เป็นผู้ให้ มีความสุขกว่าเป็นผู้รับ

ฉันลืมตาตื่นขึ้นมา … มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่สว่าง แต่เสียงไก่ขันจากที่ไหนสักแห่งลอยมาจากไกล ๆ นั่นแสดงว่าใกล้ถึงเวลาเช้า

นอนนิ่ง ๆ ใต้ผ้าห่มนวมซึ่งอิ่มตัวด้วยไอร้อนของร่างกายที่ให้ความอุ่นสบายมาตลอดคืน ฉันยังไม่อยากยื่นส่วนใดของร่างกายออกไปสัมผัสอากาศเย็นนอกผ้านวม

เสียงนกกาเหว่า ที่เกาะอยู่ใกล้ต้นมะม่วง  ส่งออกมาเป็นจังหวะ รับด้วยเสียง จิ๊บ ๆ ของนกตัวเล็กตัวน้อยอีกหลายเสียง

โน่น… ได้ยินเสียงนกกระแต แต้แวด แต้แวด ดังโวยวายมาจากทุ่งนาฝั่งโน้น คงมีอะไรไปรบกวนรังของมัน

ฟ้าเริ่มสว่าง ที่นอกหน้าต่าง ฉันสามารถเห็นช่อดอกมะม่วง สีเขียวอ่อนมากมายคลุมรอบต้น ปีนี้มะม่วงออกดอกเยอะ อีกไม่นานน่าจะมีลูกมะม่วงเก็บแจกเพื่อนบ้านแน่นอน  

ปีที่แล้วมะม่วงที่บ้านฉันแทบไม่ออกดอกเลย บางคนบอกว่า ถ้าปลูกแบบธรรมชาติ ไม่ดูแลมากมาย มะม่วงจะออกลูก ปี เว้นปี ก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

นึกถึงมะม่วงที่แจกเพื่อนบ้านแล้ว อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข นึกถึงความรู้สึกขณะหิ้วถุงมะม่วงไปกดกริ่งแต่ละบ้าน เจ้าของบ้านส่งยิ้มทักทาย ยื่นมือออกมารับด้วยความยินดีพร้อมเสียงขอบคุณ …ฉันรู้สึกมีความสุขเหลือเกินที่ได้เป็นผู้ให้

ในทางกลับกัน เมื่อไหร่ที่ฉันเปลี่ยนสถานะเป็นผู้รับ ความรู้สึกเกรงใจ ไม่สบายใจ จะโผล่ออกมาเป็นอันดับแรก แม้จะรู้ดีว่าผู้ให้ ให้ด้วยความเต็มใจ แต่ฉันก็ยังปัดความรู้สึกเกรงใจออกไปไม่ได้…สักวันต้องหาอะไรไปตอบแทน

หรืออีกสถานะที่สร้างความรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก คือสถานะของความคาดหวัง แน่นอนว่า ต้องมีความผิดหวังตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้น ฉันถือคติว่า …ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง…

อากาศอุ่นขึ้นแล้ว ท้องฟ้าสว่าง แสงสีทองสาดส่อง ได้เวลาขยับร่างกายออกจากความอบอุ่นแล้วสินะ ออกไปปฏิบัติภารกิจประจำวันกัน

…มีความสุขกันทุกคนนะคะ…
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่