หน้าที่ของพุทธบริษัท คือ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทำลายพระพุทธศาสนาด้วยการสนับสนุนส่งเสริมให้พระภิกษุละเมิดพระธรรมวินัย ถวายเงินแก่พระภิกษุ ซึ่งขัดกับพระวินัยของพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า "อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงินอันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์."
พระภิกษุที่รับและยินดีในเงินทอง ต้องอาบัติ มีโทษ จะพ้นอาบัติได้ คือ ต้องสละเงินทองที่ตนมีทั้งหมดท่ามกลางสงฆ์ ถ้าปลงอาบัติ แต่ ยังเก็บเงิน ยินดีในเงินที่คนอื่นเก็บให้ อาบัติไม่ตก ตายไปมีแต่ต้องตกนรกเท่านั้น ชาวพุทธจะทำลายท่านให้ตกนรกหรือโดยการให้เงินพระ หรือ ควรให้ปัจจัย 4 ที่สมควร มี จีวร อาหาร เสนาสนะที่อยู่ และ ยา เภสัช อันทำให้พระไม่ต้องอาบัติ
คฤหัสถ์ให้เงินกับกองกลางวัด โดยคฤหัสถ์จัดการ ไม่ถวายกับพระภิกษุโดยตรง ก็ช่วยทำให้ท่านพ้นนรก ไม่อาบัติ และยังสามารถดูแลค่าน้ำค่าไฟของวัด ค่ายา ค่าหมอ ค่าปัจจัย 4 ของพระได้ โดยคฤหัสถ์จัดการจากเงินกองกลาง กระทำถูกก็ช่วยดูแลพระพุทธศาสนาและสมเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เพราะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำตามความคิดตนเอง หรือ ภิกษุรูปใดกล่าวว่าไม่เป็นไร แต่ให้เงินพระ พระตกนรก คนให้ไม่ได้บุญ ทำลายท่าน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้ :-พระบัญญัติ ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ (อปายสูตร) หน้า ๓๒๗
“คนเป็นอันมาก อันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย, ก้อนเหล็กร้อน เปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐกว่า, ผู้ทุศีล ไม่สำรวม บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร”
นาทีที่ 6 เป็นต้นไป
อ.สุจินต์: "มีอุบาสกอุบาสิกาที่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยแม้ในยุคนี้สมัยนี้ พยายามที่จะเกื้อกูลอุปัฏฐากพระภิกษุทุกอย่าง
โดยที่ไม่ถวายเงินและทอง เพราะฉะนั้นก็เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง และก็ไมว่าในกาลสมัยไหน ถ้ามีโยมอุปัฏฐากให้ความสะดวกสบายแก่พระคุณเจ้า เงินไม่มีความหมายเลย
สำหรับคฤหัสถ์จำเป็นที่จะต้องมีเงินทองเพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีลที่คนอื่นจะอุปัฏฐากหรือว่าเกื้อกูล แต่สำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิตนั้น เป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนสละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ สละลาภยศสักการะสรรเสริญ เพื่อละคลายกิเลส เพราะฉะนั้น ชีวิตของบรรพชิตจึงต่างกับคฤหัสถ์
พระภิกษุท่านมีชีวิตอยู่ด้วย.....จะใช้คำว่าการขอจากคฤหัสถ์ แต่ว่าไม่ใช่ในลักษณะของขอ แต่เป็นในลักษณะที่ว่าเมื่อคฤหัสใดมีศรัทธา แม้แต่อาหารบิณฑบาตเนี่ยค่ะ พระภิกษุจะไม่มีการขอเลย ท่านจะเดินบิณฑบาตแล้วก็มีอุบาสกอุบาสิกาที่เห็นพระภิกษุเดินถือบาตรมา ก็เกิดศรัทธานิมนต์ให้รับบิณฑบาต ท่านจึงจะหยุดเพื่อที่จะรับ แต่ท่านจะไม่มีการที่จะไปรบกวนที่จะขอบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่อาศัยเพศคือเป็นผู้ที่ทรงศีล ทำให้ผู้อื่นเห็นควรที่จะอุปัฏฐากท่านให้ได้รับความสะดวกความสบายทุกประการไม่ว่าในเรื่องของที่อยู่อาศัย ในเรื่องของอาหารบิณฑบาต หรือในเรื่องของปัจจัย 4
เพราะฉะนั้น ถ้าอุบาสกอุบาสิกาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จะเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยได้โดยการที่ถวายความสะดวกแล้วแต่ที่สามารถจะเป็นไปได้ในกรณีต่างๆ เรื่องการเดินทาง เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องการป่วยไข้ ทุกอย่างนะคะ เพียบพร้อมก็ไม่มีทางที่ท่านจะต้องเดือดร้อน หรือว่าเงินทองก็ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับท่านเลย
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่หวังที่จะเกื้อกูลต่อพระธรรมวินัยและ
เพื่อที่จะไม่ทำลายพระภิกษุท่านนะคะ ก็ควรที่จะได้อุปัฏฐากท่านโดยไม่ถวายเงิน
ไม่ทราบท่านผู้ฟังคิดว่าจะเป็นไปได้มั้ยคะในสมัยนี้
