อานาปานสติ vs การดูจิต

อานาปานสติ vs การดูจิต

           วันนี้จะมาเปรียบเทียบ การภาวนา(ตามหลักของสติปัฏฐานสี่) ด้วยวิธีอานาปานสติ และ วิธี การดูจิต  

          ก่อนเข้าเรื่อง 
          ครั้งก่อนผมได้ตั้งกระทู้ และผมได้ว่าให้บางท่านแรงไป พอคิดได้ก็ต้องขอกราบขมาท่านเหล่านั้นด้วย ผมอ่านทุกข้อความและได้พิจารณา เห็นว่าหลายท่านให้ความรู้ที่ดี ก็จะน้อมรับมาพิจารณาครับ
          การตั้งกระทู้ของผมส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่วิธีการ หลักการว่าด้วยการภาวนาในแนวทางเพื่อการบรรลุธรรม เสียมากกว่า การตั้งกระทู้จึงเป็นรูปแบบ โยนหินถามทาง เพื่อมีคนเข้าใจดีกว่า เหตุผลดีกว่า ก็น้อมไปพิจารณาครับ มิได้ตั้งใจว่าจะเป็น อย่างอื่นครับ
       อีกอย่างหนึ่ง มีท่านหนึ่งถามผมว่า ทำไม ชอบมาโพสว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้  แล้วผมเข้าใจว่าอย่างนี้  อันนี้ เพราะหลีกเลี่ยง คำกล่าวหาว่าผมกล่าวตู่พระพุทธเจ้า  ความเชื่อของผมก็มาจากเหตุจากผลที่ผมฟังพระสูตร นั้นแหละ แต่เพียงว่าแต่ละคนเข้าใจไม่เหมือนกัน ก็อยู่ที่คนอ่านว่า จะต้องพิจารณาเหตุผลด้วย สติปัญญาของท่าน ผมไม่ก้าวล่วงบังคับใคร ให้เกียรติ์ท่านผู้อ่านครับ  ถอดหัวโขน ถอดทุกอย่างทิ้งไว้ แล้วมาวิญญาณมาคุยกันครับ

        เข้าเรื่อง
         วันนี้ขอจะมาเปรียบเทียบ การภาวนาด้วย อานาปานสติ และ การดูจิต  ซึ่งก็เรียนเชิญ ท่านมาคอมเม้นท์นะครับ เต็มที่ครับ ไม่ต้องกลัวผมโกรธครับ แต่ขอให้เป็นวิชาการด้วยก็จะยิ่งดีครับ

           การทำสติปัฏฐานสี่ นั้น จะประกอบด้วยหลายฐาน แต่ขั้นตอนการภาวนานั้น

           ขั้นตอนแรก จะต้องสร้าง สติ และสัมปชัญญะ  ให้เกิดควบคู่กัน   เมื่อสติ เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อกลายไปเป็นจิตตั้งมั้น  (จิตเป็นสมาธิ)  และสัมปชัญญะ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น ญาณ  (อันนี้มีคนแย้งมากไม่เป็นไรผ่านไปก่อน)  จะต้องมีสองอย่างนี้ไม่มากก็ ต้องมีพอสมควรจึงก้าวไปขั้นต่อไป

     ขั้นต่อมา  เมื่อสติและสัมปชัญญะ มีอย่างพร้อม แล้ว ก็ต้องมาสู่การน้อมจิต    การน้อมจิต ในกระทู้เก่าผมได้อธิบายและถกเถียงมีผู้ให้ความรู้หลายท่านอยู่ครับ  การน้อมจิตก็คือการ พิจารณา ความเป็นไตรลักษณ์ของ ขันธ์ห้า  อันนี้ คำว่าขันธ์ห้า นั้น บางท่านก็ให้ความหมายว่ามันคือ กายและใจ  การน้อมจิต ยกตัวอย่างเช่นขณะภาวนา จิตเคลื่อนไปเช่นใจลอย เราก็พิจารณาว่า จิตเป็นอนัตตาสามารถคิดของมันได้เอง อย่างนี้ ดูการทำงานของกาย ของใจ แต่การพิจารณาต้อง อยู่ภายใต้ของ การมีสติ และสัมปชัญญะที่มีมากพอสมควรขึ้นไป
นั้นคือ พื้นฐานคร่าวๆ

