คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 85
อิทัปปัจจยตา
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เมื่อสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป
ความหมายของ อนัตตา
เพราะความเกิดมี ความไม่เที่ยงจึงมี
เพราะความไม่เที่ยงมี ความทุกข์จึงมี
เพราะความทุกข์มี ความไม่มีตัวตนจึงมี
เพราะเกิดปรากฏมี อนิจจังจึงมี
เพราะอนิจจังมี ทุกขังจึงมี
เพราะทุกขังมี อนัตตาจึงมี
นี่คือความหมายของ อนัตตา
ดังนั้น พระนิพพาน จึงไม่ใช่ อนัตตา เพราะ พระนิพพาน
เพราะเกิดไม่มี ความไม่เที่ยงจึงไม่มี
เพราะไม่เที่ยงไม่มี ความทุกข์จึงไม่มี
เพราะทุกข์ไม่มี ความไม่มีตัวตนจึงไม่มี
เพราะเกิดไม่ปรากฏ อนิจจังจึงไม่มี
เพราะอนิจจังไม่มี ทุกขังจึงไม่มี
เพราะทุกขังไม่มี อนัตตาจึงไม่มี
นี่คือความหมายของ พระนิพพาน ดังนั้น พระนิพพาน จึงไม่ใช่ อนัตตา
พระองค์ไม่ได้สอนให้เราทิ้ง อนัตตา เพื่อไปหา อนัตตา
แต่พระองค์สอนให้เรา ทิ้ง อนัตตา เพื่อไปหา ธรรมจริงแท้ ที่ไม่เกิด ไม่เสื่อม ไม่ตาย ไม่ทุกข์ นั้นคือ พระนิพพาน
[๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนบางคนในโลกนี้ โดยตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา
ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มี-
*ชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่
หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมี
พยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ
โดยตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน
ที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามีได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา
ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา
ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้แล คือการแสวงหาที่ประเสริฐ.
-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อที่ ๓๑๕
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เมื่อสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป
ความหมายของ อนัตตา
เพราะความเกิดมี ความไม่เที่ยงจึงมี
เพราะความไม่เที่ยงมี ความทุกข์จึงมี
เพราะความทุกข์มี ความไม่มีตัวตนจึงมี
เพราะเกิดปรากฏมี อนิจจังจึงมี
เพราะอนิจจังมี ทุกขังจึงมี
เพราะทุกขังมี อนัตตาจึงมี
นี่คือความหมายของ อนัตตา
ดังนั้น พระนิพพาน จึงไม่ใช่ อนัตตา เพราะ พระนิพพาน
เพราะเกิดไม่มี ความไม่เที่ยงจึงไม่มี
เพราะไม่เที่ยงไม่มี ความทุกข์จึงไม่มี
เพราะทุกข์ไม่มี ความไม่มีตัวตนจึงไม่มี
เพราะเกิดไม่ปรากฏ อนิจจังจึงไม่มี
เพราะอนิจจังไม่มี ทุกขังจึงไม่มี
เพราะทุกขังไม่มี อนัตตาจึงไม่มี
นี่คือความหมายของ พระนิพพาน ดังนั้น พระนิพพาน จึงไม่ใช่ อนัตตา
พระองค์ไม่ได้สอนให้เราทิ้ง อนัตตา เพื่อไปหา อนัตตา
แต่พระองค์สอนให้เรา ทิ้ง อนัตตา เพื่อไปหา ธรรมจริงแท้ ที่ไม่เกิด ไม่เสื่อม ไม่ตาย ไม่ทุกข์ นั้นคือ พระนิพพาน
[๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาที่ประเสริฐเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คนบางคนในโลกนี้ โดยตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา
ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มี-
*ชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่แก่
หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีพยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมี
พยาธิเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ
โดยตนเองเป็นผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหาพระนิพพาน
ที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามีได้ เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีโศกเป็นธรรมดา
ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา ย่อมแสวงหานิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
เกษมจากโยคะ โดยตนเองเป็นผู้มีสังกิเลสเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา
ย่อมแสวงหาพระนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้แล คือการแสวงหาที่ประเสริฐ.
-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อที่ ๓๑๕
แสดงความคิดเห็น
พระนิพพาน เกิดไม่ปรากฏฯ เป็นธรรมจริงแท้ จะเป็นอนัตตาไปได้ยังไงครับ
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
-พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๗ ข้อที่ ๙๑
การเห็นว่าอัตตามีก็ผิด การเห็นว่าอัตตาไม่มีก็ผิด งั้นก็แสดงว่ามันทั้ง มี และ ไม่มี รวมๆก็คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สรุปทั้งหมดเป็น อนัตตา
พระองค์ตรัสเป็นเหตุเป็นผลว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน. พระองค์ทรงไล่บอกเหตุและผล เป็น อิทัปปัจจยตา เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีฯ คำว่า อนัตตา คือ สถาวะที่แปรปรวน ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ต้องแตกสลายไป
เมื่อเรียงตามที่พระองค์ตรัสก็คือ สิ่งใดที่มีสภาวะที่แปรปรวน(อนิจจัง) สิ่งนั้นทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้แตกสลายไป(ทุกขัง) สิ่งใดทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้แตกสลายไป(ทุกขัง) สิ่งนั้นเป็น อนัตตา(ไม่มีตัวตน) สรุป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือความหมายที่แท้จริงของ อนัตตา
ส่วนพระนิพพาน เกิดไม่ปรากฏ เสื่อมไม่ปรากฏ เมื่อตั้งอยู่แปรไม่ปรากฏ เมื่อพระนิพพานเกิดไม่ปรากฏฯ จึงไม่ใช่ทั้งอัตตาและอนัตตา
พระนิพพาน เกิดไม่ปรากฏฯ เป็นธรรมจริงแท้ จะเป็นอนัตตาไปได้ยังไงครับ
แต่เมื่อรู้ พระนิพพานโดยความเป็นพระนิพพานแล้ว พระองค์ก็ตรัสอีกว่า...
ภิกษุ ท. ! ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ต้องทำสำเร็จแล้ว มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์ของตนอันตามถึงแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นไปรอบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้นย่อมรู้ ยิ่งซึ่งนิพพานโดยความเป็นนิพพาน ครั้นรู้ยิ่ง (อภิญญา) ซึ่งนิพพานโดยความ เป็นนิพพานแล้ว
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ซึ่งนิพพาน (นิพฺพานํ น มญฺญติ)
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ในนิพพาน (นิพฺพานสฺมึ น มญฺญติ)
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย โดยความเป็นนิพพาน (นิพฺพานโต น มญฺญติ)
ย่อม ไม่สำคัญมั่นหมาย ว่านิพพานของเรา (นิพฺพานมฺเมติ น มญฺญติ)
ย่อม ไม่เพลินอย่างยิ่งซึ่ง นิพพาน (นิพฺพานํ นาภินนฺทติ)
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเรากล่าวว่า เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เธอนั้น กำหนดรู้รอบ (ปริญฺญาต) แล้ว
(ภาษาไทย) - มู. ม. ๑๒/๖/๔.
เชิญผู้รู้สนทนาธรรม ขอกราบสาธุครับ