เรียน ปรึกษาเพื่อนสมาชิก (เรื่องของเรายาวหน่อย เพราะเกิดหลายเหตุการณ์ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว)
เราและแฟนอึดอัดมาก และไม่รู้จะทำยังไง กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูก ทั้งเรื่องคดีความ และหาที่เรียนใหม่ (เราแยกกันอยู่ กับแฟนและลูกสาว)
ลูกสาวเราเรียน ม.3 โรงเรียนสีม่วง ชื่อดังย่านนครปฐม (เราคิดว่าเหตุที่เกิด เกิดจากตัวบุคคลไม่ใช่สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กร)
เหตุการณ์ที่ 1 เมื่อช่วงปลายปี 2566 ลูกเราตอนม.2 โดนเพื่อนในห้องกระโดดทุ่มตัวใส่ลูกสาวจากด้านหลังไม่ทันตั้งตัวขณะนั่งอยู่ที่เพื่อนรอครูเข้ามาสอน หัวลูกเราฟาดพื้นอย่างแรง จนลูกโทรมาบอกว่าแม่ปวดหัวมาก มีอาการคลื่นไส้ แฟนเราพาน้องไปโรงพยายบาลเอกชนที่มีประกันโรงเรียน (เพราะตอนแรกเข้าใจว่าใช้ประกันอุบัติเหตุของโรงเรียนได้) แต่พอเราเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทางโรงพยาบาล ปรากฏว่าเป็นลักษณะทำร้ายร่างกายไม่อยู่ในประกัน (ตอนพาออกจากโรงเรียน แฟนเราพาน้องไปลงบันทึกประจำวันว่าถูกจับหัวฟาด เพราะน้องบอกว่าเด็กที่ทำร้ายพุ่งตัวมาจากด้านหลัง เหมือนมือจับที่ลูกก่อนฟาดลงที่พื้น) (ประเด็นที่แฟนเราโมโหเด็กผู้ชายเพราะเคยชกหน้าลูกสาวเราก่อนหน้านี้เดือนนึง แต่ครั้งที่แล้วเราไม่เอาเรื่อง เพราะคิดว่าเด็กอาจพลั้งมือ) แฟนเราขอให้ทางโรงพยาบาลสแกนสมอง เนื่องจากอาการเหมือนคนที่เป็นเลือดคลั่ง เพราะปวดหัวมาก คลื่นไส้ อ๊วก โรงพยาบาลสแกน ผลออกมามีจุดที่สมอง แต่โรงพยาบาลบอกให้นอนรอดูอาการ น้องนอนรพ. 1 คืน (ค่าใช้จ่ายรวมหมื่นกว่าบาท จ่ายเอง) พอน้องคลื่นไส้ ปวดหัวน้อยลง รพ.แจ้งว่าต้องเฝ้าดูอาการ 10 วันหากเป็นอีกต้องรีบมารพ. สามารถกลับไปดูอาการที่บ้านได้
วันถัดมาเรามีให้ลูกโทรหาเพื่อนในห้องและประชุมสาย เพื่อถามว่าสถานการณ์ที่ห้องเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนน้องเราว่าเด็กที่กระทำไม่มีท่าทีสำนึก และกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเล่าว่าเด็กผู้ชายกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเล่นแรงขึ้น และครูประจำห้องพยายามช่วยเบี่ยงประเด็นว่าเป็นการเล่นผลักกันไปมา เพื่อช่วยเด็กผู้ชาย
เราโทรไปหาผอ.ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประมาณวันที่ 3 มีครู และหัวหน้าฝ่ายปกครองมาเยี่ยม ประเด็นอยู่ที่หัวหน้าฝ่ายปกครอง เขาไม่ค่อยพอใจเรื่องที่แฟนเราไปแจ้งความ และพูดประมาณว่าที่เบิกประกันไม่ได้ก็เพราะทางเราไปแจ้งอย่างนั้น (ตอนนั้นไม่รู้ว่าลูกเราจะอาการหนักขนาดไหน เหมือนอยากให้ทางเราแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุ) พอเราถามถึงความปลอดภัย (เพราะไม่ใช่ครั้งแรก ตอนโดนชกครูประจำชั้นเคลียร์ให้ ไม่ลงบันทึก) เราเล่าเรื่องที่คุยกับกลุ่มเพื่อนน้องทางโทรศัพท์ว่าเด็กผู้ชายกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเล่นแรงขึ้น