         เราจะมาเปรียบเทียบ การดูจิต กับ อานาปานสติ
การสร้างสติ
       อานาปานสติ สร้างสติ จากในพระสูตร มีท่อนที่กล่าวว่า  มีสติ หายใจออก มีสติ หายใจเข้า  อันนี้ ผมจะแปลกลับ เป็นว่า หายใจออก มีสติ และหายใจเข้า มีสติ  เพื่อให้เข้าใจ ว่า สติหมายถึงอะไร  สติเป็นเจตสิกของจิต จิตมีสติ ก็คือจิตระลึกได้ เมื่อลมกระทบปลายจมูก เป็นผัสสะ รู้สึกได้ด้วยกายวิญญาณ ไปสู่จิต จิตจำได้ว่านี้คือลมกระทบออก  ลมกระทบเข้า  การทำสติจากลมกระทบปลายจมูกหรือที่เรียกว่า อานาปานสติ  นั้นเรียกว่า เบาบางมากๆ  ท่านจึงเรียกว่า การทำอานาปนสติ เป็นธรรมของนักปราชญ์ด้วยซ้ำ  การสร้างสติ ด้วยลมหายใจนั้น สมารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ จึงเป็นที่นิยมที่จะทำการฝึก

           การดูจิต นั้นโด่งดังมากประมาณปี พ.ศ.2550 เป็นต้นมา ถ้าผมจำไม่ผิดนะ  ท่านที่เคยฝึกจะเข้าใจดี แต่ถ้าท่านยังไม่เคยฝึก ต้องไปฟังผู้ที่นำมาเผยแพร่ จากเว็บเกี่ยวกับการดูจิตนะครับ  ซึ่งท่าท่านอ่านจากพระสูตร นั้น จะไม่เข้าใจวิธีการ ต้องฟังหลวงพ่อท่านนะครับ 

            การดูจิต สร้างสติได้อย่างไร  อันนี้ ตามที่ผมเคยศึกษา เขาให้สร้างสติจากการเคลื่อนที่ของจิต เช่น ขณะจิตที่อยู่กับลมหายใจ เรียกว่า จิตเป็นอุเบกขา  พอใจลอย ก็คือจิตเคลื่อนไปเป็นโมหะจิต   ก็มีหลายอย่าง เช่น เคลื่อนไปเป็นจิตโกรธ(โทสะจิต)  เคลื่อนไปเป็นความอยากโน้นอยากนี้ (ก็เป็นโลภะจิต)  เข้าให้จำสภาวธรรมที่เปลี่ยนแปลง  คือต้องจำหลายๆครั้ง เช่น เวลาเราโกรธ เราก็จำสภาวะที่โกรธ พอโกรธปุ๊บ รีบจำ อย่างพึ่งให้มันหายไป จำเรื่อยๆ ซ้ำๆ  ไม่ว่า จะเป็นใจลอย  ไม่ว่าจะเป็นความอยากได้ อยากพูด อยากเห็น เป็นต้น  

            การดูจิต ตอนแรก ก็ต้องมีการจับที่ลมหายใจเบาๆ เป็นสะพานเกาะ เมื่อเกิดการเคลื่อนจิต ก็จะมีสติ ก็คือจิตจำได้ว่า อันนี้คือ จิตโกรธ ใจลอย ใจอยาก เพราะจำมาจากการฝึก ความแรงของการมีสติ จากจิตโกรธจะแรงกว่า ใจลอย  และความอยาก  ฝึกไปเรื่อยจนสติเกิดขึ้นอัตโนมัติ อันนี้กล่าวมาคร่าวๆ น่าฝึกนะครับ แนะนำครับ

             การสร้างสัมปชัญญะ  จาการดูจิต จะต่างจากการ ทำอานาปานสติ  
              การสร้าง สัมปชัญญะจากการทำอานาปานสติ  ในพระสูตร กล่าวว่า   หายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว  หายใจออกสั้นก็รู้ว่าหายใจออกสั้น  หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว  หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น  
  
