ดีภัค เจ้าบ่าวคนใหม่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านของตนพร้อมกับเจ้าสาวของนั่นก็คือ พูล กุมารี ..
พวกเขาขึ้นรถไฟโดยสารที่อัดแน่นไปด้วยคู่รักคู่บ่าวสาวอีกหลายคน (คงเป็นช่วงฤกษ์ดี แต่งงานกันหลายคู่เชียว)
เจ้าสาวแต่ละคนสวมชุดสีแดงดูเหมือนๆกันไปหมด ต่างปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าตามธรรมเนียม
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ดีภัคหลับไปและตื่นขึ้นมากลางดึก ทันใดนั้นพบว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว
ด้วยความมืดบนรถไฟและความรีบเร่งที่จะจากไป เขาคว้ามือเจ้าสาวลงมาจากรถไฟในทันที..
เมื่อถึงบ้าน ทุกคนในครอบครัวดีใจที่ดีภัคกลับมาพร้อมภรรยา.. แต่เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าออกมา
ดีภัคต้องตกใจเมื่อเจ้าสาวคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ พูล กุมารี แต่เป็นใครก็ไม่รู้ ...เค้าพาใครมาเนี่ย!!??
Laapataa Ladies หรือในชื่อ Lost Ladies เป็นภาพยนตร์ดราม่าคอมมาดี้ภาษาฮินดี สัญชาติอินเดีย
กำกับโดย Kiran Rao ภายใต้การอำนวยการสร้างโดย Aamir Khan สุดยอดนักแสดงชาวอินเดียที่เรารู้จักกันดีในหลายบทบาท
อาทิ PK , Dangal และอีกเยอะ ซึ่ง Kiran Rao เป็นภรรยาของ Aamir Khan นั่นเอง
นี่คืองานกำกับเรื่องที่ 2 ของเธอครับ เว้นระยะห่างจากเรื่องแรก Dhobi Ghat เมื่อปี 2010 นู่นเลยทีเดียว
Laapataa Ladies ได้เป็นตัวแทนของภาพยนตร์อินเดียในการเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
บนเวทีออสการ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้ด้วยครับ หากแต่ไม่ผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายแต่อย่างใด
ซึ่งจริงๆแล้ว การเสนอหนังเข้าชิงของอินเดียมีประเด็นดราม่าด้วยครับ
เนื่องจากว่าตัวเต็งอีกเรื่องอย่าง All We Imagine as Light ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีใหญ่อย่างลูกโลกทองคำ
กลับถูกปัดตกไปและกลายเป็น Laapataa Ladies ได้ไปต่อแทน
ทำให้มีกระแสว่าเพราะอิทธิพลของ Aamir Khan หรือไม่ก็สุดแท้แต่ แต่ทั้งสองเรื่องมีประเด็นที่คล้ายๆกัน
นั่นก็คือนำเสนอเรื่องของบทบาทผู้หญิงในสังคมครับ ..มีโอกาสผมจะมารีวิว All We Imagine as Light แบบเต็มๆ ให้ได้อ่านแน่นอน
กลับเข้าเรื่องของเรากัน Laapataa Ladies เป็นหนังดราม่าขำนิดๆ สไตล์อินเดียขนานแท้
มีเพลงเพราะๆให้เราฟังกัน 3-4 เพลงได้ไม่ยาวมาก (แต่ไม่มีเต้นนะ) เนื้อหาว่าด้วยความวุ่นวายขายปลาช่อน
กับเหตุการณ์ที่เจ้าบ่าวมือใหม่ไปคว้าเจ้าสาวของใครไม่รู้บนรถไฟกลับบ้าน
ทำให้เรื่องราวชุลมุนยุ่งนุงนังไปหมด ความสนุกอลหม่านมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้ล่ะ
ประเด็นเน้นไปที่ความเป็นผู้หญิงในสังคมอินเดีย ที่หนังเซ็ตฉากให้เป็นในปี 2001 ย้อนไป 23 ปีที่แล้ว
แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อน หรือตอนนี้วัฒนธรรมและความเชื่อหลายอย่างก็ยังมีผลอยู่ในปัจจุบัน
ยิ่งเรื่องของผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่... แน่นอนว่าเรารู้กันดีหากผู้หญิงจะแต่งงาน
ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายหาค่าสินสอดไปให้ฝ่ายชาย แต่งงานออกเรือนไปแล้ว เธอก็กลายเป็นคนของที่นั่น
ถ้าได้สามีที่ดีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่... นั่นอาจหมายถึง ตายทั้งเป็น
องค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้หญิงทั่วโลก 1 ใน 3 เผชิญกับความรุนแรง
และส่วนใหญ่ผู้กระทำคือคู่ครองของตนเอง โดยเฉพาะในอินเดียตัวเลขการทำร้ายร่างกายผู้หญิงสูงที่สุดในโลก
โดยในปี 2020 ตำรวจได้รับการแจ้งข้อหาจากผู้หญิง 112,292 คน ว่าพวกเธอถูกทำร้ายร่างกายจากสามีตัวเอง
หรือคิดเป็น 1 คนในทุก ๆ 5 นาที!!
วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ทำให้พวกเธอไม่มีสิทธิมีเสียง วันวันเลี้ยงลูกทำงานบ้านทำกับข้าวเลี้ยงดูครอบครัวฝ่ายชาย
หากว่าทำอะไรไม่เป็นที่ถูกใจก็อาจโดนทำร้ายได้ในทุกเมื่อ มิหนำซ้ำหากบ้านฝ่ายหญิงบ้านไหนจ่ายค่าสินสอดไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้
ก็อาจจะมีเรื่องราวใหญ่โตตามมาอีก นั่นแล้วแต่อิทธิพลของฝ่ายชาย
ถามว่าแล้วแบบนี้ทำไมบ้านฝ่ายหญิงถึงยินยอมให้ลูกตัวเองไปแต่งงานล่ะ
นั่นก็เพราะหวังถึงความมีหน้าตาของครอบครัวฝ่ายชายว่าจะทำให้ชีวิตของลูกสาวตนดีกว่าที่เป็น
และแน่นอนว่า พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจของลูกตัวเองเลย
แต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตของลูกสาวตัวจะดีขึ้นได้นั้นมันไม่ใช่แค่การมีคู่ครองที่ดีเท่านั้น
เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่พวกเธอสามารถสร้างได้ด้วยตนเองนั่นก็คือการศึกษา...
เด็กสาวอินเดียส่วนใหญ่ในชนบทถูกบังคับให้ออกเรือนตั้งแต่ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องเพศด้วยซ้ำ
นั่นทำให้พวกเธอถูกออกจากระบบการศึกษาไปในทันที ซึ่งถ้าหากพวกเธอมีโอกาสได้เล่าเรียนสูงๆ
เส้นทางชีวิตของเด็กสาวเหล่านี้ก็จะมีทางเลือก ไม่ใช่ต้องมาหวังแค่การแต่งงานอย่างเดียว
ภาพยนตร์เรื่องนี้จับเอาความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงในวัฒนธรรมอินเดียที่มีมาอย่างยาวนานมาตีแผ่ได้อย่างแยบคาย
(มีความเชื่อหลายอย่างที่แบบ เห้ย มันเป็นถึงขนาดนั้นเชียวรึ) เป็นหนังที่ดูง่าย เข้าใจง่าย
มีการเปรียบเปรยผู้หญิงกับบริบทหลายอย่างที่น่าสนใจ ผมชอบประโยคนึงในหนังที่ว่า...
“ผู้หญิงน่ะสามารถทำอะไรเองได้ทุกอย่าง ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารได้ ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวก็ได้
เพราะพวกผู้ชายมันทำไม่ได้ไง เลยต้องเอาเราไปเป็นที่พึ่ง....”
สุดท้ายแล้ว ดีภัคจะตามหาเจ้าสาวที่แท้จริงของเขาได้หรือไม่.. และเธอคนที่ดีภัคพามา เธอเป็นใคร..
ต้องหาคำตอบกันเองล่ะครับกับ Laapataa Ladies .. เจ้าสาวที่หายไป...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Laapataa Ladies (2024) ..เจ้าสาว..ที่หายไป... ==
ดีภัค เจ้าบ่าวคนใหม่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านของตนพร้อมกับเจ้าสาวของนั่นก็คือ พูล กุมารี ..
