JJNY : ‘เงิน 10,000’ หนุน GDP โตแค่ 0.3%│ศก.ชะลอ รายได้“เวิร์คพอยท์”ร่วง│กกต.ได้รับหนังสือ DSI│“ทรัมป์” สั่งปลดปธ.เสนา

'เวิลด์แบงก์' ชี้ ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ หนุน GDP ไทยโตแค่ 0.3%
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1167928

'เวิลด์แบงก์' ชี้ ‘เงินดิจิทัล 10,000 บาท’ หนุน GDP ไทยโต แค่ 0.3% กดดัน 'การคลัง' มีต้นทุนสูงถึง 145,000 ล้านบาท พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัว 2.9% พร้อมชี้ 3 ความท้าทายทางการคลัง
 
 “ธนาคารโลก” เผยแพร่รายงานติดตามเศรษฐกิจไทย กุมภาพันธ์ 2568 ได้ประเมินเบื้องต้นว่ามาตรการ “เงินอุดหนุน 10,000 บาท” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตรอบแรกสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคน หรือประมาณ 42% ของประชากรในกลุ่มรายได้ต่ำสุด อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ในปีพ.ศ. 2567 ได้ประมาณ 0.3% โดยอิงจากตัวคูณทางการคลังที่ 0.4 
 
อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวนี้มาพร้อมกับต้นทุนทางการคลังที่สูงถึง 145,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.8% ของ GDP
จากข้อมูลรายงาน GDP ล่าสุดชี้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ของปีพ.ศ. 2567 เติบโตขึ้น  3.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
 
แนวโน้ม ‘เศรษฐกิจไทย’ ปี 68
 
ธนาคารโลกได้คาดการณืว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.6% ในปีพ.ศ. 2567 เป็น 2.9% ในปีพ.ศ. 2568  ทั้งนี้การฟื้นตัวยังคงช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดย 2 ปัจจัยสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ คือ การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน  
การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในกลางปี 2568 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านคน จาก 35.3 ล้านคนในปี 2567
 
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีพ.ศ. 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าปัจจัยภายนอกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อย
 
สำหรับปีพ.ศ. 2568 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 0.4% ในช่วงปีที่ผ่านมาเป็น 0.8% แต่ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและราคาอาหารคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ครัวเรือนที่สูงขึ้น อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งเสริมการบริโภคและการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ในทางตรงกันข้าม ราคาพลังงานคาดว่าจะปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันโลกที่อ่อนตัวลดลง
 
3 ความท้าทาย ‘การคลัง’
 
นโยบายการคลังของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสามประการหลัก ได้แก่ 1.การตอบสนองต่อความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ 2.การฟื้นฟูการลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ 3.การรักษาระดับหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน
ธนาคารโลกคาดว่าระดับหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นเป็น 64.8% ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และมีแนวโน้มเข้าใกล้เพดานหนี้สาธารณะที่ 70% ของ GDP ภายในอีกห้าปีข้างหน้า แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะของประเทศไทยจะยังคงมีความยั่งยืนทางการคลัง โดยมีหนี้สกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำ ( 1.0% ของหนี้ทั้งหมด) และมีต้นทุนการระดมทุนที่ค่อนข้างต่ำ แต่แรงกดดันในการใช้จ่ายทางสังคมและการลงทุนของภาครัฐในทุนมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ และมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพื่อการเติบโต เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ได้เพิ่มแรงกดดันทาง “การคลัง”
 
 หนี้ครัวเรือน ‘จุดอ่อน’ ระบบการเงินไทย
 
ระบบการเงินของไทยยังคงมีความมั่นคง แต่การปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้นเนื่องจากความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ในไตรมาสที่ 2 ของปี พ.ศ. 2567 ระดับหนี้ครัวเรือนลดลงเหลือร้อยละ 90.7 ของ GDP จากจุดสูงสุดที่ร้อยละ 95.8 ของ GDP เมื่อสองปีก่อน แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลง แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบการเงิน เนื่องจากสัดส่วนสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่มีหลักประกันในพอร์ตสินเชื่อของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังคงอยู่ในระดับต่ำ คือร้อยละ 2.9 ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567


 
เศรษฐกิจชะลอ รายได้ “เวิร์คพอยท์” ร่วง ปรับแผนเลิกผลิตละครลดต้นทุน
https://www.thansettakij.com/business/marketing/620282

นายสุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัท")  หรือ WORK รายงานผลประกอบการของบริษัท สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2567  ระบุว่า บริษัทมีรายได้รวมตามงบการเงินรวมในปี 2567 (ไม่รวมรายได้อื่น) เท่ากับ 2,339.78 ล้านบาท ลดลง 79.34 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม (ไม่รวมรายได้อื่น) 2,419.12 ล้านบาท
 
มีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่เท่ากับ 201.02 ล้านบาท ลดลง 214.50 ล้านบาท หรือลดลง 1,591% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 13.48 ล้านบาท
 
โดยรายได้ มาจาก รายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์ ประกอบด้วย รายได้จากการขายโฆษณาและโปรโมทในช่วงเวลาต่าง ๆของช่อง WORKPOINT และช่องทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการให้เช่าช่วงเวลาให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อออกอากาศรายการโทรทัศน์ในช่อง WORKPOINT
   
รายได้จากการรับจ้างผลิตรายการและ รายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการไปยังต่างประเทศโดยใน ปี 2567 บริษัทมีรายได้จากรายการโทรทัศน์รวมเท่ากับ 1,643.78 ล้านบาท ลดลง 252.45 ล้านบาทหรือลดลง 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จึงมีรายใต้จากรายการโทรทัศน์รวมเท่ากับ 1,896.24 ล้านบาท
 
