ประวัติสุนทรภู่ครั้งสุดท้ายของสมเด็จฯ

กระทู้สนทนา
ประวัติสุนทรภู่ครั้งสุดท้ายของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เมื่อกรมศิลปากรได้รับต้นฉับ "รำพันพิลาป" ในปี ๒๔๘๐ ได้คัดสำเนาถวายให้ทรงพิจารณา
ทรงถวายจดหมายเวรถึงสมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ว่า

สาส์นสมเด็จ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๘๐
https://vajirayana.org/สาส์นสมเด็จ-พุทธศักราช-๒๔๘๐/ธันวาคม/วันที่-๒-ธันวาคม-พศ-๒๔๘๐-ดร
 
เมื่อ ๒ สัปดาหะมานี้พระยาอนุมานฯ เขาคัดสำเนาเพลงยาว ​“รำพันพิลาป” ของสุนทรภู่ ที่เขาเพิ่งได้มาใหม่ส่งมา
ให้หม่อมฉันฉบับ ๑ เขาบอกว่าได้คัดส่งไปถวายท่านด้วยฉบับ ๑

เพลงยาวบทนี้สำนวนและกระบวนกลอนควรนับว่าอยู่ในชั้นดีของสุนทรภู่อีกเรื่อง ๑ ทั้งได้รู้เรื่องประวัติของแกชัดเจนกว่า
เมื่อหม่อมฉันแต่งประวัติสุนทรภู่บางข้อ คือ

พอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสวยราชย์ก็ถอดสุนทรภู่ในปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๘ นั่นเอง พอถูกถอดสุนทรภู่ก็บวช (คงเป็น
ด้วยกลัวจะติดคุก) บวชแล้วหนีไปเที่ยวเตร็ดเตร่ซ่อนตัวอยู่ทางเมืองเพชรบุรี เมืองกาญจนบุรี ไปจำพรรษาอยู่ตำบลสอง
พี่น้องแขวงเมืองสุพรรณ แล้วขึ้นไปเมืองพิษณุโลกเที่ยวหาแร่แปรธาตุอยู่กว่า ๕ ปี (ครั้นเห็นถ้อยความสงบเงียบ) จึงกลับ
ลงมาอยู่วัดราชบุรณะ

อยู่ได้ไม่ช้าก็ต้องถูกกำจัดจากวัดราชบุรณะ ครั้งนี้ขึ้นไปกรุงศรีอยุธยา (คราวแต่งนิราศภูเขาทอง) แล้วกลับลงมาอยู่วัดอรุณ
หน่อยหนึ่ง ผู้หญิงมีบรรดาศักดิ์คน ๑ ชวนให้ไปอยู่วัดเทพธิดาอยู่ได้ ๒ พรรษาก็เกิดความอะไรอีกต้องทิ้งวัดเทพธิดาไป
เมื่อปีขาล พ.ศ. ๒๓๗๘ เพลงยาวรำพันพิลาปแต่งพรรณนาตอนที่มาอยู่วัดเทพธิดานี้ เล่าส่อให้เห็นเหตุที่สุนทรภู่อยู่วัด
ไหนไม่ได้นาน

นอกจากที่กล่าวกันมาว่าเรื่องที่อดสุราไม่ได้ในเวลาแต่งกลอน ยังปรากฏในเพลงยาวบทนี้ว่าไปอยู่ไหนพวกเจ้าชู้ “นักเลง
เพลงยาว” มักไปมาหาสู่ทั้งผู้ชายผู้หญิง และบ่นในเพลงยาวว่าถูกพวกผู้หญิง​ชาววังหลอก

แกคงประพฤติเกี่ยวข้องกับการประโลมโลกทั้งเป็นพระจึงถูกไล่ทั้ง ๒ คราวจนลงปลายได้พึ่งพระองค์ลักษณา จึงอยู่ประจำ
ที่แล้วสึกออกเป็นคฤหัสถ์