พวกเขาขึ้นรถไฟโดยสารที่อัดแน่นไปด้วยคู่รักคู่บ่าวสาวอีกหลายคน (คงเป็นช่วงฤกษ์ดี แต่งงานกันหลายคู่เชียว)
เจ้าสาวแต่ละคนสวมชุดสีแดงดูเหมือนๆกันไปหมด ต่างปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าตามธรรมเนียม
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ดีภัคหลับไปและตื่นขึ้นมากลางดึก ทันใดนั้นพบว่าเขามาถึงที่หมายแล้ว
ด้วยความมืดบนรถไฟและความรีบเร่งที่จะจากไป เขาคว้ามือเจ้าสาวลงมาจากรถไฟในทันที..
เมื่อถึงบ้าน ทุกคนในครอบครัวดีใจที่ดีภัคกลับมาพร้อมภรรยา.. แต่เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าออกมา
ดีภัคต้องตกใจเมื่อเจ้าสาวคนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่ พูล กุมารี แต่เป็นใครก็ไม่รู้ ...เค้าพาใครมาเนี่ย!!??
Laapataa Ladies หรือในชื่อ Lost Ladies เป็นภาพยนตร์ดราม่าคอมมาดี้ภาษาฮินดี สัญชาติอินเดีย
กำกับโดย Kiran Rao ภายใต้การอำนวยการสร้างโดย Aamir Khan สุดยอดนักแสดงชาวอินเดียที่เรารู้จักกันดีในหลายบทบาท
อาทิ PK , Dangal และอีกเยอะ ซึ่ง Kiran Rao เป็นภรรยาของ Aamir Khan นั่นเอง
นี่คืองานกำกับเรื่องที่ 2 ของเธอครับ เว้นระยะห่างจากเรื่องแรก Dhobi Ghat เมื่อปี 2010 นู่นเลยทีเดียว
Laapataa Ladies ได้เป็นตัวแทนของภาพยนตร์อินเดียในการเข้าชิงสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม
บนเวทีออสการ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้ด้วยครับ หากแต่ไม่ผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายแต่อย่างใด
ซึ่งจริงๆแล้ว การเสนอหนังเข้าชิงของอินเดียมีประเด็นดราม่าด้วยครับ
เนื่องจากว่าตัวเต็งอีกเรื่องอย่าง All We Imagine as Light ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีใหญ่อย่างลูกโลกทองคำ
กลับถูกปัดตกไปและกลายเป็น Laapataa Ladies ได้ไปต่อแทน
ทำให้มีกระแสว่าเพราะอิทธิพลของ Aamir Khan หรือไม่ก็สุดแท้แต่ แต่ทั้งสองเรื่องมีประเด็นที่คล้ายๆกัน
นั่นก็คือนำเสนอเรื่องของบทบาทผู้หญิงในสังคมครับ ..มีโอกาสผมจะมารีวิว All We Imagine as Light แบบเต็มๆ ให้ได้อ่านแน่นอน
กลับเข้าเรื่องของเรากัน Laapataa Ladies เป็นหนังดราม่าขำนิดๆ สไตล์อินเดียขนานแท้
มีเพลงเพราะๆให้เราฟังกัน 3-4 เพลงได้ไม่ยาวมาก (แต่ไม่มีเต้นนะ) เนื้อหาว่าด้วยความวุ่นวายขายปลาช่อน
กับเหตุการณ์ที่เจ้าบ่าวมือใหม่ไปคว้าเจ้าสาวของใครไม่รู้บนรถไฟกลับบ้าน
ทำให้เรื่องราวชุลมุนยุ่งนุงนังไปหมด ความสนุกอลหม่านมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้ล่ะ
ประเด็นเน้นไปที่ความเป็นผู้หญิงในสังคมอินเดีย ที่หนังเซ็ตฉากให้เป็นในปี 2001 ย้อนไป 23 ปีที่แล้ว
แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อน หรือตอนนี้วัฒนธรรมและความเชื่อหลายอย่างก็ยังมีผลอยู่ในปัจจุบัน
ยิ่งเรื่องของผู้หญิงยิ่งแล้วใหญ่... แน่นอนว่าเรารู้กันดีหากผู้หญิงจะแต่งงาน
ครอบครัวฝ่ายหญิงต้องเป็นฝ่ายหาค่าสินสอดไปให้ฝ่ายชาย แต่งงานออกเรือนไปแล้ว เธอก็กลายเป็นคนของที่นั่น
ถ้าได้สามีที่ดีก็แล้วไป แต่ถ้าไม่... นั่นอาจหมายถึง ตายทั้งเป็น
องค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้หญิงทั่วโลก 1 ใน 3 เผชิญกับความรุนแรง
และส่วนใหญ่ผู้กระทำคือคู่ครองของตนเอง โดยเฉพาะในอินเดียตัวเลขการทำร้ายร่างกายผู้หญิงสูงที่สุดในโลก
โดยในปี 2020 ตำรวจได้รับการแจ้งข้อหาจากผู้หญิง 112,292 คน ว่าพวกเธอถูกทำร้ายร่างกายจากสามีตัวเอง
หรือคิดเป็น 1 คนในทุก ๆ 5 นาที!!
วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ทำให้พวกเธอไม่มีสิทธิมีเสียง วันวันเลี้ยงลูกทำงานบ้านทำกับข้าวเลี้ยงดูครอบครัวฝ่ายชาย
หากว่าทำอะไรไม่เป็นที่ถูกใจก็อาจโดนทำร้ายได้ในทุกเมื่อ มิหนำซ้ำหากบ้านฝ่ายหญิงบ้านไหนจ่ายค่าสินสอดไม่ได้ตามที่ตกลงกันไว้
ก็อาจจะมีเรื่องราวใหญ่โตตามมาอีก นั่นแล้วแต่อิทธิพลของฝ่ายชาย
ถามว่าแล้วแบบนี้ทำไมบ้านฝ่ายหญิงถึงยินยอมให้ลูกตัวเองไปแต่งงานล่ะ
นั่นก็เพราะหวังถึงความมีหน้าตาของครอบครัวฝ่ายชายว่าจะทำให้ชีวิตของลูกสาวตนดีกว่าที่เป็น
และแน่นอนว่า พ่อแม่ไม่เคยถามความสมัครใจของลูกตัวเองเลย
แต่แท้ที่จริงแล้วชีวิตของลูกสาวตัวจะดีขึ้นได้นั้นมันไม่ใช่แค่การมีคู่ครองที่ดีเท่านั้น
เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่พวกเธอสามารถสร้างได้ด้วยตนเองนั่นก็คือการศึกษา...
เด็กสาวอินเดียส่วนใหญ่ในชนบทถูกบังคับให้ออกเรือนตั้งแต่ยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องเพศด้วยซ้ำ
นั่นทำให้พวกเธอถูกออกจากระบบการศึกษาไปในทันที ซึ่งถ้าหากพวกเธอมีโอกาสได้เล่าเรียนสูงๆ
เส้นทางชีวิตของเด็กสาวเหล่านี้ก็จะมีทางเลือก ไม่ใช่ต้องมาหวังแค่การแต่งงานอย่างเดียว
ภาพยนตร์เรื่องนี้จับเอาความไม่เท่าเทียมของผู้หญิงในวัฒนธรรมอินเดียที่มีมาอย่างยาวนานมาตีแผ่ได้อย่างแยบคาย
(มีความเชื่อหลายอย่างที่แบบ เห้ย มันเป็นถึงขนาดนั้นเชียวรึ) เป็นหนังที่ดูง่าย เข้าใจง่าย
มีการเปรียบเปรยผู้หญิงกับบริบทหลายอย่างที่น่าสนใจ ผมชอบประโยคนึงในหนังที่ว่า...
“ผู้หญิงน่ะสามารถทำอะไรเองได้ทุกอย่าง ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารได้ ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวก็ได้
เพราะพวกผู้ชายมันทำไม่ได้ไง เลยต้องเอาเราไปเป็นที่พึ่ง....”
สุดท้ายแล้ว ดีภัคจะตามหาเจ้าสาวที่แท้จริงของเขาได้หรือไม่.. และเธอคนที่ดีภัคพามา เธอเป็นใคร..
ต้องหาคำตอบกันเองล่ะครับกับ Laapataa Ladies .. เจ้าสาวที่หายไป...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===