== Jai Bhim (2021) ทนายผู้คืนความเป็นธรรม..ให้แก่เหล่าแพะรับบาป ==



ราชาคันนุและเซนกานี คู่สามีภรรยาจากชนเผ่าอิรูล่า ทั้ง 2 ทำงานในทุ่งนาของผู้มีอันจะกิน
โดยมีหน้าที่คอยจับหนูที่มากินผลผลิตและคอยจับงูพิษ ทั้งคู่รวมถึงครอบครัวคนในเผ่า 
แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทธิใดๆทั้งในด้านการรักษาพยาบาล สิทธิการเลือกตั้งรวมถึงที่ดินทำกิน 
เนื่องจากเรื่องของการเป็นชนกลุ่มน้อยที่กฎหมายของรัฐยังไม่ได้รับรองการมีอยู่ของพวกเขา 
แต่กระนั้นชนเผ่าอิรูล่า ก็อยู่กันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ...



วันนึงราชาคันนุ ถูกเรียกไปที่บ้านเศรษฐีในหมู่บ้านเพื่อจับงูที่เข้ามาในห้อง หลังจัดการเรียบร้อยเขาก็กลับบ้านไป 
จนกระทั่งวันต่อมาตำรวจได้บุกมายังบ้านของราชาคันนุที่เวลานั้นไปซื้อของต่างเมือง 
ตำรวจบุกค้นและจับตัวคนหลายคนไปที่สถานี โดยมีเหตุมาจากว่าเครื่องเพชรบางชิ้นในบ้านของเศรษฐีหายไป 
ตำรวจเชื่อมั่นว่า คนที่เอาไปก็คือราชาคันนุนั่นเอง



ตำรวจยังจับกุมอิรุตตัปปะ น้องชายของราชกันนุ ภชัยอัมมะ น้องสาวของเขา และโมศกุตตี พี่เขย 
ที่สถานีตำรวจทุกคนโดยทรมานเพื่อให้บอกว่าราชาคันนุอยู่ที่ไหน เช่นเดียวกันกับเซนกานี 
แม้ว่าเธอกำลังจะตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 แต่เธอก็โดนทรมานไม่ต่างกัน 



สุดท้ายตำรวจจับตัวราชคันนุได้ การทรมานอย่างหนักเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับสารภาพก็ดำเนินขึ้น.. 
แต่ไม่ว่าจะโดนทรมานยังไงราชาคันนุก็บอกว่าเขาไม่ได้เอาไป (เพราะไม่ได้เอาไปจริงๆ) 
เซนกานี ไม่รู้จะทำยังไงจึงไปปรึกษากับมิธรา ครูอาสาซึ่งมาสอนเด็กๆในชนเผ่า.. 
มิธราจึงพาเธอให้ไปพบกับจันดรู ทนายความหนุ่มที่คอยต่อสู้เรียงร้องสิทธิเสรีภาพให้กับชนเผ่าต่างๆที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม.. 
เมื่อจันดรูได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเซนกานีแล้ว เขาจึงตัดสินใจรับทำคดีนี้...



Jai Bhim เป็นภาพยนตร์ภาษาทมิฬแนวดราม่าแนวการต่อสู้ทางกฎหมาย กำกับโดย T. J. Gnavel 
สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 1993 ที่ทนายความหนุ่มจันดรู ช่วยเหลือเซนกานี 
หญิงสาวที่สามีของเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยถูกใส่ความหาว่าเป็นโจรขโมยของทั้งที่ไม่ได้เป็นคนผิด 
แต่ด้วยความที่มาจากชนเผ่าเล็กๆที่ไม่มีสิทธิมีเสียงอะไร ทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อชั้นดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะยัดข้อหาได้ง่ายๆ 



หากระบบวรรณะเป็นปัญหาที่สั่งสมมานานของอินเดีย (ที่คงยากจะแก้ได้) อีกปัญหาที่คงยังไม่ได้รับการแก้ไข
และคงจะยังคงอยู่ไปอีกนานนั่นก็คือชนกลุ่มน้อยของดินแดนแห่งนี้นี่เอง .. 
เรารู้กันอยู่ครับว่าประเทศอินเดียมีอาณาเขตกว้างใหญ่เพียงใด ชนกลุ่มน้อยต่างๆก็มีจำนวนมากเช่นกัน..
พวกเขาเหล่านี้ไม่มีสิทธิมีเสียงใดๆ ถือว่าเป็นคนชายขอบที่อยู่นอกระบบวรรณะด้วยซ้ำ 
ถูกกีดกันต่างๆนาๆ งานที่ทำได้ก็เป็นเพียงแค่คนใช้แรงงานเท่านั้น อย่าหวังอะไรมากกว่านี้ 
เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะได้เรียนหนังสือนั่นเอง



