เจาะผลประกอบการ BEC ไตรมาส 3 กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

กระทู้สนทนา
ตามธรรมเนียมเย็นวันศุกร์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน พ.ย.ทุกปี
จะเป็นเวลารายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของ BEC
ปีนี้ก็มาตรงเวลาเหมือนเดิม
ที่ชวนลุ้นว่าจะออกมาแบบไหน
เพราะในไตรมาสมีเหตุการณ์ที่แปลกเกิดขึ้นในองค์กรเยอะมาก

คำอธิบายประจำไตรมาสนี้
https://weblink.set.or.th/dat/news/202411/0592NWS081120241709010240T.pdf?

สรุปไตรมาส 3 ของ BEC มีกำไรเพิ่มขึ้น
จากไตรมาส 3 ปีที่แล้ว 21% แต่ลดลงจากไตรมาส 2 35%
มีกำไรสุทธิ 45.9 ล้านบาท

แม้กำไรจะมากขึ้นแต่รายรับก็ลดลงเล็กน้อยเช่นเดิม
เมื่อเทียบจากปีที่แล้วและไตรมาสที่แล้ว

เป็นอีกครั้งที่สามารถทำให้รายได้หลักจากโฆษณาลดลงเหลือ 76 %
ส่วนใหญ่จะอยู่ระดับประมาณ 80-85%

ตัวเลขที่น่าสนใจอยู่ในธุรกิจลิขสิทธิ์และบริการอื่น ๆ
ที่มารายได้เกิน 200 ล้านอีกครั้งอยู่ที่ 249 ล้าน ถือเป็นรายได้ 23 %
ความโดดเด่นของครั้งนี้คือ ธุรกิจจัดกิจกรรมและบริหารศิลปิน
ที่เริ่มสร้างรายได้ในส่วนนี้มากขึ้นกิจกรรมเด่น
อย่าง DEVPHROM FAN CON กับ Dear My love Ling&Orm เป็นต้น
แต่จะมีประเด็นสำคัญจากตรงนี้ด้วย

รับรู้ส่วนแบ่งกิจการร่วมค้ากับ เมเจอร์ จอยน์ ฟิลม์ จากเรื่อง มานะแมน
แต่เป็นการขาดทุน จำนวน 4.1 ล้าน เข้าเนื้อกันไปรอบนี้
นั่นคือเหตุผลตอนนั้นที่สถานีจะรีรันละครสร้อยสะบันงาเพื่อส่งเสริมพระเอกคือ นาย ณภัทร
แต่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวที่ไปเกี่ยวกับละครเรื่องนี้เลยไม่สามารถออกอากาศได้
และแน่นอนในไตรมาสสุดท้าย ธี่หยด2 คือ กำไรของของ BEC อย่างแท้จริง
ยิ่งมีส่วนแบ่งกลับมาเท่าไหร่ก็จะเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นของ BEC เท่านั้น

น่าสนใจคือกระแสเงินสดหมุนเวียนในไตรมาสนี้อยู่ในระดับ 1300 ล้าน
ซึ่งมากกว่าในไตรมาส 2 ที่ประมาณ 800 กว่าล้าน
มันเกี่ยวกับไม่ผลิตละครเยอะรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ

แม้จะมีรายได้จากการจัดกิจกรรมและบริหารศิลปินที่โตมากขึ้น
อย่างในรายงานศิลปินที่ถูกดูแลโดยตรงคือ หลิง ออม และ เทศน์
แต่การจัดกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นรายจ่ายใหม่ที่เกิดขึ้น
ถูกบันทึกในส่วนต้นทุนการขาย นั่นหมายความว่ามีรายจ่ายในกลุ่มเดียวการผลิตละคร
การทำแฟนมีตติ้งนีงระดับ premium ในต่างประเทศ ค่าใช่จ่ายรวม ๆ ก็ระดับ 7-8 หลัก
จึงเป็นเหตุผลที่กลางปีมีการพักการถ่ายทำละครครั้งแรกในรอบหลายปี
เพราะนำเงินส่วนนี้มาทำงานจัดกิจกรรมนี้แทน จนมาถึงไตรมาสสุดท้ายด้วย
แน่นอนสถานีก็คุมรายจ่ายด้วยการจัดละครรีรันมากขึ้นโดยเฉพาะละคร 1 ทุ่มนั่นเอง
จึงมีสัญญาเบรคกระทันหันและเปลี่ยนการออกอากาศในช่วงเดือน ก.ค.

นำมาสู่เหตุการณ์ที่สะเทือนองค์กรอีกครั้งเมื่อกลางอาทิตย์ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ครบรอบ 1 ปีหลังจากการลาออกของ MD คนเก่าทางนิตินัย
และเป็นการร่วมบริหารเต็มตัวของทายาทรุ่น 2 ของมาลีนนท์
ที่มีความจำเป็นต้องลดรายจ่าย โดยจำเป็นต้องลดพนักงานในสัดส่วนระดับ 30%
หลายคนอาจสงสัยว่ารอบนี้ก็มีกำไรไม่ได้ขาดทุน
ทำไมต้องลดพนักงานลงด้วยคำตอบคือต่อจากนี้

ตอนนี้สถานีมีธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นมาเพิ่มรายจ่ายขึ้น
แม้จะมีรายรับกลับมาเป็นที่น่าพอใจ
แต่เป็นความพยายามรักษากำไรของสถานี
โดยปราศจากกิจกรรมปกติของสถานี คือ การผลิตและออกอากาศละคร
ตั้งแต่กลางปีจนถึงตอนนี้ แทบไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรถ้าไม่จำเป็น
จะเห็นเคลื่อนไหวอยู่ไม่กี่คน ไปหลายประเทศตามรายรับใหม่ที่เข้ามา
เมื่อมีรายจ่ายมากขึ้น ย่อมไม่สามารถทำกำไรตามที่สถานีต้องการได้
จึงจำเป็นต้องลดรายจ่ายประจำเพื่อที่จะทำให้กลับมาผลิตละครได้
ละครสามารถออกอากาศปกติ โดยไม่ต้องถามว่าทำไมต้องรีรันตามโซเชียล
และทำกิจกรรมบริหารศิลปินควบคู่กันไปได้ด้วย
จึงต้องมีผู้เสียสละเพื่อธุรกิจนี้ดำเนินต่อไป
ขอให้เข้าใจว่าถ้าคุณอยากดูละครใหม่ หรือ ดาราที่คุณชอบได้กลับไปเล่นละคร
มันต้องแลกกับชีวิตพนักงานในตึกที่ต้องเดินจากไป ขอให้รับรู้ไว้แล้วกัน

สถานีตั้งเป้ากำไรปีนี้อยู่ที่ระดับ 250-300 ล้าน ซึ่งในรอบ 9 เดือนได้มาแล้ว 131 ล้าน
และที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อรายย่อยที่ยังถือหุ้นให้ได้มีปันผลในปีต่อ ๆ ไปด้วย
ราคาหุ้นก็อาจจะดีขึ้นมาบ้าง

ปล. นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่กำลังจะเปลี่ยนไป และ BEC ก็อาจไม่ใช่ช่อง 3 อีกต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่