หัวหน้าฝ่ายปกครองแนะนำให้เราหาลูกไปเรียนที่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เราเลยบอกว่าไม่ถูกต้องไหมถ้าเด็กที่ผิดไม่โดนทำโทษ(ทำให้หัวหน้าผ่ายปกครองน่าจะไม่พอใจ) เราถามว่า เป็นไปได้ไหมที่ย้ายน้องผู้ชายที่ทำผิดไปห้องอื่น (เพราะเด็กผู้ชายโดน ทัณฑ์บน ไปแล้ว 1 ครั้ง หากโดนอีกต้องโดนไล่ออก แต่เรามองว่ารุนแรงไป) เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง โรงเรียนรับเรื่องไว้ และบ่ายวันนั้นลูกเรามีอาการคลื่นไส้อีก ต้องรีบพาไปรพ.นครปฐม นอน 1 คืนเฝ้าดูอาการ
ถัดมานัดคุยกับผู้ปกครองที่ทำร้ายที่โรงเรียน เราไป 3 คน (เรา แฟน และพี่ทนายที่เป็นเพื่อนพี่แฟนเรา) ฝั่งเขามา 3 คน (ป้าคนโตเป็นพยายบาลรพ.ประจำจังหวัด, ป้าคนที่ 2 เป็นครูโรงเรียนอื่น และแม่เด็ก) พอเริ่มคุยป้าคนโตก็ใส่ทางฝ่ายเราเรื่องไปแจ้งความให้หลานเขาเสื่อมเสีย และย้อนว่าลูกเราก็เคยทำร้ายหลายเขา (เป็นเรื่องที่หลานเขามาแหย่ลูกเรา และลูกเราสู้คืน) ป้าคนโตโวยวายไม่ให้ร.ร.ลงโทษ ให้แค่ลงบันทึก และถ้าจะลงโทษ ลูกสาวเราต้องโดนด้วย เรื่องค่าใช้จ่าย จะจ่ายให้แค่บิลเท่านั้น (ตอนนั้นลูกเราพึ่งออกจากรพ.นครปฐมรอบ 2) เราเลยบอกว่าถ้าเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วหลังจากนี้มีอาการค้างเคียง ป้าคนโตบอกว่าก็พามาเข้ารพ.ประจำจังหวัดเลยเขาเป็นพยาบาลอยู่ จะดูแลให้เป็นอย่างดี (เสียงและสีหน้าประชด และพูดเหมือนเป็นหัวหน้าพยาบลซักแผนกนึง) เรากับภรรยาสรุปบอกยังไม่เอา รอครบ 10 วันตามที่รพ.เอกชนให้เฝ้าระวังก่อน
พอเลย 10 วัน เรานัดเขาที่โรงพักเพื่อจะได้เคลียร์ค่าใช้จ่าย และลงบันทึกประจำวันใหม่ (ตอนคุยโทรศัพท์คุยดี เขาขอผลัดประมาณ 1 เดือน) แต่ปรากฏว่าป้าคนโต พาลุงกับป้าแถวบ้าน นั่งรถตู้หรูมา เข้ามาก็โวยวายเรากับภรรยา และโวยวายตำรวจ (ป้าที่มาด้วยบอกน้องเด็กผู้ชายเป็นคนดี อยู่แถวบ้านเรียบร้อย แจ้งความอย่างนี้เด็กเสียหาย) พอรู้ว่าเราไปขอบันทึกที่ร.ร. ก็โมโหว่าทำไมเขาไม่ได้ จึงขับรถไปโวยวายต่อที่โรงเรียน สรุปผู้ชายคนขับรถพาป้ากับลุงแถวบ้านโทรมาบอกขอว่าจะขอผ่อนชำระ 2 งวด
เราก็โทรไปนัดป้าคนโตกับตำรวจ หลังจากนั้น 1 เดือน (เพราะป้าคนโตบอกแม่เด็ไม่ว่าง) เราลางานล่วงหน้าก่อนถึงนัด 1 วันโทรไปบอกแม่เด็กไม่สะดวกขอขยับเป็นวันศุกร์ เราก็ลางานใหม่แล้วเราก็โทรไปเลื่อนตำรวจ พอวันพฤ เย็นเราโทรไปคอนเฟิร์ม บอกแม่เด็กไม่สะดวกเราก็โทรไปเลื่อนตำรวจอีก และจะโทรไปนัดอีก ไม่เคยรับสายเราอีกเลย
สรุป ประเด็นบันทึกที่ร.ร.ระบุว่าเป็นอุบัติเหตุจากการเล่น เราเปลี่ยนจากที่เคยลงบันทึกเป็นแจ้งความ แต่ตำรวจก็แนะนำตรงว่าอาจทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนเกิดเหตุเด็กผู้ชายอายุ 14 ปีเป็นเยาวชน (ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ต้องฟ้องเอา) (คุณตำรวจพูดจาดีมากครับ) พี่ทนายแนะนำให้ทางเราแจ้งคุณตำรวจให้ช่วยส่งหมายเรียกมาเจรจา (ยอดเงินไม่เยอะฟ้องไม่คุ้ม) ปัจจุบันเบอร์ติดต่อไม่ได้ ไม่รับสาย ส่วนเด็กผู้ชายกับลูกสาวเราโดนลงบันทึกโรงเรียน ที่ลูกสาวเราโดนเพราะผู้ปกครองฝั่งนั้นไม่ยอมให้หลานโดนคนเดียว
เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อช่วงต้นปี 2567 (ถัดจากเหตุการณ์แรก 2-3 เดือน)มีเด็กผู้ชายคนที่2 ในกลุ่มเดียวกันกับเด็กคนแรก ชกหัวลูกสาวเราอย่างแรกหลายครั้ง เหตุเพราะเพื่อนลูกสาวไปถ่ายรูปคนนี้ แล้วมาถามลูกสาวเรา ลูกสาวเราเห็นในกลุ่มก็มีถ่ายรูปเพื่อนไปมาลงในกลุ่ม จึงบอกว่าลงได้ แต่พอเพื่อนลง เด็กผู้ชายคนที่2 ก็ไม่พอใจชกลูกสาวเรา หาว่าเป็นคนบงการ เคสนี้แม่เด็กก็จ่ายเอง (ประมาณ 4-5 พันบาท) เคสนี้เราเชื่อร.ร.ยังไม่แจ้งความสรุป โรงเรียนเชิญเด็กออกตอนปลายเทอมม. 2 โดยไม่นัดเราเข้าไปคุย ปัจจุบันติดต่อไม่ได้ ร.ร.ไม่ให้เบอร์เพราะบอกให้ตำรวจทำเรื่องมาขอ สรุปเคสนี้ไปแจ้งความส่งหมายเรียก แต่ก็เหมือนเคสแรก
สรุป ทั้ง 2 เหตุการณ์ ค่าใช้จ่ายเกือบ 2 หมื่นบาท (เรากับภรรยาช่วยกันจ่ายเอง) เราทำงานประจำ ส่วนภรรยาขายของตอนเข้ากำไรวันละ 200-250 บาท (ต้องดูแลแม่ กับยายที่บ้าน จึงออกจากงานประจำ) ลูกก็โดนทำร้าย เด็กคนแรกไม่โดนลงโทษ, เด็กคนที่ 2 โดนลงโทษ แต่ไม่เคยได้คุย
จึงอยากขอปรึกษาว่าพอมีแนวทางไหนทางกฎหมาย ที่จะช่วยให้เราได้รับเงินเยียวยาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะจะครบกำหนดคดีแรกในปลายปีนี้ครับ
หลังทั้ง 2 เหตุการณ์ ลูกเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงพาไปหาหมอ หมอบอกลูกเป็นซึมเศร้า แฟนเราก็พยายามพาไปหาหมอย่างสม่ำเสมอ และมีแจ้งครูประจำชั้นไว้
ต่อมามีอยู่ 1วัน ด้วยความคึกคะนองของลูกเรา ระหว่างคาบสุดท้ายที่รอเลิก ลูกเรากับเพื่อนออกจากโรงเรียนก่อนประมาณ 10 นาที (ทางโรงเรียนจึงทำให้ทัณฑ์บนน้อง)
และอีกเหตุการณ์ประมาณช่วงต้นกันยา ลูกสาวเราได้พูดคุยกับรุ่นพี่ผู้ชาย ม.6ระหว่างรอขึ้นรถตู้ รุ่นพี่ได้พยายามชวนน้องขึ้นไปห้องเรียน อ้างว่าเพื่อหาของที่ลืมไว้ (ในวีดีโอโรงเรียนที่บันทึก ตอนแรกลูกสาวเราก็ไม่อยากขึ้นไป เพราะมีการดึง และเหมือนหว่านล้อม) จนน้องขึ้นไป และทางครูเว้นทราบ จึงเชิญผู้ปกครองไปพบทั้ง 2 ฝั่น
หัวหน้าฝ่ายปกครองแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องชู้สาว จึงให้ทัณฑ์บนที่ 2 กับลูกสาวเรา จากนั้นให้แฟนเราเซ็นรับทราบให้ออกจากสถานศึกษา และให้ผู้ปกครองฝ่ายชายจ่ายค่าเสียหาย พร้อมกับลงบันทึกว่าทางเราจะไม่เอาความ (วันนั้นแฟนเราช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงยอมเซ็นเอกสารทุกอย่าง) วันนั้นเราไม่ได้ไปเนื่องจากติดงาน แต่เรารู้สึกว่า ลูกเราเป็นเหยื่อมากกว่าผู้กระทำผิด ถึงแม้โรงเรียนจะบอกว่าลูกเราได้พูดคุยกับรุ่นพี่ก่อน แต่รุ่นพี่ก็เป็นคนชวนน้องขึ้นไปที่ห้องเรียน