ราชาคันนุเหยื่อของเรื่องนี้ เขามาจากชนเผ่า อิรูลา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มิลักขะที่อาศัยอยู่ในรัฐทมิฬนาฑู และเกรละ ของอินเดีย 
มีอาชีพหลักคือการจับงู และหนู รวมถึงเก็บของป่า.. ซึ่งการจับหนูนั้นเป็นหน้าที่สำคัญอย่างมากของชนเผ่านี้ 
(เราจะเห็นถึงความสามารถนี้ในตอนต้นเรื่อง) เนื่องจากทมิฬนาดูเป็นพื้นที่ที่หนูชุกชุมมาก 
ดังนั้นการมีอยู่ของชาวอิรูล่า จึงช่วยกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี 
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นได้แค่นั้น ไม่ได้รับการยอมรับใดจากสังคม 



นี่คือภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมอินเดียที่มีต่อคนชายขอบอย่างยิ่ง.. 
โดนกดขี่ทุกอย่าง ทำดีแค่ไหนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาไม่ว่าจะจากใคร 
รวมถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สุดแสนจะอัปยศและน่ารังเกียจทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองปิดคดีให้ได้ (ย้ำว่าทำทุกอย่าง) 
เราจะได้เห็นทัณฑ์ทรมานต่างๆที่ประเคนเข้าใส่ราชาคันนุและญาติพี่น้องของเขา ความโหดเหี้ยม อำมหิต ทำแม้กระทั่งกับผู้หญิง ..
ผมก็จัดเรตหนังไม่เป็นล่ะนะ แต่เรื่องนี้ ช่วงทรมานนี่โหดจริง สะเทือนใจ 
นักแสดงทุกคนเล่นได้ดีมาก มากซะจนบางฉากผมเองยังไม่กล้าดู....



ผมย้ำแล้วย้ำอีกว่าเวลานี้วงการหนังอินเดีย พัฒนาไปไกลสุดๆ นี่ไม่ใช่หนังอินเดียบอลลีวู้ดนะครับ 
แต่เป็นหนังอินเดียทมิฬนาดู หรือ Kollywood ซึ่งจุดเด่นของหนังภาษาทมิฬนั้นคือการตีแผ่ปัญหาสังคมต่างๆ แบบไม่เกรงกลัวอะไร 
ไม่ต้องห่วงว่าหนังเป็นประเด็นอ่อนไหวเหลือเกิน (เฉพาะบางคน) จะมีกองเซนเซอร์มาสั่งห้ามไม่ให้ฉายแบบบางประเทศหรือไม่ 
เพราะที่นั่นถ้าไม่ได้กระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายระดับชาติ เขาอนุญาตครับ 
เพราะแบบนี้หนังบ้านเค้าถึงไปไกล เพราะความกล้าที่จะจับประเด็นมาถ่ายทอดให้เราได้รับชมนั่นเอง



และด้วยความที่หนังมันเทพขนาดนั้นจึงทำให้ Jai Bhim ทำคะแนนสูงสุดบนเว็บไซต์ IMDb ที่ 9.6/10 เลยทีเดียว
ถือเป็นสถิติสูงสุดทำลายคะแนนที่ 9.3 ของ The Shawshank Redemption ที่อยูคงกระพันมายาวนานได้สำเร็จ
ซึ่งถึงแม้ว่าปัจจุบันคะแนนเรตของ Jai Bhim  จะตกลงมาแล้วที่ 9.2 แต่ก็พูดได้เลยว่าครั้งนึงพวกเขาสามารถชนะแชมป์ตลอดกาลได่ 



และอย่างที่บอกไปครับว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ทนายความจันดรูมีตัวตนจริงครับ 
โดยเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาถาวรในปี 2009 เป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่คณะตุลาการ 
กว่า 96,000 คำตัดสินตลอดการทำหน้าที่ของจันดรูได้เปลี่ยนชีวิตของผู้คนที่ยากจนและถูกกดขี่จำนวนมาก 
แม้ว่าเวลานี้จะอายุ 73 ปีแล้ว และเกษียนตัวเองจากตำแหน่งผู้พิพากษาแล้วก็ตาม
แต่เขาก็ยังให้คำแนะนำช่วยเหลือในเรื่องของการต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติทางชนชั้นวรรณะ
และเพื่อสิทธิของชุมชนที่ล้าหลังในรัฐทมิฬนาฑูต่อไป
(ไม่เหมือนทนายบางคนที่เป็นข่าวในเวลานี้ มีความสามารถแท้ๆ แต่ไปในทางที่ผิดเพราะความอยากได้อยากมีแท้ๆ)



Jai Bhim เป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่มากครับ ทำให้เราได้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมต่างๆในสังคม 
มนุษย์ทุกคนต่างมีคุณค่าไม่ว่าคุณจะผิวสีใด มาจากไหน เราก็คือคนเสมอกันทั้งสิ้น 
ไม่มีใครที่ควรจะได้รับความอยุติธรรมเหมือนอย่างที่ราชาคันนุได้รับ 
นี่คือหนังที่น่าชื่นชม หากท่านใดที่ชื่นชอบหนังดราม่าแนวกฎหมายผมขอย้ำเลยว่าต้องดูให้ได้ครับแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง 
เป็นหนังจบผมนี่ยืนปรบมือให้หน้าจอคอมเลยจริงๆ..

เพราะหนังมันฝังใจ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่