JJNY : 5in1 ณัฐพงษ์ควงชัยธวัช ลุยหาเสียง│“ธนาธร”ชี้สังคมสูงวัย│เสียงแตกวุ่น│ห่วงไทยสมัครเข้าBRICS│ขัดแย้งซ้ำเติมวิกฤติ

ณัฐพงษ์ ควง ชัยธวัช ลุยหาเสียง อ้อนขอคะแนน หนุนให้ คณิศร นั่งนายก อบจ.อุดรธานี
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9487639

อุดรธานี ณัฐพงษ์ ควง ชัยธวัช ลุยหาเสียงเลือกตั้ง ชูนโนบายเร่งด่วน 5 ข้อ อ้อนขอคะแนนชาวบ้าน หนุนให้ คณิศร นั่งนายกอบจ. คนแรกของภาคอีสาน เดินหน้าเปลี่ยนแปลงอุดรธานี
 
2 พ.ย. 67 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหลืออีก 22 วันชิง นายกอบจ.อุดรธานี ที่ศาลาภายในวัดกู่แก้ว บ้านเพียปู่ อ.ไชยวาน จ.อุดรธนี “หน.เท้ง” นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชาชน พร้อมด้วย นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายอภิชาติ ศิริสุนทร ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เดินทางมาช่วย นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครชิงนายก อบจ.อุดรธานี หมายเลข 1 ในนามของพรรคประชาชน
 
ในโอกาสนี้ นายณัฐพงษ์ และนายชัยธวัช ได้กล่าวปราศรัยกับพี่น้องประชาชน ขอโอกาสให้นายคณิศร ขุริรรัง ในนามตัวแทนของพรรคชิงตำแหน่ง นายกอบจ.อุดรธานี
 
นายชัยธวัช กล่าวตอนหนึ่งว่า ในการเดินทางมาครั้งนี้ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับนายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกอบจ.อุดรธานี ในนามของพรรคประชาชน โดยชูนโนบายเร่งด่วน 5 ข้อ
 
คือ 1. น้ำประปาใสสะอาดดื่มได้ทั้งไป 2. อยู่ไหนก็มีหมออุ่นใจ 3. ถนนปลอดภัยไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ 4. ไฟฟ้าต้องมีทุกพื้นที่ และ 5. ยาเสพติดต้องจริงจัง พร้อมสนับสนุนน้ำยาตรวจยาเสพติด
 
ขอพี่น้องประชาชนให้คณิศรเป็นนายกอบจคนแรกของภาคอีสาน เดินหน้าเปลี่ยนแปลงอุดร เดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เหลืออีก 22 วันแล้ว เลือกคณิศรจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
 


“ธนาธร” ชี้ สังคมสูงวัยคือระเบิดเวลา แนะทางรอด ต้องแข่งกับโลก ลงทุนเทคโนโลยี
https://www.thairath.co.th/news/politic/2823390

“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แนะสร้างไทยแข่งในเวทีโลกต้องยกระดับทักษะคนทำงาน-สร้างเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ชี้สังคมสูงวัยเป็นความท้าทาย ขณะที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก หากไทยไม่เปลี่ยน ตอนนี้อาจแข่งกับโลกไม่ได้
 
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ที่พารากอนฮอลล์ชั้น 5 สยามพารากอน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมงาน Skill Force Expo 2024 
บรรยายหัวข้อ “What’s Next? ก้าวต่อไปของคนไทยในแผนที่ธุรกิจโลก” โดยฉายกราฟที่แสดงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยใน 30 ปีที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า หากดูโดยรวม ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ต่อเนื่องแม้เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นช่วงๆ แต่หากพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่าย้อนไปก่อนปี 1997 ครึ่งหลังในทศวรรษนั้น เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 7.5% ต่อปี หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 5.3% ต่อปี หลังวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ปี 2008 เหลือ 3.2% ต่อปี และหลังวิกฤตโควิดอยู่ที่ 2% ต่อปี จะเห็นว่าการเติบโตลดลงเรื่อยๆ ในแต่ละทศวรรษ สะท้อนขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันกับโลกที่น้อยลง ไม่สามารถรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้
 
ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาที่ถาโถมของประเทศไทยที่จะเป็นระเบิดเวลาในอนาคตคือสังคมสูงวัย คนมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรมีอายุมากกว่า 60 ปี
คำถามคือทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่มีลูก เพราะการเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างครอบครัวที่มีบ้านมีรถ ชีวิตแบบนี้เป็นไปได้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ความท้าทายคืออีก 20-30 ปีข้างหน้า คนทำงานกี่คนต้องดูแลหรือแบกผู้สูงอายุในสังคม ข้อมูลปี 2553 สัดส่วนอยู่ที่เด็กหรือผู้สูงอายุ 1 คนต่อคนวัยทำงาน 2.03 คน แต่แนวโน้มในปี 2583 สัดส่วนจะเปลี่ยนเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ 1 คนต่อคนวัยทำงาน 1.26 คน เท่ากับเราต้องเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของประเทศขึ้นอีก 38% ใน 30 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าด้วยซ้ำ แต่เพียงเพื่อให้ประเทศไทยยืนอยู่ที่เดิมได้

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ จะเห็นว่าไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกับไทยมากนัก เช่น ไทยกับเกาหลีใต้ GDP per capita ในปี 1960 คนเกาหลีใต้ 1 คน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจได้ 158 เหรียญสหรัฐ ไทยอยู่ที่ 101 เหรียญสหรัฐ ต่างกัน 1.56 เท่า ผ่านมา 60 ปี วันนี้ต่างกัน 4.64 เท่า คำถามคืออะไรผลักดันให้แต่ละประเทศเติบโตต่างกัน หนึ่งในตัวแปรสำคัญคือความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศที่ผลักดันตัวเองจนร่ำรวยต่างมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองทั้งสิ้น
 
นายธนาธรยังยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในการเพิ่มผลิตภาพของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิทในขณะที่ตนเป็นผู้บริหาร โดยกล่าวว่าเราต้องการแข่งขันกับโลก จึงลงทุนกับเทคโนโลยี การพัฒนาทักษะของบุคลากรในองค์กร ทำให้การผลิตใช้คนน้อยลง ใช้พลังงานลดลง แต่ผลิตได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม แนวคิดแบบนี้ยังประยุกต์ใช้กับภาครัฐได้ เช่น ที่คณะก้าวหน้าทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลอาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ช่วยให้การออกบิลค่าไฟจากเดิมที่ต้องใช้วิธีเขียนมือ ใช้เวลา 42 ชั่วโมงต่อเดือน เมื่อเปลี่ยนเป็นการออกบิลแบบอัตโนมัติ เหลือเพียง 2 ชั่วโมงต่อเดือน ต้นทุนการใช้กระดาษก็ลดลง
 
ดังนั้นเมื่อพูดถึงความสำเร็จของธุรกิจหรือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต้องไม่มองว่าเป็นเรื่องง่าย เราต้องกลับมาฟูมฟักพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศให้ได้ ต้องสร้างทักษะของคน เช่น ปัจจุบันเรามีหุ่นยนต์ ทักษะใหม่ของคนทำงานคือการบำรุงรักษาหุ่นยนต์ การทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว แข่งขันกับโลกได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษในการบ่มเพาะทักษะ เทคโนโลยี ผู้คน และระบบนิเวศ แต่ไม่สายที่จะเริ่ม ไม่ว่าภาคเอกชนหรือรัฐมีส่วนร่วมทำสิ่งนี้ได้ เพราะถ้าไม่ทำ นึกไม่ออกว่าเราจะอยู่รอดในบริบทปัจจุบันหรือแข่งขันกับประเทศอื่นในอนาคตได้อย่างไร
 


เสียงแตกวุ่น ฟ้องป้องสิทธิ-ปิดปาก เมื่อพรรคประชาชน ทนไม่ไหว เจอกล่าวหา เป็นบีอาร์เอ็น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4878881

