JJNY : 5in1 หนีคดีตากใบผิดกี่ข้อ?│"กมธ."ผุด"นักสืบทุนเทา"│ดัชนีวันนี้ปิดลบ│เผยจีดีพีโตเต็มที่ 2.8%│จีนค้านสหภาพยุโรป

เจาะมาตรฐานจริยธรรม ขรก. - หนีคดีตากใบผิดกี่ข้อ?
https://www.isranews.org/article/south-news/scoop/132963-bailiffwasanu.html
 
 
“ทีมข่าวอิศรา” ตรวจสอบ “มาตรฐานจริยธรรม” ของข้าราชการพลเรือน เพื่อดูว่ามีช่องทางเอาผิดข้าราชการที่ลางานอย่างไม่สุจริต มีเป้าหมายที่แท้จริงเพื่อหลบหนีหมายจับคดีอาญา บ้างหรือไม่
 
เราพบว่าปัจจุบันมีกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง ชื่อว่า พระราชบัญญัติมาตรฐานจริยธรรม พ.ศ.2562 บังคับใช้ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในกฎหมายมีการบัญญัติ “มาตรฐานจริยธรรม” ที่เป็นหลักเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ เอาไว้ 7 ประการ ซึ่งทุกหน่วยงานได้นำไปประกาศในเว็บไซต์ของหน่วยงานตนแทบทั้งสิ้น
 
1. ยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศ อันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสำนึกที่ดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่
3. กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
4. คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และมีจิตสาธารณะ
5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
6. ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
7. ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ
  
กฎหมายกำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่มีองค์กรกลางบริหารงานบุคคล ไปจัดทำประมวลจริยธรรมของตนเอง
 
สำหรับมาตรฐานจริยธรรมกลาง ให้มี “คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม” หรือ ก.ม.จ. เป็นผู้รับผิดชอบดูแล โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯที่นายกฯมอบหมาย เป็นประธาน
 
น่าสังเกตว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทลงโทษสำหรับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม แต่กลับมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่จัดทำประมวลจริยธรรมของหน่วยงานตน เป็นผู้กำหนด
 
เราสืบค้นต่อไปถึงรายละเอียดมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ.
มีการยกตัวอย่างพฤติกรรมที่สอดคล้องกับมาตรฐานจริยธรรม หรือที่น่าจะเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
 
หากดูเชิงลึก มาตรฐานจริยธรรมข้อ 3 “กล้าตัดสินใจ และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม” มีการยกตัวอย่างพฤติกรรม เช่น “ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่ใช้ช่องทางทางกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น”
 
น่าสนใจว่าการกระทำของปลัดอำเภอหรือข้าราชการที่หนีหมายจับ ขัดมาตรฐานจริยธรรมข้อนี้หรือไม่ แล้วจะมีการลงโทษอย่างไร หรือแค่ตักเตือนแล้วจบไป
ศรัทธาของประชาชนต่อข้าราชการ อาจพิสูจน์กันด้วยเรื่องนี้นี่เอง
 
@@ “กูรูราชการ” ชี้ชัด ขรก.ไม่ไปศาล ผิดจริยธรรมแน่
 
“ทีมข่าวอิศรา” ได้ข้อมูลจากอดีตข้าราชการระดับสูงที่เชี่ยวชาญด้านการบริหารงานบุคคลภาครัฐ และเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กับที่ปรึกษาในรัฐบาลหลายชุด
 
อดีตข้าราชการระดับสูงรายนี้ บอกว่า กรณีข้าราชการหนีคดี ไม่ยอมไปขึ้นศาล เข้าข่ายฝ่าฝืนจริยธรรมแน่นอน เพราะข้าราชการไม่ไปศาล ไม่ได้
การตรวจสอบเรื่องนี้ ต้องย้อนไปดูว่า มีการส่งเรื่องไปให้ผู้บังคับบัญชาของข้าราชการรายนั้นหรือไม่ อย่างไร
 
กรณีของปลัดอำเภอท่าอุเทน ต้องตรวจสอบว่าปลัดกระทรวงมหาดไทย หรือผู้บังคับบัญชาลำดับต้นของปลัดอำเภอ รู้เรื่องนี้หรือไม่ ต้นสังกัดทราบเรื่องหรือไม่ เมื่อใด
 
และต้องย้อนไปที่กระทรวงยุติธรรมด้วยว่า เมื่อมีการดำเนินคดีกับข้าราชการประจำที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีระเบียบในการประสานกับหน่วยงานต้นสังกัดหรือไม่ ถ้ามี ได้ทำหรือไม่ อย่างไร
 