หลังจากเหตุการณ์ แฟนเราก็ตำหนิลูก และคาดคันว่าเกิดอะไรขึ้นไหม ลูกเราก็บอกไม่มีอะไร ลูกเครียสมาก และหายไป แฟนเรารีบตามหา พบลูกนั่งร้องไห้ ริมแม่น้ำหลังบ้าน ลูกบอกกว่าเกือบคิดสั้น แฟนเราจึงไม่ได้คาดคันเรื่องนี้อีก
แฟนเราเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง เราเลยเล่าเหตุการณ์ที่ไปทำงานกับลูกค้า ลูกเขาสอบได้วิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่เรียนไม่ไหวเพราะเคลียส เขาก็ให้ลูกออกมาเรียนมัธยม พี่เขาพูดมาคำนึง สะกิดใจเรามากว่า “เขาไม่สนว่าคนอื่นจะคิด หรือพูดอย่างไรที่ออกจากวิทยาลัย อย่างน้อยน้องก็ยังอยู่กับเขา ดีกว่าให้เคลียสจนทำร้ายตัวเอง” ด้วยเหตุการณ์นี้ เรากับแฟนจึงไม่คาดคันลูกอีก
มีอยู่เหตุการณ์ที่ลูกพูดขึ้นมาว่า ถ้าเขาไปเรียนที่ใหม่ เขาจะคุยกับใคร (เรารู้สึกเลยว่า หากย้ายกลางเทอม บวกกับตอนนี้ที่ลูกป่วย อันตรายมาก) เรากับแฟน จึงตัดสินใจจะไปขอร้องทางโรงเรียนอีกที จึงโทรนัดผอ.เขาไปพบ
เราเขาไปพบผอ. โดยทางผอ.ให้ทางหัวหน้าฝ่ายปกครอง (คนที่ไม่พอใจเรากับแฟนตั้งแต่ครั้งแรกได้เข้ามา) โดยตอนแรกเราบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้อง จนเรื่องรักษาอาการป่วยของน้อง จึงขอความเห็นใจ และขอให้น้องเรียนอีกเทอมจนครบม.3 ตอนแรกผอ.เข้าใจ แต่หัวหน้าฝ่ายปกครองก็บอกว่าอันนี้เป็นทัณฑ์บนที่ 2 จึงต้องให้น้องออก ส่วนผู้ชายแค่ทัณฑ์แรก เรื่องที่ลูกเราออกก่อนเลิกเรียนประมาณ 10 นาที ก็โกหกผอ.ว่าลูกเราโดดเรียนตอนเที่ยง จนเราถามย้ำว่าตอนกี่โมง ก็พูดบ่ายเบี่ยงว่าไม่แน่ใจ (เราเข้าใจว่าจะเที่ยง หรือก่อน 10 นาทีก็ผิด แต่เจตนาพูดของหัวหน้าฝ่ายปกครอง ดูไม่ชอบฝ่ายเรามากๆ) และยังพูดเหตุการณ์ที่ขึ้นไปบนห้องเป็นสิบนาที ว่าคุณแม่คิดดูเองแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (จนแฟนเราร้องไห้ในห้อง) และหัวหน้าฝ่ายปกครองบอกว่าให้น้องย้ายที่ใหม่จะได้มีเพื่อนใหม่ เพราะอยู่ที่นี้ก็มีเพื่อนแค่ 2 คน เราเลยบอกผอ.ว่าที่น้องมีเพื่อนน้อยเพราะเข้ากับคนไม่เก่ง ถ้าต้องย้ายไปแบบนี้ยิ่งลำบาก (หัวหน้าฝ่ายปกครองก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น) และเรื่องที่เราบอกน้องป่วยรักษาตัวอยู่ ตั้งแต่ช่วงประมาณเมษายน ให้เอาใบรับรองแพทย์มายืนยันก็ได้ หัวหน้าฝ่ายปกครองไม่สน และบอกว่าใครๆ เขาก็ป่วยกัน จากนั้นหัวหน้าฝ่ายปกครองตำหนิบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากการเลี้ยงดู ให้ความรัก และถ้าอยากให้ลูกสาวเราอยู่ต่อก็ต้องย้ายเด็กม. 6 แทน เรากับแฟนก็บอกว่าเราเองก็ไม่ได้อยากให้ย้ายคนอื่นแทนลูกเรา แต่ปัญหาเรื่องที่เกิดทั้ง 2 ครั้ง (ออกก่อนเวลา กับรุ่นพี่ม.6) เกิดในช่วงลูกรอเวลาขึ้นรถตู้ เรากับแฟน จึงเสนอแล้วทางการป้องกันว่าจะให้แฟนเรามารับแทนรอขึ้นรถตู้ (แต่เราต้องขับรถประมาณ 40-60 นาที โดยแฟนเราขับรถไม่เก่ง แต่เพื่อให้ลูกได้เรียนต่อ เราเลยตกลงกัน) หัวหน้าฝ่ายปกครองยืนยันต้องแยกออก จะไปคุยกับฝ่ายผู้ชาย ผอ.ก็ผู้ชายควรรับผิดชอบ จึงรับเรื่องไว้
