พระภิกษุ ก็เหมือนกับคฤหัสถ์ ที่ต่างก็เป็นผู้อยู่ในระหว่างทางที่ดำเนินไปสู่ที่สุดแห่งสังสารวัฏ
แต่ภิกษุมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกตนมากกว่า
พระภิกษุรูปใดฝึกตนได้มากหรือน้อย
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้พิจารณาจากวัตรปฏิบัติ และการแสดงออกของพระรูปนั้น
ในสมัยพุทธกาล..
พระพุทธเจ้าทรงเผชิญกับข้อกล่าวหาต่างๆ
แต่พระองค์ก็ไม่ทรงตอบโต้แต่อย่างใด
รอเพียงให้ข้อเท็จจริงนั้นปรากฏเท่านั้น
แต่พระภิกษุผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ในกาลร่วมสมัยนี้
ถึงจะอ้างว่าได้แสดงเทศนาข้ออรรถข้อธรรมตามยุคตามสมัย
แต่อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น ..
กลับออกมาโต้ตอบคฤหัสถ์อย่างรุนแรง
ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป
อันทำให้ศรัทธาไทยตกไป
และเป็นอาบัติในพระธรรมวินัยเข่นเดียวกัน
ไม่ต่างจาก กุลทูสกสิกขาบท ในเรื่องการประจบเอาใจคฤหัสถ์
นอกจากนี้..
ยังดูเหมือนมีการหากองหนุน
โดยการนำพระรูปอื่นๆที่รับนิมนต์มาเป็นแบ็คอัพ
และถ้อยคำที่ตอบโต้พิธีกร
ก็เหมือนเป็นการข่มขู่พิธีกร
โดยเอาลูกศิษย์ของตนมาเป็นข้ออ้าง
ว่าคนเหล่านั้นไม่พอใจนะ..
เพื่อความเป็นธรรมแก่พระภิกษุ..
การรับกิจนิมนต์เป็นกิจที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่สงฆ์
เพื่อรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
ตาลปัตรในยุคนี้
ที่เห็นปักเป็นชื่อ บุคคล หน่วยงาน องค์กร ฯลฯ
ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ยุคสมัยนี้..
เมื่อพระรับกิจนิมนต์ โยมก็มักถวายปัจจัยให้
ยิ่งเป็นพระเซเลบ ก็มีขั้นต่ำอยู่เหมือนกัน
หาไม่แล้ว..คงไม่มีการรับนิมนต์อีกเป็นซ้ำสอง
เมื่อฟังคลิปอื้อฉาวแล้ว จับประเด็นได้ว่า..
มีการใช้คำว่า" บอส"
มีการชักจูงให้หาคอร์สเรียน
มีการใช้คำว่า ถ้าอยากรวยเร็ว ก็....
ฯลฯ
แม้จะบอกว่าเป็นการเทศน์ร่วมสมัย
ประชดประชัน ตามประสานักพูด ก็ตาม
นักพูดที่ดี..ก็ควรรู้กาละ เทศะ และสถานภาพของตน
ว่าสิ่งใดควร ไม่ควรต่อคำพูดนั้นๆ
แม้จะไม่รู้ว่าธุรกิจที่ตนเองไปแสดงธรรมนั้น เป็นอย่างไร
ยิ่งเมื่อมีหมวกสวมอยู่หลายใบ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก
เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และกระทบต่อศรัทธา
ยิ่งมียศช้าง ขุนนางพระ มีชื่อเสียง
ก็ยิ่งต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นเท่าทวีคูณ
มิใช่จะถือตนว่ามีชื่อเสียง แล้วจะเทศน์อย่างไรก็ได้
เหมือนที่ท่านออกมาตอบโต้พิธีกรว่า
อย่าคิดว่ามีเสียงดังแล้ว จะพูดอย่างไรก็ได้
การออกมากล่าวหาพิธีกรด้วยคำเป็นต้นว่า
เป็นฆาตกรต่อเนื่องหรือไม่ นั้น
ยิ่งเป็นการทำให้ปัญหามันลุกลามออกไปมากขึ้น
ทุกอย่างจะแย่ลงไปตามลำดับ
ยิ่งเป็นพระที่มีชื่อเสียงแล้ว
ก็ยิ่งเพิ่มความอื้อฉาวต่อพระศาสนาต่อไปอีก
สมควรแก่เวลาหรือยัง..
ที่มหาเถรสมาคมจะเร่งพิจารณา
ให้พุทธศาสนิกชนคลายความสงสัย
ว่าพระนักเทศน์ท่านประพฤติสมควร หรือไม่สมควรตรงไหนหรือไม่?
หรือจะปล่อยให้สังคมวิพากย์วิจารณ์กันต่อไป
เพราะเรื่องแบบนี้..
สังคมคง อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น..
ป.ล. เมื่ออ่านเนื้อหาที่ท่านออกมาตอบโต้แล้ว
น่าจะเป็นสิ่งที่ท่านโพสเอวลง ไม่น่าใช่แอดมินนะจ๊ะ
แค่สงสัย...เมื่อพระอดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น ?
