วันนี้ขอ "อีก หนึ่งวัน มองข้ามความอวบไปก่อน + นิทานเรื่อง การผจญภัยของลิลลี่ กับบราวนี่ที่หายไปในป่ามหัศจรรย์

วันบราวนี่แห่งชาติ  8 ธันวาคม National Brownie Day

วันที่ 8 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันสำหรับผู้ที่ชื่นชอบบราวนี่
ถือเป็นโอกาส ที่จะได้ทั้งความอร่อยและความสุขจากบราวนี่ที่เหนียวหนึบและเข้มข้น
ทั้งเนื้อสัมผัสแบบ บราวนี่ฟัดจ์ แบบบราวนี่กรอบ แบบเนื้อเค้ก แบบชิววี่บราวนี่
ไม่ว่าจะเป็นบราวนี่ช็อกโกแลตหรือบลอนดี้ และไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม
บราวนี่จะทำให้คุณดื่มด่ำกับความอร่อยและปล่อยให้โลกแห่งความจริงละลายหายไปชั่วขณะ
"ใช่แล้วมันเป็นแบบนั้นสำหรับใครหลายคน"

.
ตำนานเล่าว่า บราวนี่ได้รับการคิดค้นขึ้นที่โรงแรม Palmer House ในปี ค.ศ. 1893 เบอร์ธา พาล์มเมอร์ (Bertha Palmer) ซึ่งเป็นสตรีชั้นสูงในชิคาโกและสามีเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ ได้ขอให้เชฟทำขนมหวานที่เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เข้าร่วมงาน Chicago World’s Columbian Exposition เธอต้องการขนมชิ้นเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนเค้กและสามารถใส่ในกล่องอาหารกลางวันได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือบราวนี่ Palmer House ที่มีวอลนัทและเคลือบด้วยแอปริคอต ซึ่งโรงแรม Palmer House ยังคงเสิร์ฟขนมหวานสูตรนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน

.
มีตำนานเล็กๆ อีกอย่างเล่าว่า บราวนี่ถือกำเนิดขึ้นเพราะแม่ครัวที่ชื่อ "บราวนี่" ลืมใส่ผงฟูลงในเค้ก ขนมจงไม่ขึ้นฟู และกลายเป็นบราวนี่จนถึงทุกวันนี้ อยู่ด้วย! (*ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นจริง)

.
ชื่อนี้ถูกตั้งให้กับขนมหวานนี้ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1893 แต่หนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับการทำอาหารยังไม่ได้ใช้ชื่อนี้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1907 บราวนี่ได้รับการยอมรับ และปรากฏในหนังสือ "Lowney’s Cook Book" โดย Maria Willet Howard ซึ่งเป็นการดัดแปลงสูตร "Bangor Brownie" ของ Boston Cooking School โดยเพิ่มไข่และช็อกโกแลตอีกชิ้น ทำให้ขนมหวานมีรสชาติเข้มข้นขึ้น

.
ชื่อ "Bangor Brownie" มาจากเมือง Bangor ในรัฐ Maine ซึ่งตำนานกล่าวว่าเป็นบ้านเกิดของแม่บ้านที่คิดค้นสูตรบราวนี่สูตรดั้งเดิม Mildred Brown Schrumpf นักการศึกษาด้านอาหารและนักเขียนคอลัมน์ของรัฐ Maine เป็นผู้สนับสนุนหลักของทฤษฎีที่ว่าบราวนี่ถูกคิดค้นขึ้นในเมือง Bangor แม้ว่าหนังสือ "The Oxford Companion to American Food and Drink" จะหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ แต่ "The Oxford Encyclopedia of Food and Drink in America" กลับพบหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ในรูปแบบของหนังสือสอนทำอาหารหลายเล่มจากปี 1904 ที่มีสูตรทำ "บราวนี่เมือง Bangor" รวมอยู่ด้วย

.
บราวนี่ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของช็อกโกแลต, เนย, น้ำตาล, ไข่ไก่ และแป้งสาลีอเนกประสงค์ ซึ่งวัตถุดิบล้วนแล้วแต่เป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ และเนยถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญ

.
เนยจากยุคโบราณสู่ปัจจุบัน..
เนย หรือ Butter เป็นหนึ่งในอาหารที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จักและใช้ในการปรุงอาหาร ตลอดประวัติศาสตร์ยาวนาน เนยมีบทบาทสำคัญทั้งในวัฒนธรรมการบริโภคอาหารและการใช้งานในทางการแพทย์

การทำเนยอาจมีขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ การพบร่องรอยของการทำเนยในเครื่องปั้นดินเผาที่อยู่ในสถานที่ขุดค้นทางโบราณคดีต่างๆ เช่น ในตะวันออกกลางและยุโรป นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการทำเนยเริ่มขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการเลี้ยงสัตว์นมอย่างแกะและวัว

ใน ยุคโรมันโบราณ เนยไม่ใช่อาหารที่ใช้บริโภคทั่วไปในหมู่ชาวโรมัน แต่จะใช้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และเครื่องสำอางมากกว่า ซึ่งในยุคโรมันใช้เนยในการรักษาบาดแผลและผิวแห้ง นอกจากนี้ยังมีการบันทึกว่าเนยถูกใช้ในการปรุงอาหารบางเมนูของชาวโรมันเช่นกัน



การผจญภัยของลิลลี่ กับบราวนี่ที่หายไปในป่ามหัศจรรย์

กาลครั้งหนึ่ง ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชื่อว่า "เซนต์มีอา" เด็กหญิงน้อย ที่น่ารักคนหนึ่ง ในตาสีฟ้า ผมยาว ชื่อว่า "ลิลลี่" เด็กน้อยกำลังยุ่งอยู่ในครัว เพื่อช่วยแม่ทำขนมที่เธอชอบที่สุดอยู่ นั่นก็คือ "บราวนี่ช็อกโกแลต" ที่หอมหวาน เหนียวหนึบ และในทุกวันเสาร์ ลิลลี่กับแม่จะทำบราวนี่ด้วยกัน และแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ในหมู่บ้านเสมอ

วันหนึ่ง ขณะที่ลิลลี่กับแม่ทำบราวนี่ตามปกติ เมื่อทำเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ได้ออกไปข้างนอกหัองครัว เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ลิลลี่ได้เดินเข้าห้องครัวเพื่อจะหยิบบราวนี่ที่ทำไว้ไปแจกเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน แต่แล้วบราวนี่ที่ทำไว้กับแม่นั้นได้หายไป

ลิลลี่ได้มองไปรอบๆ ห้องครัวเพื่อหาบราวนี่ แต่หายังไงก็ไม่เจอ แต่กับพบรอยเท้าที่มีลักษณะปลายเท้าแหลม และร่องรอยนี้ดูเหมือนจะมาทางหน้าต่าง ทิศทางเดียวกับป่ามหัศจรรย์

ลิลลี่รีบออกจากห้องครัวและตามหาคุณแม่ แต่คุณแม่ได้ออกไปข้างนอกบ้านแล้ว ลิลลี่ได้รวบรวมความกล้า และตัดสินใจออกตามหาบราวนี่ที่หายไป โดยอุ้มแมวเพื่อนรู้ใจที่ชื่อ "วิสเกอร์" ร่วมเดินทางไปด้วย

การผจญภัยในป่ามหัศจรรย์..
ลิลลี่ และวิสเกอร์เดินทางเข้าสู่ป่ามหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยพืช และสัตว์ที่มีความมหัศจรรย์ ถึงแม้ว่าลิลลี่จะเข้ามาที่ป่าแห่งนี้อยู่บ่อยครั้งแล้วก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เข้ามาก็จะพบกับความตื่นเต้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ยูนิคอร์นสายรุ้ง (Rainbow Unicorn) ที่จะกล่าวทักทายลิลลี่เสมอ หมีน้ำผึ้ง (Honey Bear) ที่เมื่อเจอกับลิลลี่ ก็จะหยิบน้ำผึ้งหวานแสนอร่อย ที่อยู่ตรงกระเป๋าหน้าท้อง ห่อไว้ด้วยกลีบของดอกกุหลาบ (Rose) ขนาดใหญ่  มอบให้ลิลลี่

และทุกครั้งที่ได้รับมา ลิลลี่ก็จะกล่าวขอบคุณพร้อมด้วยรอยยิ้มทุกครั้งเสมอ 

ระหว่างทางที่กำลังเดินอยู่ในป่ามหัศจรรย์ พวกเขาพบกับนกพูดได้ชื่อว่า "แซม"

แซมได้ถามกับลิลลี่ว่า พวกเจ้าจะไปไหนกัน

ลิลลี่ได้ตอบว่า บราวนี่ของฉันหาย ฉันพบร่องรอยที่เป็นรอยเท้าที่มีปลายทางแหลม และทิศทางของรอยเท้านั้นดุเหมือนจะกำลังเข้ามาในป่ามมหัศจรรย์แห่งนี้อยู่

