"บุคคลชั้นต่ำเช่นสุนทรภู่"
สุนทรภู่ได้รับยกย่องในหลายสถานะ แต่ที่ถูกดูหมิ่นก็ไม่น้อย เช่นขี้เมา เจ้าชู้ ทุบตีญาติผู้ใหญ่ โจทเจ้า
แต่ที่เหยียดถึงที่สุดคงจะเป็นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกกวีเอกว่า "บุคคลชั้นต่ำ"
"ฝ่ายบุคคลชั้นต่ำเช่นสุนทรภู่ ได้ศึกษาเพียงแต่หัดอ่านและเขียนหนังสือ ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนตำรับตำราอันใด"
ข้อความนี้อุดมไปด้วยอคติ แม้พระนิพนธ์ประวัติสุนทรภู่ของพระองค์จะเป็นแหล่งอ้างอิงหลักในเรื่องนี้
แต่เมื่อสอบลึกลงไป พบว่ามีข้อผิดพลาดมากมายนับร้อยแห่ง ในแง่ประวัติศาสตร์นิพนธ์ เป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือต่ำมาก
เริ่มตั้งแต่ดวงชะตากวี ที่ถูกกำกับว่า “สุนทรภู่อาลักษณ์ขี้เมา” กลายเป็นตราบาปประจำชีวิต ดวงนี้ไมมีที่มา
ทรงบอกเพียงว่า "มีผู้รู้ตำราโหราศาสตร์ ได้ผูกดวงชาตาของสุนทรภู่ไว้"
ตั้งแต่ดวงชะตานี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ๒๔๖๕ ก็ไม่มีผู้ใดพบเจออีกเลย ส.พลายน้อยเคยบอกเป็นการส่วนตัวว่า
"หามานัก ไม่เคยเจอ" วันนั้น คุณลุงจุล ดรุณวิจิตรเกษมก็นั่งอยู่ด้วย
ข้อบกพร่องที่พบมีมากน้อยแตกต่างกันไป ร้ายแรงที่สุดคือกรณีเมืองแกลงกลายเป็นเมืองสุนทรถู่
ทั้งๆที่นิราศเมืองแกลง ไม่ใช่ผลงานของสุนทรภู่ เป็นของข้าราชการกรมท่า? ท่านหนึ่ง อาจแต่งให้โรงพิมพ์ครูสมิท
พิมพ์ขายในปี ๒๔๑๗ (ปีพิมพ์ครั้งแรก) เสียด้วยซ้ำ
นิราศเพชรบุรี เป็นอีกเรื่องที่สร้างความเข้าใจผิด อาจารย์ล้อม เพ็งแก้วถึงกับเชื่อว่าบรรพบุรุษของสุนทรภู่
เป็นตระกูลพราหมณ์เมิองเพชรบุรี นิราศนี้ก็ไม่ใช่ผลงานของสุนทรภู่ เป็นผลงานของกวีฆราวาสชาวเพชรบุรีที่จากบ้าน
มาอยู่บางกอกเมื่อปี ๒๓๖๘ แต่มาแต่งนิราศนี้ราวปี ๒๓๗๐ ส่วนท่านสุนทรภู่ขณะนั้นบวชอยู่ กำลังจะได้เป็นครู
สอนเจ้าฟ้ากลาง เจ้าฟ้าปิ๋ว (ในปี ๒๓๗๒)
สำหรับนิราศพระบาท เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ทรงขาดสำนึกในราชประเพณี เพราะนำคำว่า "พระกลศหักทองขวาง"
ไปใช้กับเจ้านายระดับพระองค์เจ้า(วาสุกรี) แล้วยังไม่ได้สังเกตการตกแต่งพระมณฑป ว่าเป็นสภาพในรัชกาลที่สาม
(ผนังในทาทองและพื้นปูแผ่นเงิน)
มีความผิดพลาดด้านข้อมูลอย่างละเล็กละน้อยในพระนิพนธ์มากมาย เช่น
ทรงอ้างว่าสุนทรภู่ไปอยู่วัดเทพธิดารามในปี ๒๓๗๙ (สาส์นสมเด็จ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๘๐ ) ปีนั้นวัดยังสร้างไม่เสร็จ
ยังทรงเชื่อว่าสุนทรภู่แต่งโคลงมิราศสุพรรณโดยออกเรือจากที่นี่ แต่คำกลอนบอกว่า มาจากที่แห่งหนึ่งแล้วเลี้ยว