แต่ภิกษุมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกตนมากกว่า
พระภิกษุรูปใดฝึกตนได้มากหรือน้อย
ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้พิจารณาจากวัตรปฏิบัติ และการแสดงออกของพระรูปนั้น
ในสมัยพุทธกาล..
พระพุทธเจ้าทรงเผชิญกับข้อกล่าวหาต่างๆ
แต่พระองค์ก็ไม่ทรงตอบโต้แต่อย่างใด
รอเพียงให้ข้อเท็จจริงนั้นปรากฏเท่านั้น
แต่พระภิกษุผู้เป็นศิษย์ของพระองค์ในกาลร่วมสมัยนี้
ถึงจะอ้างว่าได้แสดงเทศนาข้ออรรถข้อธรรมตามยุคตามสมัย
แต่อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น ..
กลับออกมาโต้ตอบคฤหัสถ์อย่างรุนแรง
ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมแก่สมณสารูป
อันทำให้ศรัทธาไทยตกไป
และเป็นอาบัติในพระธรรมวินัยเข่นเดียวกัน
ไม่ต่างจาก กุลทูสกสิกขาบท ในเรื่องการประจบเอาใจคฤหัสถ์
นอกจากนี้..
ยังดูเหมือนมีการหากองหนุน
โดยการนำพระรูปอื่นๆที่รับนิมนต์มาเป็นแบ็คอัพ
และถ้อยคำที่ตอบโต้พิธีกร
ก็เหมือนเป็นการข่มขู่พิธีกร
โดยเอาลูกศิษย์ของตนมาเป็นข้ออ้าง
ว่าคนเหล่านั้นไม่พอใจนะ..
เพื่อความเป็นธรรมแก่พระภิกษุ..
การรับกิจนิมนต์เป็นกิจที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่สงฆ์
เพื่อรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
ตาลปัตรในยุคนี้
ที่เห็นปักเป็นชื่อ บุคคล หน่วยงาน องค์กร ฯลฯ
ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่ยุคสมัยนี้..
เมื่อพระรับกิจนิมนต์ โยมก็มักถวายปัจจัยให้
ยิ่งเป็นพระเซเลบ ก็มีขั้นต่ำอยู่เหมือนกัน
หาไม่แล้ว..คงไม่มีการรับนิมนต์อีกเป็นซ้ำสอง
เมื่อฟังคลิปอื้อฉาวแล้ว จับประเด็นได้ว่า..
มีการใช้คำว่า" บอส"
มีการชักจูงให้หาคอร์สเรียน
มีการใช้คำว่า ถ้าอยากรวยเร็ว ก็....
ฯลฯ
แม้จะบอกว่าเป็นการเทศน์ร่วมสมัย
ประชดประชัน ตามประสานักพูด ก็ตาม
นักพูดที่ดี..ก็ควรรู้กาละ เทศะ และสถานภาพของตน
ว่าสิ่งใดควร ไม่ควรต่อคำพูดนั้นๆ
แม้จะไม่รู้ว่าธุรกิจที่ตนเองไปแสดงธรรมนั้น เป็นอย่างไร
ยิ่งเมื่อมีหมวกสวมอยู่หลายใบ ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก
เพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และกระทบต่อศรัทธา
ยิ่งมียศช้าง ขุนนางพระ มีชื่อเสียง
ก็ยิ่งต้องเพิ่มความรอบคอบเป็นเท่าทวีคูณ
มิใช่จะถือตนว่ามีชื่อเสียง แล้วจะเทศน์อย่างไรก็ได้
เหมือนที่ท่านออกมาตอบโต้พิธีกรว่า
อย่าคิดว่ามีเสียงดังแล้ว จะพูดอย่างไรก็ได้
การออกมากล่าวหาพิธีกรด้วยคำเป็นต้นว่า
เป็นฆาตกรต่อเนื่องหรือไม่ นั้น
ยิ่งเป็นการทำให้ปัญหามันลุกลามออกไปมากขึ้น
ทุกอย่างจะแย่ลงไปตามลำดับ
ยิ่งเป็นพระที่มีชื่อเสียงแล้ว
ก็ยิ่งเพิ่มความอื้อฉาวต่อพระศาสนาต่อไปอีก
สมควรแก่เวลาหรือยัง..
ที่มหาเถรสมาคมจะเร่งพิจารณา
ให้พุทธศาสนิกชนคลายความสงสัย
ว่าพระนักเทศน์ท่านประพฤติสมควร หรือไม่สมควรตรงไหนหรือไม่?
หรือจะปล่อยให้สังคมวิพากย์วิจารณ์กันต่อไป
เพราะเรื่องแบบนี้..
สังคมคง อดทนไม่ได้ ใจเย็นไม่พอ และรอไม่เป็น..
ป.ล. เมื่ออ่านเนื้อหาที่ท่านออกมาตอบโต้แล้ว
น่าจะเป็นสิ่งที่ท่านโพสเอวลง ไม่น่าใช่แอดมินนะจ๊ะ