เสียงแตกวุ่น ฟ้องป้องสิทธิ-ปิดปาก เมื่อพรรคประชาชน ทนไม่ไหว เจอกล่าวหา เป็นบีอาร์เอ็น
 
เปิด 2 มุมมองร้อน กรณีที่ พรรคประชาชน ประกาศใช้สิทธิการดำเนินคดีกับผู้ที่แสดงความคิดเห็นโดยใช้ข้อความอันเป็นเท็จกล่าวหาว่า พรรคประชาชาชน เป็นแนวร่วมของขบวนการปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี หรือ BRN มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภายใต้
 
ฝ่ายแรก วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ร่ายยาวอธิบายความจำเป็นต้องฟ้องในกรณีนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยยืนยันว่า 

การฟ้องในครั้งนี้ไม่ใช่การฟ้องเพื่อปิดปาก (SLAPP : Strategic lawsuit against public participation) พร้อมขอยืนยันว่า พรรคประชาชน ยังคงเคารพในเสรีภาพของการแสดงออก (Freedom of Expression) และเปิดกว้างยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ จากทั้งคนที่เห็นตรง และเห็นต่าง อยู่เสมอ
 
ผมคิดว่า เหตุผลความจำเป็นที่ต้องฟ้องในครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญอยู่ 3 ประเด็น คือ
 
1. การกล่าวหาในลักษณะที่สื่อว่าพรรคประชาชน มีส่วนเกี่ยวพันกับการก่อเหตุความรุนแรง นั้นเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ และมีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เผยแพร่ มีเจตนาที่จะเผยแพร่ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จ รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต หรือมีความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงต่อความจริง ทั้งๆ ที่อยู่ในวิสัยที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ แต่ก็ไม่กระทำ หลักฐานอ้างอิงที่นำมาเชื่อมโยงเพื่อกล่าวหา ก็ปราศจากน้ำหนักที่มีนัยสำคัญ เป็นการเชื่อมโยงเอาเองตามอคติ

ซึ่งถือเป็น “ความมุ่งร้ายโดยเจตนา” (Actual Malice)
 
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา Barry Goldwater อดีตวุฒิสมาชิก ก็เคยฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทต่อ Fact Magazine และผู้จัดพิมพ์ Ralph Ginzburg หลังจากที่นิตยสารดังกล่าวเผยแพร่บทความในปี 1964 ซึ่งอ้างว่า Goldwater มีปัญหาทางจิต และไม่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี บทความนี้ได้รับความคิดเห็นจากจิตแพทย์ที่ไม่ได้ตรวจสุขภาพจิตของ Goldwater โดยตรง ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงครั้งใหญ่ในวงการสื่อ และจิตเวชศาสตร์
ในที่สุด ศาลได้พิจารณาว่ากรณีนี้เป็น ความมุ่งร้ายโดยเจตนา (Actual Malice) และพิพากษาให้ Goldwater ชนะคดี โดยได้รับค่าชดเชย $1 และค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) อีก $75,000
 
2. การเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพรรคประชาชนโดยลำพัง แต่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อสาธารณะอย่างร้ายแรง ความเคียดแค้นชิงชังที่เกิดขึ้น จากข้อความเท็จที่ใส่ร้ายว่าพรรคประชาชนเกี่ยวพันกับการก่อเหตุรุนแรง นั้นส่งผลกระทบต่อความปรองดองของประชาชน และอาจก่อให้เกิดความแตกแยก และความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเอง การฟ้องร้องในครั้งนี้ พรรคประชาชนจึงไม่ได้ดำเนินการด้วยความโกรธ หรือต้องการที่จะตอบโต้ แต่มีเจตนาที่ต้องการจะปกป้องสาธารณะ จากผลกระทบของการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในครั้งนี้
 