เข้าคลองลัดวัดสระเกษ ผ่านป่าช้าวัดที่ไว้ศพมารดา แล้วจึงออกคลองโอ่งอ่าง เส้นทางนี้ไม่ผ่านวัดเทพธิดารามเลย
ยังมีเรื่อง "โจทเจ้า" ซึ่งหมายความว่าเป็นคนไม่ซื่อ ฝักใฝ่เจ้านายหลายองค์ กลายเป็นว่า กวีเอกไปพึ่งวังหลัง
พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระปิ่นเกล้าฯ และพระจอมเกล้าฯ
มากถึง ๗ พระองค์ นับว่ายากจะเชื่อ ยิ่งกว่านั้นทรงกล่าวว่า เจ้าฟ้ากุณฑลฯ ถึงกับรังเกียจจนไม่เกื้อหนุนอีกต่อไป
แต่บทกวีของท่านและทายาท กลับชี้ไปในทางตรงข้าม
เรื่องชนชั้น ทรงวิจารณ์ว่าสุนทรภู่เป็นชนชั้นต่ำ ไมได้เล่าเรียน วินิจฉัยนี้ขัดกับประวัติศาสตร์ไทยอย่างเหลือเชื่อ
กรมอาลักษณ์ ที่สุนทรภู่สังกัดอยู่ เป็นหน่วยงานสำคัญที่สุดในระบบศักดินา เปรียบเป็นปากเสียงของพระเจ้าแผ่นดิน
ผ่านพระบรมราชโองการต่างๆ ประกาศ กฏหมาย เช่น กฎหมายตราสามดวงทั้งชุด ล้วนมาจากกรมนี้ บุคคลากรจากที่นี่
จะ "ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนตำรับตำราอันใด" เห็นว่าเป็นไปไม่ได้
ผู้ศึกษาเรื่องสุนทรภู่ แม้แต่เพื่อจะคัดค้านพระองค์ หากอ้างอิงพระนิพนธ์แล้ว ก็มักจะเข้ารกเข้าพงหาทางออกไม่เจอ
ไม่เว้นแม้แตอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ สุจิตต์ วงษ์เทศ และสมาชิกสำนักประชาชื่นทั้งหลาย
จึงแจ้งมาให้ทราบทั่วกัน
บุคคลชั้นต่ำเช่นสุนทรภู่
สุนทรภู่ได้รับยกย่องในหลายสถานะ แต่ที่ถูกดูหมิ่นก็ไม่น้อย เช่นขี้เมา เจ้าชู้ ทุบตีญาติผู้ใหญ่ โจทเจ้า
แต่ที่เหยียดถึงที่สุดคงจะเป็นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกกวีเอกว่า "บุคคลชั้นต่ำ"
"ฝ่ายบุคคลชั้นต่ำเช่นสุนทรภู่ ได้ศึกษาเพียงแต่หัดอ่านและเขียนหนังสือ ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนตำรับตำราอันใด"
ข้อความนี้อุดมไปด้วยอคติ แม้พระนิพนธ์ประวัติสุนทรภู่ของพระองค์จะเป็นแหล่งอ้างอิงหลักในเรื่องนี้
แต่เมื่อสอบลึกลงไป พบว่ามีข้อผิดพลาดมากมายนับร้อยแห่ง ในแง่ประวัติศาสตร์นิพนธ์ เป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือต่ำมาก
เริ่มตั้งแต่ดวงชะตากวี ที่ถูกกำกับว่า “สุนทรภู่อาลักษณ์ขี้เมา” กลายเป็นตราบาปประจำชีวิต ดวงนี้ไมมีที่มา
ทรงบอกเพียงว่า "มีผู้รู้ตำราโหราศาสตร์ ได้ผูกดวงชาตาของสุนทรภู่ไว้"
ตั้งแต่ดวงชะตานี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี ๒๔๖๕ ก็ไม่มีผู้ใดพบเจออีกเลย ส.พลายน้อยเคยบอกเป็นการส่วนตัวว่า
"หามานัก ไม่เคยเจอ" วันนั้น คุณลุงจุล ดรุณวิจิตรเกษมก็นั่งอยู่ด้วย
ข้อบกพร่องที่พบมีมากน้อยแตกต่างกันไป ร้ายแรงที่สุดคือกรณีเมืองแกลงกลายเป็นเมืองสุนทรถู่