@@ กางระเบียบโดนคดีอาญาต้องรายงานผู้บังคับบัญชา
 
แหล่งข่าวคนเดียวกัน ยังบอกว่า เมื่อข้าราชการตกเป็นผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา ยังมีระเบียบราชการที่ต้องปฏิบัติตาม คือ “ระเบียบการรายงานตนเมื่อต้องคดีของข้าราชการพลเรือน
 
โดยการรายงานตัวเมื่อข้าราชการพลเรือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี มีการกำหนดระเบียบไว้อย่างชัดเจน อยู่ภายใต้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการพลเรือน
 
ระเบียบฉบับนี้ กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ข้าราชการต้องปฏิบัติตาม เมื่อเกิดกรณีที่อาจส่งผลต่อสถานะทางหน้าที่ราชการ โดยมีข้อกำหนดครอบคลุมการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันทีเมื่อมีคดีความ, การตรวจสอบข้อเท็จจริง, การพักงานในกรณีที่ร้ายแรง และการพิจารณาโทษทางวินัยตามผลของคดี
ระเบียบนี้ออกโดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ ก.พ. มีรายละเอียดหลักๆ ที่ข้าราชการต้องทราบและปฏิบัติ คือ
 
1. การแจ้งรายงานตัวเมื่อมีคดี
- ข้าราชการจะต้องรายงานผู้บังคับบัญชาทันทีเมื่อทราบว่าตนเองเป็นผู้ต้องหา หรือถูกกล่าวหาในคดีอาญา รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และตำแหน่งงาน
 
2. การตรวจสอบข้อเท็จจริง
- ผู้บังคับบัญชาต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อให้ข้อมูลอย่างถูกต้องและครอบคลุม
 
3. การพักงานชั่วคราว
- หากกรณีเป็นคดีที่ร้ายแรง ข้าราชการอาจถูกสั่งพักงานชั่วคราวจนกว่าผลการตรวจสอบและการพิจารณาคดีจะสิ้นสุด เพื่อรักษามาตรฐานและภาพลักษณ์ของหน่วยงาน
 
4. การพิจารณาโทษทางวินัย เมื่อสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย
- หากข้าราชการถูกตัดสินว่ามีความผิด จะต้องเข้ากระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยที่กำหนดโดยกฎหมายและระเบียบราชการ

5. การรายงานผลการดำเนินคดี
- ข้าราชการมีหน้าที่ต้องรายงานผลการดำเนินคดีให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เช่น การบันทึกข้อมูลและส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้อง
คำถามคือ ปลัดอำเภอท่าอุเทน และข้าราชการรายอื่นที่ตกเป็นผู้ต้องหาคดีตากใบ ได้ปฏิบัติตามระเบียบที่ว่านี้หรือไม่ และหากไม่ปฏิบัติ จะมีความผิดอย่างไร
 
----------------------------
ขอบคุณ : อินโฟกราฟิกจากศูนย์ส่งเสริมจริยธรรม สำนักงาน ก.พ.



"กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจฯ" ผุด "นักสืบทุนเทา" ชวนชี้เป้าธุรกิจต่างชาติผิดกฎหมาย ยอดรับแจ้งกว่า 200 เรื่องแค่สัปดาห์เดียว
https://siamrath.co.th/n/577106

วันที่ 30 ต.ค.67 ที่รัฐสภา นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล  สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคประชาชน และในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาเศรษฐกิจ ร่วมกับ นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ที่ปรึกษาและนายกกิตติมศักดิ์สมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เปิดตัวโครงการ “นักสืบทุนเทา" แพลตฟอร์มรับเรื่องร้องเรียนธุรกิจทุนเทาของชาวต่างชาติที่อาจขัดต่อกฎหมาย ผ่านแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ซึ่งตั้งเป้าสร้างความเป็นธรรมในภาคธุรกิจและเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทในการเฝ้าระวัง พร้อมช่วยชี้เป้าธุรกิจต่างชาติที่กระทำผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจไทยให้รอดพ้นจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมโดยทุนต่างชาติ
 
นายสิทธิพล กล่าวว่า   กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาทุนเทานับวันยิ่งทวีความซับซ้อน และยากที่จะจัดการได้ด้วยกลไกเดิม แม้ว่าภาคราชการจะพยายามติดตามปัญหาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม สำหรับแพลตฟอร์มนักสืบทุนเทาจะเชื่อมโยงการทำงานระหว่างประชาชนและกมธ.โดยตรง ซึ่งจะทำให้กระบวนการตรวจสอบและการดำเนินการมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจไทยให้ได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นรูปธรรม และหลังจากเปิด soft launch ไปหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งหน่วยงานราชการ และประชาชนเป็นอย่างมาก
 
