มะเร็งเต้านมเป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านม
ทำให้เกิดเป็นก้อนมะเร็งและมีโอกาสแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย
ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากกว่า
มะเร็งเต้านมยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกเป็นอันดับต้น ๆ
ดังนั้น การป้องกันและการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตได้
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
วิธีการตรวจ มะเร็งเต้านมด้วยตนเอง
การตรวจหามะเร็งเต้านม และแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลและป้องกันโรคร้ายนี้
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Examination: BSE)
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีที่ผู้หญิงสามารถทำได้เองที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยสังเกตและตรวจหาก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านม
การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรทำทุกเดือน เพราะการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ
ช่วยให้สามารถรักษาได้ทันท่วงทีและลดความรุนแรงของโรคได้
โดยทั่วไปควรตรวจในช่วง 3-5 วันหลังจากประจำเดือนหมด
เนื่องจากในช่วงนี้เนื้อเยื่อเต้านมจะมีความอ่อนนุ่ม ทำให้ตรวจได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว สามารถเลือกวันที่ตรวจเต้านมเป็นประจำทุกเดือน
ขั้นตอนการตรวจเต้านมด้วยตนเอง
1. การสังเกตเต้านมหน้ากระจก
ยืนหน้ากระจกโดยถอดเสื้อออก สังเกตลักษณะของเต้านมทั้งสองข้าง
โดยดูขนาด รูปร่าง และลักษณะของผิวหนังบริเวณเต้านมมองหาอาการผิดปกติ
เช่น ผิวเต้านมที่เกิดรอยบุ๋มหรือย่นเหมือนเปลือกส้ม
การเปลี่ยนแปลงของสีผิวเต้านม รอยแดง รอยดึงรั้ง หัวนมที่ผิดปกติหรือยุบเข้าไป
สังเกตการเปลี่ยนแปลงในเต้านมทั้งสองข้างโดยให้แขนอยู่ข้างลำตัว ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ
และในขณะที่กำลังยกแขนดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือหัวนมหรือไม่
วางแขนลงข้างลำตัว จากนั้นใช้มือสองข้างเท้าเอวแล้วออกแรงดันเล็กน้อย
เพื่อดูว่าผิวเต้านมมีการย่นหรือการดึงรั้งใด ๆ หรือไม่
2. การคลำเต้านมในท่านอน
นอนลงบนเตียงหรือพื้นราบ วางหมอนรองใต้ไหล่ข้างหนึ่ง และยกแขนข้างเดียวกันขึ้นเหนือศีรษะ
ซึ่งจะช่วยให้เต้านมกระจายตัวออก ทำให้คลำได้ง่ายขึ้น
ใช้ปลายนิ้วมือสามนิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง) ของมือข้างตรงข้ามในการคลำเต้านม
ควรกดอย่างนุ่มนวลและใช้การเคลื่อนไหวเป็นวงกลม
เริ่มคลำจากหัวนมและไล่ออกไปยังขอบนอกของเต้านม เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ควรทำเป็นวงกลมจากบริเวณหัวนมออกไปจนถึงขอบเต้านม และทำการคลำอย่างน้อย 3 ระดับ คือ การกดเบา ๆ
เพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นตื้น การกดระดับปานกลางเพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นกลาง และการกดลึกเพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นลึก
อย่าลืมคลำบริเวณรักแร้ด้วย เพราะมะเร็งเต้านมบางครั้งอาจเริ่มต้นจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น
หลังจากคลำเสร็จแล้ว ให้บีบหัวนมเบา ๆ เพื่อดูว่ามีสารคัดหลั่งออกมาหรือไม่
หากมีของเหลวออกมา หรือหากพบก้อนเนื้อผิดปกติ ควรไปพบแพทย์ทันที
3. การคลำเต้านมในขณะยืน
ในขณะที่อาบน้ำเป็นเวลาที่สะดวกสำหรับการคลำเต้านม เพราะผิวหนังเปียกและลื่น ช่วยให้คลำได้ง่ายขึ้น
ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะแล้วใช้มืออีกข้างคลำเต้านมในทิศทางเดียวกับที่ทำในท่านอน โดยเริ่มจากหัวนมแล้วค่อย ๆ คลำออกไปทางรอบ ๆ
สัญญาณเตือนของมะเร็งเต้านมที่ควรระวัง
ก้อนเนื้อหรือความผิดปกติที่รู้สึกได้ในเต้านมหรือรักแร้
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเต้านม เช่น การบุ๋ม รอยย่น หรือผิวที่คล้ายเปลือกส้ม
หัวนมมีการดึงรั้งหรือยุบเข้าไป
มีของเหลวไหลออกจากหัวนมที่ไม่ใช่น้ำนม โดยเฉพาะถ้ามีเลือดปน
ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ
ความเจ็บปวดบริเวณเต้านมหรือรักแร้ที่ไม่หายไป