ในเพลงยาวแกใช้นามแฝงหลายแห่งแต่พอทายได้
พระสิงหไตรภพ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระอภัยมณี เจ้าฟ้ากลาง ศรีสุวรรณ เจ้าฟ้าปิ๋ว นางเทพธิดาจะหมายว่ากรมหมื่นอัปสร
หรือใครอื่นสงสัยอยู่
----------
แก้คำผิดและความผิด 
(บทความที่อ้าง หาอ่านได้ในกระทู้ห้องประวัติศาสตร์ไทย)

ศักราชผิด
ปีวอก พ.ศ. ๒๓๗๘ ที่จริงเป็นปีมะเมีย ถ้าปีวอกต้องเป็น ๒๓๖๗ หรือ ๒๓๗๙
ปีขาล พ.ศ. ๒๓๗๘ น่าจะเป็น ๒๓๗๓ หรือ ๒๓๘๕
ในที่นี้ใช้ตามปีนักษัตรที่ทรงกำกับไว้

สาเหุตที่บวช
"พอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เสวยราชย์ก็ถอดสุนทรภู่ในปีวอก"
ได้วิเคราะห์แล้วในบทความ "การบวชของสุนทรภู่ไม่เกี่ยวกับรัชกาลที่สาม"
ขออธิบายเพิ่มว่า เมื่อสุนทรภู่ลาบวชในแผ่นดินรัชกาลที่สอง ไม่มีใครทราบล่วงหน้าว่าจะทรงประชวรกระทันหัน 
ตรัสไม่ได้ ไม่รู้สึกพระองค์และสวรรคตในไม่กี่วัน ดังนั้น สถานะจึงเป็นอาลักษณ์นอกราชการ ไม่ได้ถูกถอดแต่อย่างใด

ระยะเวลาการบวช
"บวชแล้วหนีไปเที่ยวเตร็ดเตร่ซ่อนตัวอยู่ทางเมืองเพชรบุรี เมืองกาญจนบุรี ...สองพี่น้อง...พิษณุโลก เที่ยวหาแร่แปรธาตุ
อยู่กว่า ๕ ปี จึงกลับลงมาอยู่วัดราชบุรณะ"
ไม่มีข้อมูลในกลอนที่จะนับเวลาได้ ๕ ปี (๒๓๖๗-๒๓๗๒) โดยทั่วไป นับกันได้ ๑๘ ปี (๒๓๖๗-๒๓๘๕) 
การออกหัวเมือง น่าจะเริ่มใน ๒๓๗๓ หลังสอนหนังสือเจ้าฟ้ากลาง เจ้าฟ้าปิ๋ว มีกล่าวถึงในเพลงยาวถวายโอวาท 
"ด้วยวันออกนอกพรรษาขอลาไป เหลืออาลัยทูลกระหม่อมให้ตรอมทรวง"
ส่วนเมืองเพชรนั้น ได้วิเคราะห์แล้วว่า "สุนทรภู่ไม่ได้แต่งนิราศเมืองเพชร" การนำเรื่องในนั้นมาใส่ในประวัติ จึงเกินจำเป็น

อคติ
"อยู่ได้ไม่ช้าก็ต้องถูกกำจัดจากวัดราชบุรณะ ครั้งนี้ขึ้นไปกรุงศรีอยุธยา (คราวแต่งนิราศภูเขาทอง)" 
สมเด็จฯ ดูเหมือนจะเลือกมองกวีในแง่ลบเท่านั้น ทรงใช้คำว่า "ถูกกำจัด" และเสริมด้วย "แกคงประพฤติเกี่ยวข้องกับการ
ประโลมโลกทั้งเป็นพระ" นี่เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงระดับปาราชิกทีเดียว 

ทรงมองข้ามว่าผู้ช่วยเหลือนั้น "แต่ละองค์ทรงพรตพระยศยิ่ง" กวีถึงกับอวยพรให้อายุยืนหมื่นปี คือมีสถานะเทียบเท่ากษัตริย์ 
เจ้านายระดับนี้จะลดองค์ลงมาคุ้มครองพระภิกษุทุศีลเจียวหรือ ยิ่งกว่านั้น ยังตีความว่าบุคคลในเพลงยาว ได้แก่
"พระสิงหไตรภพ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระอภัยมณี เจ้าฟ้ากลาง ศรีสุวรรณ เจ้าฟ้าปิ๋ว" ถ้าจริง ก็ล้วนเป็นเจ้าฟ้าชั้นหนึ่ง มีศักดิ์
สูงยิ่ง ล้วนมารับใช้กวีเลวร้ายดังทรงกล่าวหาได้ละหรือ

กวียังบอกว่าที่วัดราชบูรณะ "สามฤดูอยู่ดี ไม่มีภัย" ท่านจันทร์ตีความว่า คือ ๑ ปี (มีสามฤดู) สาเหตุที่ออกมา "เพราะขุกเข็ญ
คนพาลมารานทาง จะยกหยิบธิบดีเป็นที่ตั้ง ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง" สังเกตจากน้ำหนักในถ้อยคำ วิจารณ์การตั้งตำแหน่ง
สงฆ์อย่างเผ็ดร้อน แสดงว่ามิได้เกรงอำนาจผู้ใด ส่อว่ามีอำนาจไม่น้อย

ความสัมพันธ์กับพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ
"ถูกไล่ทั้ง ๒ คราวจนลงปลายได้พึ่งพระองค์ลักษณา จึงอยู่ประจำที่แล้วสึกออกเป็นคฤหัสถ์"
ความตรงนี้ดูเหมือนจะทรงเข้าใจว่า สุนทรภู่บวชแล้วออกตระเวณหัวเมืองกว่า ๕ ปี แล้วมาอยู่วัดราชบูรณะ ถูกไล่จึงไปอยุธยา 
แต่งนิราศภูเขาทอง แล้วได้มาอยู่วัดเทพธิดาก็ถูกไล่อีก จึงไปพึ่งพระองค์เจ้าลักขณาฯ จนสึก

ความเข้าใจนี้มีมาจากความเชื่อว่าพระองค์เจ้าลักขณาฯ ทรงอุปถัมภ์สุนทรภู่และทรงเข้าใจผิดว่านิราศนี้กินเวลาเพียง ๕ ปี หรือ
มากกว่านั้นเล็กน้อย จึงกำหนดให้ปีสุดท้ายในนิราศคือปีขาล ๒๓๗๘ เมื่อใช้ศักราชนี้ ลำดับเรื่องย่อมผิดไปด้วย พระองค์เจ้า
ลักขณาฯ ผนวชปี ๒๓๗๗ สิ้นพระชนม์ ๒๓๗๘ เวลานั้น สุนทรภู่น่าจะอยู่ที่เขากาเพน หรือเมืองสุพรรณก่อนไปที่พิศิโลก หมาย
ความว่าอยู่ห่างจากพระองค์เจ้าฯ หลายร้อยกิโล เป็นไปไม่ได้ที่จะไปพึ่ง
(จะอธิบายวันเวลาในรำพันพิลาปในกระทู้ใหม่ ต่อไปข้างหน้า)

อยู่วัดใหนไม่ได้นาน
"รำพันพิลาป..เล่าส่อให้เห็นเหตุที่สุนทรภู่อยู่วัดไหนไม่ได้นาน"
คำกลอนกล่าวถึงถึง ๒ วัด วัดราชบูรณะมีปัญหากับเจ้าถิ่น วัดที่สอง (วัดเทพธิดาราม) เกิดจากนิมิตรปลวกขึ้นที่นอน เป็นลางร้าย
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ทั้งไม่ได้เป็นเรื่องมัวหมองอย่างที่โดนกล่าวหาว่า "เกี่ยวข้องกับการประโลมโลกทั้งเป็นพระ"

สรุปว่าสุนทรภู่ถูกให้ร้ายมา ๑๐๐ ปีเศษ
ข้อเขียนนี้จะช่วยชำระความได้หรือไม่ วิญญชนพึงพิจารณา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่