เดี่ยวเรามาเล่าต่อนะครับ
ถูกทำร้าย 2 ครั้ง เริ่มป่วยเป็นซึมเศร้า พฤติกรรมเปลี่ยน ทำผิด ถูกโรงเรียนเชิญออก
เราและแฟนอึดอัดมาก และไม่รู้จะทำยังไง กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูก ทั้งเรื่องคดีความ และหาที่เรียนใหม่ (เราแยกกันอยู่ กับแฟนและลูกสาว)
ลูกสาวเราเรียน ม.3 โรงเรียนสีม่วง ชื่อดังย่านนครปฐม (เราคิดว่าเหตุที่เกิด เกิดจากตัวบุคคลไม่ใช่สถาบัน หน่วยงาน หรือองค์กร)
เหตุการณ์ที่ 1 เมื่อช่วงปลายปี 2566 ลูกเราตอนม.2 โดนเพื่อนในห้องกระโดดทุ่มตัวใส่ลูกสาวจากด้านหลังไม่ทันตั้งตัวขณะนั่งอยู่ที่เพื่อนรอครูเข้ามาสอน หัวลูกเราฟาดพื้นอย่างแรง จนลูกโทรมาบอกว่าแม่ปวดหัวมาก มีอาการคลื่นไส้ แฟนเราพาน้องไปโรงพยายบาลเอกชนที่มีประกันโรงเรียน (เพราะตอนแรกเข้าใจว่าใช้ประกันอุบัติเหตุของโรงเรียนได้) แต่พอเราเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทางโรงพยาบาล ปรากฏว่าเป็นลักษณะทำร้ายร่างกายไม่อยู่ในประกัน (ตอนพาออกจากโรงเรียน แฟนเราพาน้องไปลงบันทึกประจำวันว่าถูกจับหัวฟาด เพราะน้องบอกว่าเด็กที่ทำร้ายพุ่งตัวมาจากด้านหลัง เหมือนมือจับที่ลูกก่อนฟาดลงที่พื้น) (ประเด็นที่แฟนเราโมโหเด็กผู้ชายเพราะเคยชกหน้าลูกสาวเราก่อนหน้านี้เดือนนึง แต่ครั้งที่แล้วเราไม่เอาเรื่อง เพราะคิดว่าเด็กอาจพลั้งมือ) แฟนเราขอให้ทางโรงพยาบาลสแกนสมอง เนื่องจากอาการเหมือนคนที่เป็นเลือดคลั่ง เพราะปวดหัวมาก คลื่นไส้ อ๊วก โรงพยาบาลสแกน ผลออกมามีจุดที่สมอง แต่โรงพยาบาลบอกให้นอนรอดูอาการ น้องนอนรพ. 1 คืน (ค่าใช้จ่ายรวมหมื่นกว่าบาท จ่ายเอง) พอน้องคลื่นไส้ ปวดหัวน้อยลง รพ.แจ้งว่าต้องเฝ้าดูอาการ 10 วันหากเป็นอีกต้องรีบมารพ. สามารถกลับไปดูอาการที่บ้านได้
วันถัดมาเรามีให้ลูกโทรหาเพื่อนในห้องและประชุมสาย เพื่อถามว่าสถานการณ์ที่ห้องเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนน้องเราว่าเด็กที่กระทำไม่มีท่าทีสำนึก และกลุ่มเพื่อนผู้หญิงเล่าว่าเด็กผู้ชายกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเล่นแรงขึ้น และครูประจำห้องพยายามช่วยเบี่ยงประเด็นว่าเป็นการเล่นผลักกันไปมา เพื่อช่วยเด็กผู้ชาย
เราโทรไปหาผอ.ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประมาณวันที่ 3 มีครู และหัวหน้าฝ่ายปกครองมาเยี่ยม ประเด็นอยู่ที่หัวหน้าฝ่ายปกครอง เขาไม่ค่อยพอใจเรื่องที่แฟนเราไปแจ้งความ และพูดประมาณว่าที่เบิกประกันไม่ได้ก็เพราะทางเราไปแจ้งอย่างนั้น (ตอนนั้นไม่รู้ว่าลูกเราจะอาการหนักขนาดไหน เหมือนอยากให้ทางเราแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุ) พอเราถามถึงความปลอดภัย (เพราะไม่ใช่ครั้งแรก ตอนโดนชกครูประจำชั้นเคลียร์ให้ ไม่ลงบันทึก) เราเล่าเรื่องที่คุยกับกลุ่มเพื่อนน้องทางโทรศัพท์ว่าเด็กผู้ชายกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเล่นแรงขึ้น