ทั้งๆที่นิราศเมืองแกลง ไม่ใช่ผลงานของสุนทรภู่ เป็นของข้าราชการกรมท่า? ท่านหนึ่ง อาจแต่งให้โรงพิมพ์ครูสมิท
พิมพ์ขายในปี ๒๔๑๗ (ปีพิมพ์ครั้งแรก) เสียด้วยซ้ำ
นิราศเพชรบุรี เป็นอีกเรื่องที่สร้างความเข้าใจผิด อาจารย์ล้อม เพ็งแก้วถึงกับเชื่อว่าบรรพบุรุษของสุนทรภู่
เป็นตระกูลพราหมณ์เมิองเพชรบุรี นิราศนี้ก็ไม่ใช่ผลงานของสุนทรภู่ เป็นผลงานของกวีฆราวาสชาวเพชรบุรีที่จากบ้าน
มาอยู่บางกอกเมื่อปี ๒๓๖๘ แต่มาแต่งนิราศนี้ราวปี ๒๓๗๐ ส่วนท่านสุนทรภู่ขณะนั้นบวชอยู่ กำลังจะได้เป็นครู
สอนเจ้าฟ้ากลาง เจ้าฟ้าปิ๋ว (ในปี ๒๓๗๒)
สำหรับนิราศพระบาท เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ทรงขาดสำนึกในราชประเพณี เพราะนำคำว่า "พระกลศหักทองขวาง"
ไปใช้กับเจ้านายระดับพระองค์เจ้า(วาสุกรี) แล้วยังไม่ได้สังเกตการตกแต่งพระมณฑป ว่าเป็นสภาพในรัชกาลที่สาม
(ผนังในทาทองและพื้นปูแผ่นเงิน)
มีความผิดพลาดด้านข้อมูลอย่างละเล็กละน้อยในพระนิพนธ์มากมาย เช่น
ทรงอ้างว่าสุนทรภู่ไปอยู่วัดเทพธิดารามในปี ๒๓๗๙ (สาส์นสมเด็จ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๘๐ ) ปีนั้นวัดยังสร้างไม่เสร็จ
ยังทรงเชื่อว่าสุนทรภู่แต่งโคลงมิราศสุพรรณโดยออกเรือจากที่นี่ แต่คำกลอนบอกว่า มาจากที่แห่งหนึ่งแล้วเลี้ยว
เข้าคลองลัดวัดสระเกษ ผ่านป่าช้าวัดที่ไว้ศพมารดา แล้วจึงออกคลองโอ่งอ่าง เส้นทางนี้ไม่ผ่านวัดเทพธิดารามเลย
ยังมีเรื่อง "โจทเจ้า" ซึ่งหมายความว่าเป็นคนไม่ซื่อ ฝักใฝ่เจ้านายหลายองค์ กลายเป็นว่า กวีเอกไปพึ่งวังหลัง
พระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระปิ่นเกล้าฯ และพระจอมเกล้าฯ
มากถึง ๗ พระองค์ นับว่ายากจะเชื่อ ยิ่งกว่านั้นทรงกล่าวว่า เจ้าฟ้ากุณฑลฯ ถึงกับรังเกียจจนไม่เกื้อหนุนอีกต่อไป
แต่บทกวีของท่านและทายาท กลับชี้ไปในทางตรงข้าม
เรื่องชนชั้น ทรงวิจารณ์ว่าสุนทรภู่เป็นชนชั้นต่ำ ไมได้เล่าเรียน วินิจฉัยนี้ขัดกับประวัติศาสตร์ไทยอย่างเหลือเชื่อ
กรมอาลักษณ์ ที่สุนทรภู่สังกัดอยู่ เป็นหน่วยงานสำคัญที่สุดในระบบศักดินา เปรียบเป็นปากเสียงของพระเจ้าแผ่นดิน
ผ่านพระบรมราชโองการต่างๆ ประกาศ กฏหมาย เช่น กฎหมายตราสามดวงทั้งชุด ล้วนมาจากกรมนี้ บุคคลากรจากที่นี่
จะ "ไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนตำรับตำราอันใด" เห็นว่าเป็นไปไม่ได้
ผู้ศึกษาเรื่องสุนทรภู่ แม้แต่เพื่อจะคัดค้านพระองค์ หากอ้างอิงพระนิพนธ์แล้ว ก็มักจะเข้ารกเข้าพงหาทางออกไม่เจอ
ไม่เว้นแม้แตอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ สุจิตต์ วงษ์เทศ และสมาชิกสำนักประชาชื่นทั้งหลาย
จึงแจ้งมาให้ทราบทั่วกัน