            คำว่าก็รู้ว่า  ก็คือสัมปชัญญะ รู้สึกตัว ว่าหายใจอย่างนั้น อย่างนี้ นั่งตรงนี้ ใจลอยไปอย่างนี้ รู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกตัวเหล่านี้ จะต้องฝึกต่อท้าย การมีสติ ยกตัวอย่าง เช่น หายใจเข้ามีสติ  ก็คือจิตระลึกได้ว่านี้คือหายใจเข้า แล้วก็ต่อท้ายด้วยสัมปชัญญะรู้ว่า แล้วก็ปล่อย ทำไปเรื่อยๆ  จนกระทั่ง รุ้สึกตัว ควบคู่กับ มีสติกับลมหายใจที่กระทบปลายจมูก  

        ถ้าเรารู้แต่ลมกระทบปลายจมูก แต่ไม่สร้างสัมปชัญญะ ก็จะไม่เป็นอานาปานสติ ในสติปัฏฐานสี่ 

        การสร้างสัมปชัญญะจากการดูจิต  เมื่อจิตเคลื่อนจากสภาวะหนึ่งไปอีกสภาวะหนึ่ง เกิดสติ  แล้วตัวสัมปชัญญะจะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ  อันนี้ ต่างจากการทำอานาปานสตินะครับ  แต่ในคำสอนไม่มี ผมเคยฝึก และสัมผัสอันนี้ชัดเจนครับ  ใครก็ตามถ้าเคยฝึก การดูจิตมาก่อน ลองสังเกตดูนะครับ พอจิตได้สติ ก็จะเกิดรู้สึกตัวขึ้นทันที

            ยกตัวอย่างนะครับ เวลาเราขับรถ บังเอิญมัวคุยกัน รถพุงลงข้างถนน เกิดสติ ก็จะตามด้วยรู้สึกตัว สะดุ้งโยง ประมาณนี้

           การภาวนา ด้วยการดูจิต จะมี การดูลมอ่อนๆ ไม่เน้นที่ลม เน้นที่จิตที่เคลื่อนไป  ส่วนการทำอานาปานสติ เน้นทั้งสติ และสัมปชัญญะ ให้มีควบคู่กันตลอดการภาวนา

        การทำอานาปานสติ สามารถทำได้ทุกเมื่อ ไม่เครียด เพราะ เพียงกำหนดลมก็สร้างสติได้ สร้าง สัมปชัญญะได้ แต่ข้อเสียคือยากที่จะทำให้จิตมีสมาธิสูงๆ ได้สักพัก ก็ต้องมาตั้งต้นใหม่      

      การดูจิต  เมื่อจิตไม่ค่อยเป็นสมาธิ บางคนนั่งดูใจลอย คือเราไปตามจิตที่เคลื่อน  แล้วก็กลับมาจับที่ลมหายใจเบาๆ  ผมคิดว่านะมันเครียดที่ต้องมานั่งคอยว่าจะเกิดสติหรือไม่เกิด   อาจารย์สอนเขาก็ว่า ตัวอาจารย์ มีสติยุบยับไปหมด

           การน้อมจิต นั้น การดูจิต จะเห็นความเป็นอนัตตาของจิตค่อนข้างมากกว่า แต่ ก็แก้ด้วยการ พิจารณา  เมื่อมีใจลอย ก็ได้   การน้อมจิต จะต้องทำขณะที่มีสัมปชัญญะ ที่มีปริมาณมากพอ  เราไม่ได้เอาจิตมาดูจิตนะครับ เราเอาสัมปชัญญะ มาดูว่า จิต เป็นอนัตตา  เห็นจิต คิดของมันเองได้ อย่างนี้เป็นต้น 
 
          ที่ผมกล่าวมานี้ มันเป็นเพียงคร่าวๆ  อาจจะไม่ถูกต้องนักใครมีประสบการณ์ คิดว่า อันไหนดีกว่า ก็ช่วยว่ากันมานะครับ ส่วนตัวผม คิดว่า การทำอานาปานสติ เป็นหลัก แล้ว เอาหลักการดูจิตเป็นตัวเสริม จะดีที่สุด

       เรื่องการน้อมจิต ผมเคยตั้งกระทู้นี้แล้วลองไปอ่านดูได้ครับถ้ามีคนมาใหม่สนใจ

ขอบพระคุณทุกท่านที่มาอ่าน และท่านที่คอมเม้นท์ด้วย  ถ้าคอมเม้นท์ถูกใจ จะมอบพ้อยให้ทุกคนครับ  คนละ  5 พอยด์
ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่