บริษัทในไทย ยังมี WFH ไหม
ในช่วงนี้ หนึ่งในหัวข้อที่กำลัง Hot มาก ๆ ในโลกธุรกิจคือการที่บริษัท Amazon ประกาศให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ โดยมีเหตุผลหลักคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ซีอีโอของ Amazon แอนดี้ เจสซี ได้ชี้แจงว่า “การรักษาให้วัฒนธรรมองค์กรเข้มแข็งไม่ใช่สิทธิโดยกำเนิด คุณต้องทำงานตลอดเวลา” ที่สำคัญคือ บริษัทอื่น ๆ เช่น Goldman Sachs, Boeing, UPS และ Tesla ก็ได้มีนโยบายในทิศทางเดียวกัน คือให้พนักงานกลับมาทำงานแบบเต็มเวลา (RTO) เนื่องจากเชื่อว่าความเชื่อมโยงระหว่างพนักงานในสำนักงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเรียกร้องให้กลับสู่สำนักงานนี้ก็มีเสียงที่คัดค้านอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากพนักงานรุ่นใหม่ เช่น Gen-Z และ Millennials ที่แสดงความต้องการในการทำงานที่มีความยืดหยุ่น การสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า นโยบายใหม่ของ Amazon ได้รับคะแนนเฉลี่ยเพียง 1.4 (จากเต็ม 5) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพนักงานไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ถ้าคิดดี ๆ การทำงานทั้งสองรูปแบบมีข้อดีต่างกัน การทำงานจากที่บ้านมีข้อดีมากมาย เช่น การประหยัดเวลาในการเดินทาง การเพิ่มผลผลิต และความสุขในการทำงาน
งานวิจัยจาก Stanford University พบว่าการทำงานระยะไกลสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 13% โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานที่มีความรู้สูง ในขณะที่มีเวลามากขึ้นสำหรับการจัดการกับชีวิตส่วนตัว ในทางกลับกัน การทำงานในสำนักงานก็มีข้อดี เช่น การสร้างเครือข่าย การทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร แต่ก็ต้องมาพร้อมกับความเครียดที่เกิดจากการเดินทางและกฎเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่น
แล้วเราจะเลือกทางไหนดี ? ส่วนตัวเห็นว่า การทำงานแบบไฮบริดคือทางเลือกที่ดีที่สุด บริษัทที่นำแนวทางการทำงานแบบไฮบริดมาใช้ เช่น Microsoft และ Salesforce ได้แสดงชัดเจนถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในระดับของการผลิต การพัฒนาทักษะ และความพึงพอใจในงาน
การใช้วิธีการทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานสามารถเลือกระหว่างการทำงานที่บ้านและการทำงานในสำนักงานได้ตามความเหมาะสม ซึ่งแนวปฏิบัติที่นิยมในปัจจุบันคือ 3 : 2 หมายถึงทำที่บ้าน 2 วัน ทำที่สำนักงาน 3 วัน การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีความสุขและส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรได้มากขึ้น
สรุปสั้น ๆ ว่า องค์กรจำเป็นต้องฟังเสียงของพนักงาน (ส่วนใหญ่) และการปรับนโยบายให้เหมาะสมกับความต้องการของพนักงานส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเจนใหม่ ๆ น้อง ๆ รุ่นใหม่มักให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน การสร้างสมดุลเวลาให้พวกเขาทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในเวลาเดียวกัน
พวกเขาเน้นการทำงานในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส เพื่อสร้างความผูกพันและแรงจูงใจในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นไป จำไว้ว่า “โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบาย (ต้อง) เปลี่ยน (ตามให้ทัน)”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/opinion-column-11/news-1667234
ทำงานที่ออฟฟิศเต็มรูปแบบของ Amazon
ในช่วงนี้ หนึ่งในหัวข้อที่กำลัง Hot มาก ๆ ในโลกธุรกิจคือการที่บริษัท Amazon ประกาศให้พนักงานกลับมาทำงานที่สำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ โดยมีเหตุผลหลักคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ซีอีโอของ Amazon แอนดี้ เจสซี ได้ชี้แจงว่า “การรักษาให้วัฒนธรรมองค์กรเข้มแข็งไม่ใช่สิทธิโดยกำเนิด คุณต้องทำงานตลอดเวลา” ที่สำคัญคือ บริษัทอื่น ๆ เช่น Goldman Sachs, Boeing, UPS และ Tesla ก็ได้มีนโยบายในทิศทางเดียวกัน คือให้พนักงานกลับมาทำงานแบบเต็มเวลา (RTO) เนื่องจากเชื่อว่าความเชื่อมโยงระหว่างพนักงานในสำนักงานเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเรียกร้องให้กลับสู่สำนักงานนี้ก็มีเสียงที่คัดค้านอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจากพนักงานรุ่นใหม่ เช่น Gen-Z และ Millennials ที่แสดงความต้องการในการทำงานที่มีความยืดหยุ่น การสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า นโยบายใหม่ของ Amazon ได้รับคะแนนเฉลี่ยเพียง 1.4 (จากเต็ม 5) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าพนักงานไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ถ้าคิดดี ๆ การทำงานทั้งสองรูปแบบมีข้อดีต่างกัน การทำงานจากที่บ้านมีข้อดีมากมาย เช่น การประหยัดเวลาในการเดินทาง การเพิ่มผลผลิต และความสุขในการทำงาน
งานวิจัยจาก Stanford University พบว่าการทำงานระยะไกลสามารถเพิ่มผลผลิตได้ถึง 13% โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานที่มีความรู้สูง ในขณะที่มีเวลามากขึ้นสำหรับการจัดการกับชีวิตส่วนตัว ในทางกลับกัน การทำงานในสำนักงานก็มีข้อดี เช่น การสร้างเครือข่าย การทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร แต่ก็ต้องมาพร้อมกับความเครียดที่เกิดจากการเดินทางและกฎเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่น
แล้วเราจะเลือกทางไหนดี ? ส่วนตัวเห็นว่า การทำงานแบบไฮบริดคือทางเลือกที่ดีที่สุด บริษัทที่นำแนวทางการทำงานแบบไฮบริดมาใช้ เช่น Microsoft และ Salesforce ได้แสดงชัดเจนถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในระดับของการผลิต การพัฒนาทักษะ และความพึงพอใจในงาน
การใช้วิธีการทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานสามารถเลือกระหว่างการทำงานที่บ้านและการทำงานในสำนักงานได้ตามความเหมาะสม ซึ่งแนวปฏิบัติที่นิยมในปัจจุบันคือ 3 : 2 หมายถึงทำที่บ้าน 2 วัน ทำที่สำนักงาน 3 วัน การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานมีความสุขและส่งผลต่อการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรได้มากขึ้น
สรุปสั้น ๆ ว่า องค์กรจำเป็นต้องฟังเสียงของพนักงาน (ส่วนใหญ่) และการปรับนโยบายให้เหมาะสมกับความต้องการของพนักงานส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเจนใหม่ ๆ น้อง ๆ รุ่นใหม่มักให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน การสร้างสมดุลเวลาให้พวกเขาทำงานและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในเวลาเดียวกัน
พวกเขาเน้นการทำงานในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส เพื่อสร้างความผูกพันและแรงจูงใจในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นไป จำไว้ว่า “โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบาย (ต้อง) เปลี่ยน (ตามให้ทัน)”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/opinion-column-11/news-1667234