ผมเชื่อว่า หากเป็นการด่าทอต่อว่าในทางที่ทำให้พรรคเสียหาย โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อสาธารณะ ต่อให้เป็นการด่าทอด้วยถ้อยคำผรุสวาท ผมก็เชื่อว่าพรรคประชาชนจะไม่มีทางฟ้องอย่างแน่นอนครับ
 
3. การฟ้องของพรรคประชาชนในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการดำเนินคดีอาญา ไม่ได้ต้องการให้ผู้เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จต้องถูกจำคุก หรือต้องรับโทษทางอาญา แต่เป็นการฟ้องร้องในทางแพ่ง เพื่อให้ผู้กระทำได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงในสิ่งที่ตนกล่าวอ้าง และในกรณีที่ผู้เผยแพร่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผู้ที่เผยแพร่ก็ควรต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะตามสมควร โดยที่พรรคไม่ได้หวังที่จะเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินทองมหาศาลจากผู้ที่กระทำ แต่อย่างใด
ผมคิดว่า หากผู้ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ยอมรับผิด และขอโทษต่อสาธารณะ พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะไม่กระทำการในลักษณะนี้อีก ผมก็เชื่อว่าพรรคประชาชน ก็พร้อมที่จะพิจารณายุติการฟ้อง หรือถอนฟ้อง การขอโทษ ก็เพียงขอโทษต่อสาธารณะก็พอครับ ไม่จำเป็นต้องขอโทษพรรคประชาชนก็ได้ พอขอโทษต่อสาธารณะเสร็จ จะกลับมาด่าพรรคประชาชนต่อเลยก็ได้ครับ จะไม่ชอบ หรือจะเกลียดพรรคประชาชนอย่างไร พวกเราพร้อมที่จะเคารพเสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech) ของประชาชนทุกคนอยู่แล้วครับ
 
หวังว่าทรรศนะของผมต่อการฟ้องของพรรคประชาชน จะทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความจำเป็นในการปกป้องสาธารณะ และมีความสบายใจมากขึ้นนะครับ ขอบคุณครับผม
 
ขณะที่ เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า “ในตลาดสินค้าทั่วไป เรายึดหลักเศรษฐกิจเสรี ใครอยากขายอะไรก็ขาย แม้กระนั้น ในกรณีที่กลไกตลาดล้มเหลว กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็จำต้องเข้ามาแทรกแซง ในกณีที่พ่อค้าตั้งใจขายสินค้าปลอม สินค้ามีตำหนิ จนผู้ซื้อไม่อาจใช้ความระมัดระวังอันควรป้องกันได้ รัฐต้องเข้ามาจัดการกับผู้ค้าที่ไม่สุจริต
 
ฉันใดก็ฉันนั้น ในตลาดความคิด marketplace of idea ทำไมเราถึงจะยืนยันหลักการตลาดเสรี เราไม่สู้กับสินค้าอันตรายด้วยการยกระดับเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ส่งเสริมให้คนผลิตสินค้าเข้าสู่ตลาดเยอะๆแล้วเชื่อว่าผู้บริโภคจะซื้อสินค้าที่ดีที่สุดไป เราก็ไม่ควรเชื่อว่า เราจะสู้กับ fake news ด้วยการยกระดับเสรีภาพการแสดงออก ยิ่งยกระดับ เสียงยิ่งระงมอื้ออึง จะหวังได้อย่างไรว่าคนจะเชื่อความคิดที่ถูกต้องหรือเที่ยงตรงที่สุดเสมอไป บ่อยครั้งเราก็ซื้อของผิด

พูดมายืดยาว คือ ในกรณีที่ตั้งใจปล่อยข่าวจนกระทบเสรีภาพคนอื่น ผู้ได้รับผลกระทบมันก็ต้อง และควรจะใช้สิทธิของตัวเองปกป้องทั้งชื่อเสียงตัวเองและสังคมโดยรวม ไม่งั้นสุดท้าย มันคือการอนุญาตให้ใช้เสรีภาพเต็มที่เพื่อทำลายเสรีภาพนั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่