หัวหน้าฝ่ายปกครองแนะนำให้เราหาลูกไปเรียนที่ใหม่เพื่อความปลอดภัย เราเลยบอกว่าไม่ถูกต้องไหมถ้าเด็กที่ผิดไม่โดนทำโทษ(ทำให้หัวหน้าผ่ายปกครองน่าจะไม่พอใจ) เราถามว่า เป็นไปได้ไหมที่ย้ายน้องผู้ชายที่ทำผิดไปห้องอื่น (เพราะเด็กผู้ชายโดน ทัณฑ์บน ไปแล้ว 1 ครั้ง หากโดนอีกต้องโดนไล่ออก แต่เรามองว่ารุนแรงไป) เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่าง โรงเรียนรับเรื่องไว้ และบ่ายวันนั้นลูกเรามีอาการคลื่นไส้อีก ต้องรีบพาไปรพ.นครปฐม นอน 1 คืนเฝ้าดูอาการ
ถัดมานัดคุยกับผู้ปกครองที่ทำร้ายที่โรงเรียน เราไป 3 คน (เรา แฟน และพี่ทนายที่เป็นเพื่อนพี่แฟนเรา) ฝั่งเขามา 3 คน (ป้าคนโตเป็นพยายบาลรพ.ประจำจังหวัด, ป้าคนที่ 2 เป็นครูโรงเรียนอื่น และแม่เด็ก) พอเริ่มคุยป้าคนโตก็ใส่ทางฝ่ายเราเรื่องไปแจ้งความให้หลานเขาเสื่อมเสีย และย้อนว่าลูกเราก็เคยทำร้ายหลายเขา (เป็นเรื่องที่หลานเขามาแหย่ลูกเรา และลูกเราสู้คืน) ป้าคนโตโวยวายไม่ให้ร.ร.ลงโทษ ให้แค่ลงบันทึก และถ้าจะลงโทษ ลูกสาวเราต้องโดนด้วย เรื่องค่าใช้จ่าย จะจ่ายให้แค่บิลเท่านั้น (ตอนนั้นลูกเราพึ่งออกจากรพ.นครปฐมรอบ 2) เราเลยบอกว่าถ้าเคลียร์ค่าใช้จ่ายแล้วหลังจากนี้มีอาการค้างเคียง ป้าคนโตบอกว่าก็พามาเข้ารพ.ประจำจังหวัดเลยเขาเป็นพยาบาลอยู่ จะดูแลให้เป็นอย่างดี (เสียงและสีหน้าประชด และพูดเหมือนเป็นหัวหน้าพยาบลซักแผนกนึง) เรากับภรรยาสรุปบอกยังไม่เอา รอครบ 10 วันตามที่รพ.เอกชนให้เฝ้าระวังก่อน
พอเลย 10 วัน เรานัดเขาที่โรงพักเพื่อจะได้เคลียร์ค่าใช้จ่าย และลงบันทึกประจำวันใหม่ (ตอนคุยโทรศัพท์คุยดี เขาขอผลัดประมาณ 1 เดือน) แต่ปรากฏว่าป้าคนโต พาลุงกับป้าแถวบ้าน นั่งรถตู้หรูมา เข้ามาก็โวยวายเรากับภรรยา และโวยวายตำรวจ (ป้าที่มาด้วยบอกน้องเด็กผู้ชายเป็นคนดี อยู่แถวบ้านเรียบร้อย แจ้งความอย่างนี้เด็กเสียหาย) พอรู้ว่าเราไปขอบันทึกที่ร.ร. ก็โมโหว่าทำไมเขาไม่ได้ จึงขับรถไปโวยวายต่อที่โรงเรียน สรุปผู้ชายคนขับรถพาป้ากับลุงแถวบ้านโทรมาบอกขอว่าจะขอผ่อนชำระ 2 งวด
เราก็โทรไปนัดป้าคนโตกับตำรวจ หลังจากนั้น 1 เดือน (เพราะป้าคนโตบอกแม่เด็ไม่ว่าง) เราลางานล่วงหน้าก่อนถึงนัด 1 วันโทรไปบอกแม่เด็กไม่สะดวกขอขยับเป็นวันศุกร์ เราก็ลางานใหม่แล้วเราก็โทรไปเลื่อนตำรวจ พอวันพฤ เย็นเราโทรไปคอนเฟิร์ม บอกแม่เด็กไม่สะดวกเราก็โทรไปเลื่อนตำรวจอีก และจะโทรไปนัดอีก ไม่เคยรับสายเราอีกเลย
สรุป ประเด็นบันทึกที่ร.ร.ระบุว่าเป็นอุบัติเหตุจากการเล่น เราเปลี่ยนจากที่เคยลงบันทึกเป็นแจ้งความ แต่ตำรวจก็แนะนำตรงว่าอาจทำอะไรไม่ได้ เพราะตอนเกิดเหตุเด็กผู้ชายอายุ 14 ปีเป็นเยาวชน (ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาล ต้องฟ้องเอา) (คุณตำรวจพูดจาดีมากครับ) พี่ทนายแนะนำให้ทางเราแจ้งคุณตำรวจให้ช่วยส่งหมายเรียกมาเจรจา (ยอดเงินไม่เยอะฟ้องไม่คุ้ม) ปัจจุบันเบอร์ติดต่อไม่ได้ ไม่รับสาย ส่วนเด็กผู้ชายกับลูกสาวเราโดนลงบันทึกโรงเรียน ที่ลูกสาวเราโดนเพราะผู้ปกครองฝั่งนั้นไม่ยอมให้หลานโดนคนเดียว
เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อช่วงต้นปี 2567 (ถัดจากเหตุการณ์แรก 2-3 เดือน)มีเด็กผู้ชายคนที่2 ในกลุ่มเดียวกันกับเด็กคนแรก ชกหัวลูกสาวเราอย่างแรกหลายครั้ง เหตุเพราะเพื่อนลูกสาวไปถ่ายรูปคนนี้ แล้วมาถามลูกสาวเรา ลูกสาวเราเห็นในกลุ่มก็มีถ่ายรูปเพื่อนไปมาลงในกลุ่ม จึงบอกว่าลงได้ แต่พอเพื่อนลง เด็กผู้ชายคนที่2 ก็ไม่พอใจชกลูกสาวเรา หาว่าเป็นคนบงการ เคสนี้แม่เด็กก็จ่ายเอง (ประมาณ 4-5 พันบาท) เคสนี้เราเชื่อร.ร.ยังไม่แจ้งความสรุป โรงเรียนเชิญเด็กออกตอนปลายเทอมม. 2 โดยไม่นัดเราเข้าไปคุย ปัจจุบันติดต่อไม่ได้ ร.ร.ไม่ให้เบอร์เพราะบอกให้ตำรวจทำเรื่องมาขอ สรุปเคสนี้ไปแจ้งความส่งหมายเรียก แต่ก็เหมือนเคสแรก
สรุป ทั้ง 2 เหตุการณ์ ค่าใช้จ่ายเกือบ 2 หมื่นบาท (เรากับภรรยาช่วยกันจ่ายเอง) เราทำงานประจำ ส่วนภรรยาขายของตอนเข้ากำไรวันละ 200-250 บาท (ต้องดูแลแม่ กับยายที่บ้าน จึงออกจากงานประจำ) ลูกก็โดนทำร้าย เด็กคนแรกไม่โดนลงโทษ, เด็กคนที่ 2 โดนลงโทษ แต่ไม่เคยได้คุย
จึงอยากขอปรึกษาว่าพอมีแนวทางไหนทางกฎหมาย ที่จะช่วยให้เราได้รับเงินเยียวยาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ เพราะจะครบกำหนดคดีแรกในปลายปีนี้ครับ
หลังทั้ง 2 เหตุการณ์ ลูกเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงพาไปหาหมอ หมอบอกลูกเป็นซึมเศร้า แฟนเราก็พยายามพาไปหาหมอย่างสม่ำเสมอ และมีแจ้งครูประจำชั้นไว้
ต่อมามีอยู่ 1วัน ด้วยความคึกคะนองของลูกเรา ระหว่างคาบสุดท้ายที่รอเลิก ลูกเรากับเพื่อนออกจากโรงเรียนก่อนประมาณ 10 นาที (ทางโรงเรียนจึงทำให้ทัณฑ์บนน้อง)
และอีกเหตุการณ์ประมาณช่วงต้นกันยา ลูกสาวเราได้พูดคุยกับรุ่นพี่ผู้ชาย ม.6ระหว่างรอขึ้นรถตู้ รุ่นพี่ได้พยายามชวนน้องขึ้นไปห้องเรียน อ้างว่าเพื่อหาของที่ลืมไว้ (ในวีดีโอโรงเรียนที่บันทึก ตอนแรกลูกสาวเราก็ไม่อยากขึ้นไป เพราะมีการดึง และเหมือนหว่านล้อม) จนน้องขึ้นไป และทางครูเว้นทราบ จึงเชิญผู้ปกครองไปพบทั้ง 2 ฝั่น
หัวหน้าฝ่ายปกครองแจ้งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องชู้สาว จึงให้ทัณฑ์บนที่ 2 กับลูกสาวเรา จากนั้นให้แฟนเราเซ็นรับทราบให้ออกจากสถานศึกษา และให้ผู้ปกครองฝ่ายชายจ่ายค่าเสียหาย พร้อมกับลงบันทึกว่าทางเราจะไม่เอาความ (วันนั้นแฟนเราช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงยอมเซ็นเอกสารทุกอย่าง) วันนั้นเราไม่ได้ไปเนื่องจากติดงาน แต่เรารู้สึกว่า ลูกเราเป็นเหยื่อมากกว่าผู้กระทำผิด ถึงแม้โรงเรียนจะบอกว่าลูกเราได้พูดคุยกับรุ่นพี่ก่อน แต่รุ่นพี่ก็เป็นคนชวนน้องขึ้นไปที่ห้องเรียน
