมุดภาพโดยทั้งหมดทำจากโฟโต้ชอปแล้วส่งงานไปให้โรงพิมพ์ทำต่อ
> ผม ไม่เคยแตะ Adobe InDesign ด้วยซ้ำ

ดังนั้น… ผมก็เหมือนมือใหม่ทุกคน เริ่มแบบ งูๆ ปลาๆ

> เปิดยูทูป… "สอนใช้ InDesign แบบจับมือทำ"
> โทรถาม... เพื่อนที่ใช้ InDesign สมัยเรียนมหา'ลัย 
> ไปนั่งคุย... จากพี่ช่างภาพที่ทำ PhotoBook ของตัวเองเพื่อจำวิธีมา จำได้เลยว่า ถามละเอียดมาก ขนาดหนังสือ จำนวนหน้า ประเภทกระดาษ นั่งจดเลขระยะห่างตัวอักษร

ตอนนั้นในหัวมีแค่ความคิดที่ว่า เอาวะ ไม่มีใครทำอะไรเป็นมาแต่เกิดหรอกน่า!
 
 
ประสบการณ์


งานนี้ดีหน่อยตรงที่ผมมีเพื่อนวิ่งงานทำสื่อสิ่งพิมพ์ มันเป็นมนุษย์ที่ทำงานเช่น หนังสือวารสารโรงเรียน ครบรอบกี่สิบปีหน่วยงานต่างๆ 
เราไปเลือกตั้งแต่เนื้อกระดาษ ในประเทศมีแบบไหนบ้าง ต่างประเทศเพิ่มงบเท่าไร กระดาษของหนังสือเล่มนี้เทียบกับในเมืองไทยที่มีเป็นแบบไหน จำนวนกี่เล่มคิดราคาอย่างไร ขายได้เท่าไรจึงจะคุ้มทุน นี่คือโปรเซสตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เริ่มวางรูปเล่ม 
เราได้ข้อสรุปกระดาษ เทคนิคที่ใช้ และลิมิตจำนวนหน้ามาตั้งแต่ต้น รวมทั้งตัวเลขราคาค่าจัดพิมพ์ในจำนวนต่างๆ ร้อยเล่ม ไปจนถึงหนึ่งพันเล่ม
แน่นอนว่าหนึ่งพันเล่มต้นทุนถูกที่สุด แต่ก็แลกมากับตัวเงินที่มากขึ้นในการลงทุนตามไปด้วย แรกเริ่มเดิมทีเราตั้งใจพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมา ให้ได้จำนวนครึ่งๆ กับจำนวนโรงเรียนทั้งจังหวัดสุโขทัย เพื่อนำหนังสือไปไว้ให้กับเด็กๆ โรงเรียนละหนึ่งเล่ม ก็จะเป็นจำนวนหนังสือประมาณ สองร้อยกว่าเล่ม ดังนั้นหนังสือที่ทำคิดจากต้นทุนที่รับไหว จะอยู่ที่ประมาณห้าร้อยเล่ม เอาหล่ะ ต้องใช้เงินจำนวนเท่านี้ ลุย!

ติดตามต่อครึ่งหลัง....
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่