แซมได้คิดอยู่ครู่นึ่ง..จึงนึกขึ้นมาได้ว่า คริสต์ (นกยูงสีทอง) ที่บินมาทักทายเมื่อครู่นี้ ได้เล่าว่า เห็น "พ่อมดปีเตอร์" ถือถาดใส่บราวนี่ เดินผ่านป่าไปทางทิศตะวันตก

ลิลลี่และวิสเกอร์ ได้ฟังแล้วจึงรีบขอบคุณแซม พร้อมรีบเดินไปยังทิศตะวันตกของป่า

การเผชิญหน้ากับพ่อมดปีเตอร์..
ลิลลี่ และวิสเกอร์ ได้เดินลึกเข้าไปในป่า ระหว่างทาง ได้เห็น ดอกลูเวนเดอร์ (Lavender) ที่มีรสชาติเหมือนน้ำผึ้ง..นั่นก็เพราะว่า น้ำผึ้งจากคุณหมีน้ำผึ้ง นั้นมาจากดอกไม้ชนิดนี้ และยังได้เจอกับดอกโรสแมรี่ (Rosemary) รวมทั้งม้าลายสีรุ้ง (Rainbow Zebra) ที่กำลังดูดน้ำหวานจากดอกอัญชัน (Blue Butterfly Pea)

เมื่อเดินมาได้สักพัก ก็พบกับกระท่อมที่มีควัญลอยออกมาจากปล่องควัญอยู่

ลิลลี่ และวิสเกอร์ รีบเดินไปเคาะประตู จากนั้น ประตูได้เปิดออก ลิลลี่ได้พบกับพ่อมดปีเตอร์อยู่ในชุดคลุมกันเปื้อน กำลังทำขนมดอยู่

ลิลลี่ได้กล่าวทักทาย..
"สวัสดีค่ะ คุณอาพ่อมดปีเตอร์"

พ่อมดปีเตอร์ได้กล่าวตอบทักทายกลับพร้อมน้ำเสียงตะกุตะกะ
"สวัสดีเด็กน้อย"

พ่อมดได้พูดต่อว่า
"ฉันเสียใจ และต้องขอโทษจริงๆ ที่หยิบบราวนี่ออกมาจากบ้านของเธอ"
"ฉันไม่สามารถทนห้ามใจถึงกลิ่นที่หอม และรสชาติแสนอร่อยขณะครั้งนั้นที่ฉันเคยกินได้"

พ่อมดยังพูดต่อไปอีกว่า
"ฉันรู้ว่าการขโมยนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี และไม่ควรทำเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังทำ เพียงเพราะว่า ฉันอยากได้บราวนี่มา เพื่อมาทดลองทำตามให้ได้รสชาติออกมาเหมือนกัน"

จากนั้น ลิลลี่ จึงได้นึกขึ้นมาได้ จากที่คุณแม่เคยสอนไว้ "การขโมยของคนอื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี หากเราอยากได้อะไร เราควรหามันด้วยตัวเอง หากเราอยากเรียนรู้สิ่งไหน เราก็เพียงแค่หาครูผู้ที่สามารถสอนเราได้ และขอเรียนรู้จากเขา"

เมื่อลิลลี่นึกเรื่องที่แม่เคยสอนได้ จึงได้กล่าวกับพ่อมดไปว่า
"คุณอาพ่อมด ถ้าอยากเรียนรู้สูตร และวิธีทำ ลิลลี่สามารถบอกคุณแม่ให้สอนให้ได้ค่ะ"

เมื่อกล่าวจบ พ่อมดรีบกล่าวขอโทษลิลลี่อีกหลายครั้ง พร้อมทั้งพูดว่าเสียใจที่ทำแบบนี้ พร้อมทั้งเอ่ยถามว่า "จะช่วยบอกคุณแม่ ให้สอนฉันถึงสูตรและวิธีทำได้หรือไม่"

ลิลลี่ได้กล่าวต่อ
"ได้ค่ำ" "และคุณแม่คงจะยินดีมากที่จะสอนคุณอาปีเตอร์"

พ่อมดได้พูดว่า เด็กน้อยไม่โกรธหรือเกลียดตัวเขาที่ทำแบบนี้หรือ

ลิลลี่ได้ตอบว่า "ไม่ค่ะ" คุณอาทำแล้วยอมรับและเสียใจกับการกระทำนี้ และคุณแม่เคยสอนไว้ว่า "การให้อภัยซึ่งกันและกัน คือการให้อภัยคือการไม่ถือโทษหรือโกรธคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี เป็นการเปิดใจและยิ้มรับความรู้สึกดีๆ"