หลังจากเหตุการณ์ แฟนเราก็ตำหนิลูก และคาดคันว่าเกิดอะไรขึ้นไหม ลูกเราก็บอกไม่มีอะไร ลูกเครียสมาก และหายไป แฟนเรารีบตามหา พบลูกนั่งร้องไห้ ริมแม่น้ำหลังบ้าน ลูกบอกกว่าเกือบคิดสั้น แฟนเราจึงไม่ได้คาดคันเรื่องนี้อีก
แฟนเราเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง เราเลยเล่าเหตุการณ์ที่ไปทำงานกับลูกค้า ลูกเขาสอบได้วิทยาลัยชั้นนำของประเทศ แต่เรียนไม่ไหวเพราะเคลียส เขาก็ให้ลูกออกมาเรียนมัธยม พี่เขาพูดมาคำนึง สะกิดใจเรามากว่า “เขาไม่สนว่าคนอื่นจะคิด หรือพูดอย่างไรที่ออกจากวิทยาลัย อย่างน้อยน้องก็ยังอยู่กับเขา ดีกว่าให้เคลียสจนทำร้ายตัวเอง” ด้วยเหตุการณ์นี้ เรากับแฟนจึงไม่คาดคันลูกอีก
มีอยู่เหตุการณ์ที่ลูกพูดขึ้นมาว่า ถ้าเขาไปเรียนที่ใหม่ เขาจะคุยกับใคร (เรารู้สึกเลยว่า หากย้ายกลางเทอม บวกกับตอนนี้ที่ลูกป่วย อันตรายมาก) เรากับแฟน จึงตัดสินใจจะไปขอร้องทางโรงเรียนอีกที จึงโทรนัดผอ.เขาไปพบ
เราเขาไปพบผอ. โดยทางผอ.ให้ทางหัวหน้าฝ่ายปกครอง (คนที่ไม่พอใจเรากับแฟนตั้งแต่ครั้งแรกได้เข้ามา) โดยตอนแรกเราบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้อง จนเรื่องรักษาอาการป่วยของน้อง จึงขอความเห็นใจ และขอให้น้องเรียนอีกเทอมจนครบม.3 ตอนแรกผอ.เข้าใจ แต่หัวหน้าฝ่ายปกครองก็บอกว่าอันนี้เป็นทัณฑ์บนที่ 2 จึงต้องให้น้องออก ส่วนผู้ชายแค่ทัณฑ์แรก เรื่องที่ลูกเราออกก่อนเลิกเรียนประมาณ 10 นาที ก็โกหกผอ.ว่าลูกเราโดดเรียนตอนเที่ยง จนเราถามย้ำว่าตอนกี่โมง ก็พูดบ่ายเบี่ยงว่าไม่แน่ใจ (เราเข้าใจว่าจะเที่ยง หรือก่อน 10 นาทีก็ผิด แต่เจตนาพูดของหัวหน้าฝ่ายปกครอง ดูไม่ชอบฝ่ายเรามากๆ) และยังพูดเหตุการณ์ที่ขึ้นไปบนห้องเป็นสิบนาที ว่าคุณแม่คิดดูเองแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (จนแฟนเราร้องไห้ในห้อง) และหัวหน้าฝ่ายปกครองบอกว่าให้น้องย้ายที่ใหม่จะได้มีเพื่อนใหม่ เพราะอยู่ที่นี้ก็มีเพื่อนแค่ 2 คน เราเลยบอกผอ.ว่าที่น้องมีเพื่อนน้อยเพราะเข้ากับคนไม่เก่ง ถ้าต้องย้ายไปแบบนี้ยิ่งลำบาก (หัวหน้าฝ่ายปกครองก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น) และเรื่องที่เราบอกน้องป่วยรักษาตัวอยู่ ตั้งแต่ช่วงประมาณเมษายน ให้เอาใบรับรองแพทย์มายืนยันก็ได้ หัวหน้าฝ่ายปกครองไม่สน และบอกว่าใครๆ เขาก็ป่วยกัน จากนั้นหัวหน้าฝ่ายปกครองตำหนิบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากการเลี้ยงดู ให้ความรัก และถ้าอยากให้ลูกสาวเราอยู่ต่อก็ต้องย้ายเด็กม. 6 แทน เรากับแฟนก็บอกว่าเราเองก็ไม่ได้อยากให้ย้ายคนอื่นแทนลูกเรา แต่ปัญหาเรื่องที่เกิดทั้ง 2 ครั้ง (ออกก่อนเวลา กับรุ่นพี่ม.6) เกิดในช่วงลูกรอเวลาขึ้นรถตู้ เรากับแฟน จึงเสนอแล้วทางการป้องกันว่าจะให้แฟนเรามารับแทนรอขึ้นรถตู้ (แต่เราต้องขับรถประมาณ 40-60 นาที โดยแฟนเราขับรถไม่เก่ง แต่เพื่อให้ลูกได้เรียนต่อ เราเลยตกลงกัน) หัวหน้าฝ่ายปกครองยืนยันต้องแยกออก จะไปคุยกับฝ่ายผู้ชาย ผอ.ก็ผู้ชายควรรับผิดชอบ จึงรับเรื่องไว้
เดี่ยวเรามาเล่าต่อนะครับ