ถ้ามีความขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำตัวเป็นอุปัฏฐาก ย่อมทำได้ค่ะ เพราะเหตุว่าอุบาสกอุบาสิกาย่อมมีมากกว่าจำนวนพระภิกษุ แม้ว่าจะมีกิจการงานธุรกรรมต่างๆ แต่อาศัยจำนวนมากก็พอที่จะแบ่งเบาการที่จะอุปัฏฐากพระภิกษุได้โดยที่ไม่ทำให้ท่านต้องเศร้าหมองในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าจะต้องเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่ว่าจะในเพศของบรรพชิตหรือในเพศของคฤหัสถ์นั้น ก็คือการรักษาความประพฤติทางกายทางวาจาไม่ให้เป็นกายทุจริตและวจีทุจริต เพราะเหตุว่าเรื่องของจิตใจที่จะไม่ให้เป็นอกุศลนั้นยาก ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีอกุศลใดๆเลยทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ก็ย่อมจะรู้ว่า แม้จิตใจจะเป็นอกุศลก็อย่าให้ถึงขั้นรุนแรงที่จะล่วงออกมาเป็นกายทุจริตและวจีทุจริต"
ถ้าชาวพุทธร่วมมือร่วมแรงกันเป็นโยมอุปัฏฐาก (โดยไม่ถวายเงิน)ให้แก่พระภิกษุที่วัดใกล้บ้าน ก็จะเป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
นาทีที่ 6 เป็นต้นไป
อ.สุจินต์: "มีอุบาสกอุบาสิกาที่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยแม้ในยุคนี้สมัยนี้ พยายามที่จะเกื้อกูลอุปัฏฐากพระภิกษุทุกอย่าง โดยที่ไม่ถวายเงินและทอง เพราะฉะนั้นก็เป็นที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง และก็ไมว่าในกาลสมัยไหน ถ้ามีโยมอุปัฏฐากให้ความสะดวกสบายแก่พระคุณเจ้า เงินไม่มีความหมายเลย
สำหรับคฤหัสถ์จำเป็นที่จะต้องมีเงินทองเพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีลที่คนอื่นจะอุปัฏฐากหรือว่าเกื้อกูล แต่สำหรับผู้ที่เป็นบรรพชิตนั้น เป็นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนสละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ สละลาภยศสักการะสรรเสริญ เพื่อละคลายกิเลส เพราะฉะนั้น ชีวิตของบรรพชิตจึงต่างกับคฤหัสถ์
พระภิกษุท่านมีชีวิตอยู่ด้วย.....จะใช้คำว่าการขอจากคฤหัสถ์ แต่ว่าไม่ใช่ในลักษณะของขอ แต่เป็นในลักษณะที่ว่าเมื่อคฤหัสใดมีศรัทธา แม้แต่อาหารบิณฑบาตเนี่ยค่ะ พระภิกษุจะไม่มีการขอเลย ท่านจะเดินบิณฑบาตแล้วก็มีอุบาสกอุบาสิกาที่เห็นพระภิกษุเดินถือบาตรมา ก็เกิดศรัทธานิมนต์ให้รับบิณฑบาต ท่านจึงจะหยุดเพื่อที่จะรับ แต่ท่านจะไม่มีการที่จะไปรบกวนที่จะขอบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่อาศัยเพศคือเป็นผู้ที่ทรงศีล ทำให้ผู้อื่นเห็นควรที่จะอุปัฏฐากท่านให้ได้รับความสะดวกความสบายทุกประการไม่ว่าในเรื่องของที่อยู่อาศัย ในเรื่องของอาหารบิณฑบาต หรือในเรื่องของปัจจัย 4
เพราะฉะนั้น ถ้าอุบาสกอุบาสิกาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จะเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยได้โดยการที่ถวายความสะดวกแล้วแต่ที่สามารถจะเป็นไปได้ในกรณีต่างๆ เรื่องการเดินทาง เรื่องความเป็นอยู่ เรื่องการป่วยไข้ ทุกอย่างนะคะ เพียบพร้อมก็ไม่มีทางที่ท่านจะต้องเดือดร้อน หรือว่าเงินทองก็ไม่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับท่านเลย
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่หวังที่จะเกื้อกูลต่อพระธรรมวินัยและเพื่อที่จะไม่ทำลายพระภิกษุท่านนะคะ ก็ควรที่จะได้อุปัฏฐากท่านโดยไม่ถวายเงิน
ไม่ทราบท่านผู้ฟังคิดว่าจะเป็นไปได้มั้ยคะในสมัยนี้ ถ้ามีความขยันหมั่นเพียรที่จะกระทำตัวเป็นอุปัฏฐาก ย่อมทำได้ค่ะ เพราะเหตุว่าอุบาสกอุบาสิกาย่อมมีมากกว่าจำนวนพระภิกษุ แม้ว่าจะมีกิจการงานธุรกรรมต่างๆ แต่อาศัยจำนวนมากก็พอที่จะแบ่งเบาการที่จะอุปัฏฐากพระภิกษุได้โดยที่ไม่ทำให้ท่านต้องเศร้าหมองในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าจะต้องเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่ว่าจะในเพศของบรรพชิตหรือในเพศของคฤหัสถ์นั้น ก็คือการรักษาความประพฤติทางกายทางวาจาไม่ให้เป็นกายทุจริตและวจีทุจริต เพราะเหตุว่าเรื่องของจิตใจที่จะไม่ให้เป็นอกุศลนั้นยาก ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีอกุศลใดๆเลยทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ ผู้ที่เห็นโทษของอกุศล ก็ย่อมจะรู้ว่า แม้จิตใจจะเป็นอกุศลก็อย่าให้ถึงขั้นรุนแรงที่จะล่วงออกมาเป็นกายทุจริตและวจีทุจริต"