จากนั้นพ่อมดปีเตอร์ได้ยิ้มและกล่าวขอบคุณลิลลี่อีกครั้ง

ลิลลี่ได้พูดต่อว่า "ขอบราวนี่คืนได้ไหมค่ะ" เพราะว่าจะนำบราวนี้เหล่านี้ไปแบ่งให้กับเพื่อนบ้านในหมู่บ้านได้กินกัน

เมื่อลิลลี่พูดจบ ก็ได้นึกถึงสิ่งที่คุณแม่ได้สอนไว้อีกอย่างว่า "การแบ่งปัน" ให้กัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เป็นความเมตตา และความเอื้ออาทรต่อกันอย่างหนึ่ง และยังให้ความสุขทั้งตัวเราเองและผู้รับ

จากนั้นลิลลี่จึงเอ่ยพูดต่อว่า "คุณอาพ่อมด เก็บบราวนี่นี้ไว้ 2 ชิ้นได้ค่ะ"

พ่อมด ได้ฟังจึงรีบคืนบราวนี่ให้กับลิลลี่ และกล่าวขอบคุณที่ยังแบ่งปันบราวนี่มาให้ อีกทั้งยังดีใจที่เด็กน้อยลิลลี่ไม่รู้สึกเกลียดในตัวของเขา

จากนั้น พ่อมดก็พาลิลลี่ และวิสเกอร์ กลับมาส่งที่บ้าน พร้อมทั้งกล่าวขอโทษต่อแม่ของลิลลี่ และเมื่อลิลลี่เล่าเรื่องราวให้คุณแม่ฟัง พ่อมดปีเตอร์ก็ได้รับการสอนสูตรและวิธีทำอาหาร อีกทั้งยังได้ร่วมกินบราวนี่กับครอบครัวของลิลลี่และคนในหมู่บ้าน และทุกคนต่างมีความสุขที่ได้กินบราวนี่แสนอร่อยนี้ร่วมกัน

.
การแบ่งปันกัน นำมาซึ่ง ความสัมพันธ์ที่ดีให้ต่อกัน ให้ตัวเราเองได้รู้จักความเมตตา และความเอื้ออาทร ยังช่วยก่อให้เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ

การให้อภัยกัน คือการไม่ถือโทษหรือโกรธคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี เป็นการเปิดใจและยิ้มรับความรู้สึกดีๆ

การปล่อยวางความขุ่นเคือง ความโกรธ หรือความเจ็บปวดที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่น เป็นการเปิดใจ และไม่เก็บความรู้สึกด้านลบต่อคนที่ทำให้เราเสียใจ การให้อภัยเป็นการปฏิบัติที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อสุขภาพจิตใจและความสัมพันธ์กับผู้อื่น

😊

.
อ่านยาวๆ แล้วอาจจะเริ่มหิวเล็กน้อยกันแล้วไหม
บราวนี่ เอามาผสมเป็นได้อีกหลายเมนูที่เห็นแล้วก็ยากจะอดใจไหวนะ

1. บราวนี่ซันเดย์ (Brownie Sundae)

2. ช็อกโกแลตลาวาบราวนี่ (Chocolate Lava Brownie)

3. บราวนี่ชีสเค้ก (Brownie Cheesecake)

4. บราวนี่พาร์เฟต์ (Brownie Parfait)

5. ช็อกโกแลตเฟรนช์โทสต์บราวนี่ (Chocolate Brownie Stuffed French Toast)



.
ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ชอบบราวนี่แบบไหนกัน 
เวลายากกิน บราวนี่ อยากกินไอติมด้วย ถ้าแบบเข้าถึงง่ายๆ เลยนี่อยากบอกว่า ร้านแรกที่นึกถึงคือ แดรี่ควีน กับเมนู บลิซซาร์ด ช็อก บราวนี่..

*แอบหวังอนาคตจะมีโฆษณาติดต่อมาสนับสนุนน๊อ..

ปล. บทความและเนื้อหาตรงส่วนของข้อมูล "ยุคโรมัน หรือ Roman Era" ถูกตัดออก เพราะตัวอักษรเกิน 1 หมื่น ครับผม
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaldayfood
: tasteatlas
: wikipedia
.
LookAt
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่