ด้านนายภาวุธ  กล่าวว่า ปัญหานี้เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนได้รับผลกระทบและได้พยายามสะท้อนออกมาอย่างต่อเนื่อง โครงการนี้จึงเชิญชวนทั้งภาคเอกชนและประชาชนทุกคนให้เข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการตรวจสอบและรายงานปัญหาเพื่อสนับสนุนกลไกการทำงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  โครงการในระยะแรกจะเปิดรับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.-31 ธ.ค.  ครอบคลุม 6 ประเด็น เร่งด่วน ได้แก่ การชี้เป้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ การกระทำผิดด้านภาษี และปัญหาธุรกิจของชาวต่างชาติ โดย คาดหวังว่าจะได้รับเรื่องร้องเรียนไม่น้อยกว่า 1,000 กรณีภายในระยะเวลา 2 เดือน
นายภาวุธ กล่าวว่า ทั้งนี้จากการทดสอบระบบในช่วงสัปดาห์แรก มีประชาชนให้ความสนใจร่วมแจ้งเบาะแสแล้วกว่า 200 กรณี โดยสินค้าต่างชาติที่ไม่มี อย. เป็นเรื่องที่ได้รับการร้องเรียนสูงที่สุด ตามมาด้วยการชี้เป้าทุนต่างชาติสีเทาต้องสงสัยผิดกฎหมาย โดยกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนในการแจ้งเบาะแสจากทั่วประเทศเพิ่มเติม



ดัชนีวันนี้ปิดลบ 3.96 จุด นักลงทุนรอผลเลือกตั้งสหรัฐ
https://www.dailynews.co.th/news/4027077/

ตลาดหุ้นไทยปิดลบ 3.96 จุด ตลาดยังรอติดตามปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า
 
บรรยากาศหุ้นไทยวันที่ 30 ต.ค.67 ผันผวนในแดนบวกและลบ ตลาดยังรอติดตามปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า คือ การเลือกตั้งปธน.สหรัฐ ในวันที่ 5 พ.ย.และการทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ส่งผลให้ ณ เวลา 17.02 น. ดัชนีหุ้นปิดที่ 1,447.20 จุด ลดลง 3.96 จุด หรือ 0.27% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 39,584.25 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอปิดที่ 337.65 จุด ลดลง 0.85 จุด หรือ 0.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 747.82 ล้านบาท

รายงานข่าวจาก บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรับแรงกดดันจากผลประกอบการบจ.ที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ หลังรายงานไปแล้ว 25 บริษัท ในจำนวนนี้มีเพียง 44% และแรงจูงใจของสินทรัพย์ทางเลือกและสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางการคาดการณ์ว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งสหรัฐ และความกังวลความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงความผิดหวังต่อทิศทางนโยบายการเงินไทย แต่พอมีแรงพยุงเบา ๆ มาจากความคาดหวังมาตรการภาครัฐ

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่

1.แอดวานซ์ ปิดที่ 268.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท

2.เดลต้า ปิดที่ 131.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท

3.บีดีเอ็มเอส ปิดที่ 27.75 บาท ลดลง -0.50 บาท

4.ธ.กรุงเทพ ปิดที่ 147.00 บาท ลดลง -3.50 บาท

5.ซีพีออลล์ ปิดที่ 63.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง.



ส.ธนาคารไทย เผย จีดีพี โตเต็มที่ 2.8% แนะรัฐเน้นปฏิบัติจริง แก้ปัญหาโครงสร้าง-หนี้ครัวเรือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4874092

ส.ธนาคารไทย เผย จีดีพี ประเทศไทยโตเต็มที่ 2.8% แนะรัฐ เน้นปฏิบัติจริงแก้ปัญหาโครงสร้าง-หนี้ครัวเรือน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 ตุลาคม ที่ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ถนนพญาไท ราชเทวี กรุงเทพฯ สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดงาน สุดยอดผู้นำองค์กร ประจำปี 2567 (CEO ECONMASS Awards 2024) โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบรางวัลในครั้งนี้  และ ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “เศรษฐกิจไทย โอกาส และความท้าทายในปี 2568” โดยนายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายผยง ศรีวณิช  ประธานสมาคมธนาคารไทย และ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)

นายผยง กล่าวว่า สำหรับภาพรวมจีดีพีประเทศไทย ปี 2567 เต็มที่มากสุดอยู่ที่ 2.8% ซึ่งหากสิ้นปีจะมีลุ้นไปถึง 3 หรือไม่นั้น ส่วนตัวตนว่าก็คงจะยากหน่อย เนื่องด้วยปัจจัยของภัยธรรมชาติที่เข้ามาเป็นอุปสรรคด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่