ทั้งนี้การลดลงของรายได้จากธุรกิจรายการโทรทัศน์เป็นไปตามการลดลงของรายได้โฆษณาผ่านช่องทางโทรทัศน์และออนไลน์ เนื่องจากสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดีเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ในการขายโดยการเพิ่มสัดส่วนงานประเภทรายการรับจ้างผลิต รวมถึง การผลิตรายการตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (Tailor made) ส่งผลให้ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รับจ้างผลิตเพิ่มขึ้น
รายได้จากการรับจ้างจัดงาน ประกอบด้วย รายได้จากการจัดงาน Event ต่าง ๆ ทั้งที่ผลิตให้แก่บุคคลภายนอกและจัดขึ้นเองโดยบริษัท โดยในปี 2567 นั้น บริษัทมีรายได้จากการรับจ้างจัดงานทั้งสิ้น 282.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 78% จากช่วงเวลาเดียวกับของปี 25666 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ158.51 ล้านบาท
 
ทั้งนี้รายได้จากการจัดงาน Event ที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามทิศทางความต้องการของลูกค้าในการจัดงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนอกจากนี้ยังเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทในการขายงานประเภท Event ควบคู่สื่อรายการโทรทัศน์ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้า โดยในปี 2567 บริษัทมีงานที่สำคัญได้แก่ จีเจ มอร์ ไมค์ทองคำ ออนทัวร์ SS3 , Tiktok Awards Thailand 2024 และ งานกาชาด 2567 เป็นต้น
 
รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวที ประกอบด้วย รายได้จากการจัดคอนเสิร์ตและละครเวทีที่บริษัทจัดขึ้นเอง และรายได้จากผู้ให้การสนับสนุนสปอนเซอร์โรงละคร ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากคอนเสิร์ตและละครเวทีในปี 2567 เท่ากับ 323.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเวลาดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 291.44 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีการจัดคอนเสิร์ตและละครเวทีเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยงานสำคัญที่บริษัทได้จัดขึ้นในปี 2567 ได้เเก่ Mark Tuan : The Other Side Asia Tour 2024, นิทานหิ่งห้อย เคอะมิวสิคัล และ คอนเสิร์ตคุณพระช่วยสำแดงสด THAIHUB เป็นต้น
รายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่น ประกอบด้วยรายได้จากการบริหารพื้นที่โรงละครของบริษัท และรายได้จากการจัดหานักแสดงเป็นหลัก โดยในปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่นเท่ากับ 89.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.49 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีรายได้เท่ากับ 72.94 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นรายได้จากการจัดหานักแสดงของศิลปินในสังกัด
   
ในปี 2567 บริษัทมีต้นทุนผลิตทั้งสิ้น 1,952.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.43 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่มีต้นทุนผลิตเท่ากับ 1,781.61 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากธุรกิจรับจ้างจัดงาน และต้นทุนจากธุรกิจการจัดคอนเสิร์ตและละครเวที เนื่องจากในปี 2567 บริษัทมีการจัดคอนเสิร์ตละครเวทีเเละงาน Event เพิ่มขึ้น 

กำไรขั้นต้น ในปี 2567 บริษัทมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 387.75 ล้านบาท ลดลง 249.77 ล้านบาท หรือลดลง  39%
จากปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 637.52 ล้านบาท โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของกำไรขั้นต้นของธุรกิจรายการโทรทัศน์ และการลดลงของกำไรขั้นต้นของธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวทีเนื่องจากการจัดคอนเสิร์ตในปี 2567 มีการแข่งขันค่อนข้างสูง

ส่งผลให้งานคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศและงานเทศกาลดนตรีในประเทศ ที่บริษัทจัดไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ในปี 2568 บริษัทมีการปรับกลยุทธ์สำหรับธุรกิจคอนเสิร์ตโดยจะลดการจัดคอนเสิร์ตศิลปินต่างประเทศลงเพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขัน และสำหรับงานเทศกาลดนตรีในประเทศนั้น บริษัทมีแผนที่จะจัดทำร่วมกับพันธมิตรค่ายเพลงอื่นๆผ่านการลงทุนร่วมกัน
 
ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 703.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.16 ล้านบาท หรือ
เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จึงมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเท่ากับ 654.28 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายเท่ากับ 132.25 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 ซึ่งเท่ากับ 155.63 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของ ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ และ ค่าตอบแทนจากการขาย ซึ่งแปรผันตามรายได้ธุรกิจรายการโทรทัศน์ที่ลดลง
ขณะที่ปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหารเท่ากับ 571.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.54 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน
ซึ่งเท่ากับ 489.65 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายดังกล่าว มีสาหตุหลักมาจาก การตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน โดยเฉพาะสินทรัพย์ประเภทลิขสิทธิ์ละคร

อย่างไรก็ดีตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้น บริษัทมีแผนเลิกผลิตละครซึ่งจะส่งผลให้ค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ละครซึ่งบันทึกในต้นทุนและการตั้งด้อยค่าลิขสิทธิ์ละครลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้หากไม่รวมการตั้งด้อยค่าดังกล่าว ในปี 2567 บริษัทมีค่าใช้จ่ายบริหารเท่ากับ 457.39 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน เท่ากับ 477.23 ล้านบาท โดยการลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายสำนักงานและค่าสาธารณูปโกคที่ลดลงตามนโยบายการประหยัดค่าใช้จ่ายของบริษัท

นอกจากนี้ในปี 2567 บริษัทมีกำไร 17.80 ล้านบาท จากการที่บริษัทได้มาซึ่งอำนาจควบคุมในบริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด และ การซื้อสินทรัพย์จากการร่วมค้า จำนวน 8.83 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัทได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เอฟดับเบิ้ลยูอาร์ จำกัด 70%
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่