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีง่ายและมีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะแรกเริ่ม
ซึ่งหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
และหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
การตรวจเต้านมโดยแพทย์ (Clinical Breast Examination: CBE)
ผู้หญิงควรตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
แพทย์จะทำการตรวจลักษณะเต้านมโดยละเอียด เช่น การคลำก้อนเนื้อผิดปกติ
หรือการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังรอบเต้านมที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ
การตรวจโดยแพทย์มักจะใช้ร่วมกับการตรวจเต้านมด้วยตนเอง
แมมโมแกรม (Mammogram)
แมมโมแกรมเป็นการตรวจทางรังสีที่ใช้ในการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น
ซึ่งสามารถตรวจพบได้ก่อนที่อาการหรือก้อนเนื้อจะสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
การตรวจนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
แต่แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจในอายุน้อยกว่านี้หากมีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งเต้านม
แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการตรวจหามะเร็งในระยะที่ยังไม่แสดงอาการ
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ (Breast Ultrasound)
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์มักใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการตรวจหาก้อนเนื้อในเต้านมที่ตรวจพบจากแมมโมแกรม
การใช้อัลตราซาวด์จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของก้อนเนื้อ
และสามารถบอกได้ว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นก้อนเนื้อที่มีของเหลวหรือเป็นเนื้อแข็ง
ซึ่งเป็นการตรวจที่มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาและทำให้การตรวจแมมโมแกรมไม่สามารถให้ภาพที่ชัดเจนได้
การตรวจด้วย MRI (Magnetic Resonance Imaging)
MRI เป็นวิธีการตรวจที่ละเอียดมากขึ้น ซึ่งมักใช้ในการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง MRI
จะช่วยให้เห็นภาพของเนื้อเยื่อเต้านมได้ชัดเจนมากขึ้น และสามารถระบุรายละเอียดของก้อนเนื้อได้ดีกว่าแมมโมแกรมในบางกรณี
การตรวจทางพันธุกรรมและประวัติครอบครัว
ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 ควรได้รับการตรวจทางพันธุกรรม
เพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม การตรวจนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในอนาคตได้
เช่น การป้องกันโดยการผ่าตัดเต้านมออกเพื่อป้องกัน (Preventive Mastectomy) หรือการติดตามการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดมากขึ้น
การดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
โภชนาการที่ดีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้ การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
เน้นการรับประทานผักผลไม้มากขึ้น และลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว
ควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม และอาหารที่มีไขมันทรานส์มาก
ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือสัปดาห์ละ 5 วัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
การเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเท่านั้น
แต่ยังช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมด้วย
การควบคุมน้ำหนักตัว
น้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะหลังจากหมดประจำเดือน เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
เนื่องจากไขมันในร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เซลล์เติบโตผิดปกติ
ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้
การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม การดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน
แม้ในปริมาณน้อย ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=kI0XHVLXcMk


มารู้จักกับ..วิธีการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง
ทำให้เกิดเป็นก้อนมะเร็งและมีโอกาสแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ทั่วร่างกาย
ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย แม้ว่าผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากกว่า
มะเร็งเต้านมยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกเป็นอันดับต้น ๆ
ดังนั้น การป้องกันและการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตได้
วันนี้พี่หมอฝั่งธน...จะมาให้ความรู้
การตรวจหามะเร็งเต้านม และแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดูแลและป้องกันโรคร้ายนี้
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง (Breast Self-Examination: BSE)
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีที่ผู้หญิงสามารถทำได้เองที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อช่วยสังเกตและตรวจหาก้อนเนื้อหรือการเปลี่ยนแปลงผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านม
การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรทำทุกเดือน เพราะการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ
ช่วยให้สามารถรักษาได้ทันท่วงทีและลดความรุนแรงของโรคได้
โดยทั่วไปควรตรวจในช่วง 3-5 วันหลังจากประจำเดือนหมด
เนื่องจากในช่วงนี้เนื้อเยื่อเต้านมจะมีความอ่อนนุ่ม ทำให้ตรวจได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว สามารถเลือกวันที่ตรวจเต้านมเป็นประจำทุกเดือน
1. การสังเกตเต้านมหน้ากระจก
ยืนหน้ากระจกโดยถอดเสื้อออก สังเกตลักษณะของเต้านมทั้งสองข้าง
โดยดูขนาด รูปร่าง และลักษณะของผิวหนังบริเวณเต้านมมองหาอาการผิดปกติ
เช่น ผิวเต้านมที่เกิดรอยบุ๋มหรือย่นเหมือนเปลือกส้ม
การเปลี่ยนแปลงของสีผิวเต้านม รอยแดง รอยดึงรั้ง หัวนมที่ผิดปกติหรือยุบเข้าไป
สังเกตการเปลี่ยนแปลงในเต้านมทั้งสองข้างโดยให้แขนอยู่ข้างลำตัว ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ
และในขณะที่กำลังยกแขนดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือหัวนมหรือไม่
วางแขนลงข้างลำตัว จากนั้นใช้มือสองข้างเท้าเอวแล้วออกแรงดันเล็กน้อย
เพื่อดูว่าผิวเต้านมมีการย่นหรือการดึงรั้งใด ๆ หรือไม่
2. การคลำเต้านมในท่านอน
นอนลงบนเตียงหรือพื้นราบ วางหมอนรองใต้ไหล่ข้างหนึ่ง และยกแขนข้างเดียวกันขึ้นเหนือศีรษะ
ซึ่งจะช่วยให้เต้านมกระจายตัวออก ทำให้คลำได้ง่ายขึ้น
ใช้ปลายนิ้วมือสามนิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง) ของมือข้างตรงข้ามในการคลำเต้านม
ควรกดอย่างนุ่มนวลและใช้การเคลื่อนไหวเป็นวงกลม
เริ่มคลำจากหัวนมและไล่ออกไปยังขอบนอกของเต้านม เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
ควรทำเป็นวงกลมจากบริเวณหัวนมออกไปจนถึงขอบเต้านม และทำการคลำอย่างน้อย 3 ระดับ คือ การกดเบา ๆ
เพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นตื้น การกดระดับปานกลางเพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นกลาง และการกดลึกเพื่อคลำเนื้อเยื่อชั้นลึก
อย่าลืมคลำบริเวณรักแร้ด้วย เพราะมะเร็งเต้านมบางครั้งอาจเริ่มต้นจากต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น
หลังจากคลำเสร็จแล้ว ให้บีบหัวนมเบา ๆ เพื่อดูว่ามีสารคัดหลั่งออกมาหรือไม่
หากมีของเหลวออกมา หรือหากพบก้อนเนื้อผิดปกติ ควรไปพบแพทย์ทันที
3. การคลำเต้านมในขณะยืน
ในขณะที่อาบน้ำเป็นเวลาที่สะดวกสำหรับการคลำเต้านม เพราะผิวหนังเปียกและลื่น ช่วยให้คลำได้ง่ายขึ้น
ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะแล้วใช้มืออีกข้างคลำเต้านมในทิศทางเดียวกับที่ทำในท่านอน โดยเริ่มจากหัวนมแล้วค่อย ๆ คลำออกไปทางรอบ ๆ
สัญญาณเตือนของมะเร็งเต้านมที่ควรระวัง
ก้อนเนื้อหรือความผิดปกติที่รู้สึกได้ในเต้านมหรือรักแร้
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเต้านม เช่น การบุ๋ม รอยย่น หรือผิวที่คล้ายเปลือกส้ม
หัวนมมีการดึงรั้งหรือยุบเข้าไป
มีของเหลวไหลออกจากหัวนมที่ไม่ใช่น้ำนม โดยเฉพาะถ้ามีเลือดปน
ขนาดหรือรูปร่างของเต้านมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ
ความเจ็บปวดบริเวณเต้านมหรือรักแร้ที่ไม่หายไป
การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นวิธีง่ายและมีประสิทธิภาพที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะแรกเริ่ม
ซึ่งหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น การตรวจเต้านมด้วยตนเองควรทำอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
และหากพบความผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม
ผู้หญิงควรตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
แพทย์จะทำการตรวจลักษณะเต้านมโดยละเอียด เช่น การคลำก้อนเนื้อผิดปกติ
หรือการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังรอบเต้านมที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติ
การตรวจโดยแพทย์มักจะใช้ร่วมกับการตรวจเต้านมด้วยตนเอง
แมมโมแกรม (Mammogram)
แมมโมแกรมเป็นการตรวจทางรังสีที่ใช้ในการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น
ซึ่งสามารถตรวจพบได้ก่อนที่อาการหรือก้อนเนื้อจะสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
การตรวจนี้เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
แต่แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจในอายุน้อยกว่านี้หากมีประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งเต้านม
แมมโมแกรมเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการตรวจหามะเร็งในระยะที่ยังไม่แสดงอาการ
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์ (Breast Ultrasound)
การตรวจด้วยอัลตราซาวด์มักใช้เป็นเครื่องมือเสริมในการตรวจหาก้อนเนื้อในเต้านมที่ตรวจพบจากแมมโมแกรม
การใช้อัลตราซาวด์จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของก้อนเนื้อ
และสามารถบอกได้ว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นก้อนเนื้อที่มีของเหลวหรือเป็นเนื้อแข็ง
ซึ่งเป็นการตรวจที่มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาและทำให้การตรวจแมมโมแกรมไม่สามารถให้ภาพที่ชัดเจนได้
การตรวจด้วย MRI (Magnetic Resonance Imaging)
MRI เป็นวิธีการตรวจที่ละเอียดมากขึ้น ซึ่งมักใช้ในการตรวจหามะเร็งเต้านมในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง MRI
จะช่วยให้เห็นภาพของเนื้อเยื่อเต้านมได้ชัดเจนมากขึ้น และสามารถระบุรายละเอียดของก้อนเนื้อได้ดีกว่าแมมโมแกรมในบางกรณี
การตรวจทางพันธุกรรมและประวัติครอบครัว
ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 ควรได้รับการตรวจทางพันธุกรรม
เพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม การตรวจนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในอนาคตได้
เช่น การป้องกันโดยการผ่าตัดเต้านมออกเพื่อป้องกัน (Preventive Mastectomy) หรือการติดตามการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดมากขึ้น
การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
โภชนาการที่ดีช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมได้ การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์
เน้นการรับประทานผักผลไม้มากขึ้น และลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว
ควรหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม และอาหารที่มีไขมันทรานส์มาก
ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรือสัปดาห์ละ 5 วัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
การเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเท่านั้น
แต่ยังช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมด้วย
การควบคุมน้ำหนักตัว
น้ำหนักตัวที่มากเกินไป โดยเฉพาะหลังจากหมดประจำเดือน เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม
เนื่องจากไขมันในร่างกายสามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เซลล์เติบโตผิดปกติ
ดังนั้นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้
การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
แอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม การดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน
แม้ในปริมาณน้อย ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ความรู้เพิ่มเติม
https://www.youtube.com/watch?v=kI0XHVLXcMk