ช่วงนี้เห็นหลายๆสื่อ พูดถึง OTT จะเป็นอย่างไรต่อไป?
อันนี้เผื่อคนที่ยังไม่เข้าใจว่า
OTT กับ IPTV : แตกต่างกันยังงัยล่ะ? ขออธิบายตามความเข้าใจง่ายๆ ระหว่าง OTT และ IPTV..
OTT ใช้แอปพลิเคชันและอินเทอร์เน็ตในการส่งสัญญาณคอนเทนต์ ซึ่งสามารถรองรับผู้ใช้บริการจากทุกเครือข่ายมือถือ
และไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใด
ส่วน
IPTV ต้องมีการขออนุญาตจาก กสทช. และจำกัดการรับสัญญาณตามโครงข่ายที่ตัวเองกำหนด โดยการรับชมผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยใช้โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (IP) ในการส่งสัญญาณภาพและเสียง และใช้บริการผ่าน กล่องรับสัญญาณ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวงการโทรทัศน์ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมารับชมคอนเทนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือ OTT แทนทีวีแบบเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น NETFLIX, DISNEY+, VIU และอื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล่องรับสัญญาณเหมือน IPTV ที่มีกฎหมายและข้อกำหนดในการขออนุญาตชัดเจน
OTT : โอกาสในการแข่งขัน
อาจารย์สืบศักดิ์ยังได้กล่าวว่า OTT เป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย เนื่องจากสามารถแข่งขันในแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ ระดับโลกได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการเช่าช่องเวลารายการเหมือนในอดีต และการกำกับดูแลของ กสทช. จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสในการแข่งขันในเวทีโลก
การกำกับดูแลที่เหมาะสม
ในการเสวนาครั้งนี้ผู้เข้าร่วมเห็นตรงกันว่า OTT เป็นทั้งโอกาสและทางเลือกที่มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการ ผู้ผลิตคอนเทนต์ และผู้บริโภค แต่การกำกับดูแลจะต้องมีความสมดุล โดยไม่เพียงแต่ควบคุม แต่ต้องส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก หากจะมีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ใด ๆ ก็ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้การกำกับดูแลเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการเติบโตของธุรกิจ OTT ในประเทศไทย
มุมมองจากผู้ผลิตและผู้บริโภค
ในส่วนของผู้ผลิตคอนเทนต์ คุณระวี ตะวันธรงค์ มองว่า OTT ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถเสนอผลงานได้มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาช่องทางทีวีแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในประเทศด้วย ขณะที่ผู้บริโภค เช่น คุณภวดล สุวรรณศรี มองว่า OTT เป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย สามารถรับชมรายการได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต
OTT ถือเป็นเองโอกาสที่เปิดกว้างให้ผู้ที่ผลิตคอนเทนต์สามารถเข้าถึงคนดูได้ง่ายขึ้น และทำให้การแข่งกับต่างชาติเป็นไปได้ ในทางกลับกัน เรื่องของการกำกับดูแล ก็ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยีตามมาด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภคที่เป็นคนดูอย่างเราๆ และธุรกิจในประเทศอีกต่อไปด้วย
การพูดถึง OTT (Over The Top) ยังคงรออคนเข้าใจ เรื่องการให้บริการต่างๆ จึงกลายเป็นหัวข้อร้อนแรงที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการร่วมกันถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะในประเด็นการกำกับดูแลที่ยังคงคลุมเครือในประเทศไทย ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จาก OTT อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ขอติดตามและเอาใจช่วยทั้งหน่วยงานภาคเอกชน และภาครัฐ ที่พร้อมทำหน้าที่ของตัวเอง อยากให้ชัดเจนและครอบคลุมให้ออกมาก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อคนดูและผู้ผลิตสื่อต่างๆ และตัวประเทศเอง
OTT vs IPTV ในอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป?
อันนี้เผื่อคนที่ยังไม่เข้าใจว่า OTT กับ IPTV : แตกต่างกันยังงัยล่ะ? ขออธิบายตามความเข้าใจง่ายๆ ระหว่าง OTT และ IPTV..
OTT ใช้แอปพลิเคชันและอินเทอร์เน็ตในการส่งสัญญาณคอนเทนต์ ซึ่งสามารถรองรับผู้ใช้บริการจากทุกเครือข่ายมือถือ
และไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใด
ส่วน IPTV ต้องมีการขออนุญาตจาก กสทช. และจำกัดการรับสัญญาณตามโครงข่ายที่ตัวเองกำหนด โดยการรับชมผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยใช้โปรโตคอลอินเทอร์เน็ต (IP) ในการส่งสัญญาณภาพและเสียง และใช้บริการผ่าน กล่องรับสัญญาณ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวงการโทรทัศน์ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมารับชมคอนเทนต์ผ่านอินเทอร์เน็ตหรือ OTT แทนทีวีแบบเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม เช่น NETFLIX, DISNEY+, VIU และอื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล่องรับสัญญาณเหมือน IPTV ที่มีกฎหมายและข้อกำหนดในการขออนุญาตชัดเจน
OTT : โอกาสในการแข่งขัน
ในการเสวนาครั้งนี้ผู้เข้าร่วมเห็นตรงกันว่า OTT เป็นทั้งโอกาสและทางเลือกที่มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการ ผู้ผลิตคอนเทนต์ และผู้บริโภค แต่การกำกับดูแลจะต้องมีความสมดุล โดยไม่เพียงแต่ควบคุม แต่ต้องส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก หากจะมีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ใด ๆ ก็ต้องมีการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้การกำกับดูแลเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการเติบโตของธุรกิจ OTT ในประเทศไทย
ในส่วนของผู้ผลิตคอนเทนต์ คุณระวี ตะวันธรงค์ มองว่า OTT ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถเสนอผลงานได้มากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาช่องทางทีวีแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่เพียงแค่เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในประเทศด้วย ขณะที่ผู้บริโภค เช่น คุณภวดล สุวรรณศรี มองว่า OTT เป็นทางเลือกที่สะดวกสบาย สามารถรับชมรายการได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต
การพูดถึง OTT (Over The Top) ยังคงรออคนเข้าใจ เรื่องการให้บริการต่างๆ จึงกลายเป็นหัวข้อร้อนแรงที่ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการร่วมกันถกเถียงกันอย่างเข้มข้นในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะในประเด็นการกำกับดูแลที่ยังคงคลุมเครือในประเทศไทย ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จาก OTT อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ขอติดตามและเอาใจช่วยทั้งหน่วยงานภาคเอกชน และภาครัฐ ที่พร้อมทำหน้าที่ของตัวเอง อยากให้ชัดเจนและครอบคลุมให้ออกมาก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อคนดูและผู้ผลิตสื่อต่างๆ และตัวประเทศเอง
การ LIve เสวนา จาก BT beartai
https://www.youtube.com/watch?v=7LGLSnQab_8