JJNY : 2 ป้าเตือนสติ! ‘เงินหมื่น’ที่แจก│กสม.ชี้เปลี่ยนทะเบียนช้า│เตือน 11 จว.ยกของขึ้นที่สูง│จีนซ้อมรบหลังเจรจากับสหรัฐ

2 ป้าเตือนสติ! ‘เงินหมื่น’ ที่แจก ไม่ได้ออกจากกระเป๋านักการเมือง แต่คือ ‘ภาษี-หนี้’ ของประชาชน
https://ch3plus.com/news/socialnews/weekend/418631
 
 
กรณีการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยล่าสุดกลุ่มเปราะบางได้รับเงินไปแล้วเป็นวันที่ 3 ซึ่งประชาชนที่ได้รับเงินก็ต่างดีใจ และขอบคุณรัฐบาลที่ผลักดันโครงการนี้

แต่ล่าสุดก็มีความคิดเห็นจากชาวเน็ตอีกฝั่งหนึ่ง โดยผู้ใช้ tiktok ชื่อ @_kanogwan ได้โพสต์คลิป ระบุว่า ตั้งสติ เงินหมื่นที่เค้าแจกไม่ได้ออกจากกระเป๋านักการเมือง แต่มันคือเงินภาษีและหนี้ของประชาชน อะไรนิดหน่อยก็แจกเงินๆ ซื้อใจกัน เหมือนเอาเงินล่วงหน้ามาซื้อเสียง ทุกอย่างคือเอามา "ล่อ ประชาชน" เดี๋ยวต่อไปถ้าของแพงก็อย่ามาบ่นนะ เพราะเดียวเค้าจะไล่เก็บคืนกับประชาชนอีกที ทำเป็นดีใจไปเถอะ เดี๋ยวรัฐบาลก็มาขูดรีดประชาชนตาดำๆ เหมือนเดิม

ขณะที่ผู้ใช้ tiktok อีกรายชื่อ @ sombun.songsroem โพสต์คลิป ระบุว่า เงินที่นำมาแจกคือเงินภาษีประชาชน ไม่ใช่เงินนายกฯ หรือเงินนักการเมือง ถ้าเค้าไม่ได้หาเสียงว่าจะแจก เค้าคงแจกไม่ได้  ซึ่งเมื่อคุณอุ๊งอิ๊งได้เป็นนายกฯ สิ่งที่เค้าเคยรับปากและเคยพูดไว้ จึงต้องทำตามนโยบาย

https://youtu.be/faJQAa0aScA

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


กสม. ชี้เปลี่ยนทะเบียนราษฎรคนไร้รากเหง้าเป็นคนไทยพลัดถิ่นล่าช้า เป็นการละเมิดสิทธิ
https://prachatai.com/journal/2024/09/110856
  
กสม. ชี้กรณีเปลี่ยนแปลงรายการเอกสารทะเบียนราษฎรจากคนไร้รากเหง้าเป็นคนไทยพลัดถิ่นล่าช้า เป็นการละเมิดสิทธิ แนะกรมการปกครองเร่งรัดและกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินงาน

 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แจ้งข่าวว่าเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 33/2567 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
 
กสม. ชี้กรณีเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารทะเบียนราษฎรจากคนไร้รากเหง้าเป็นคนไทยพลัดถิ่นล่าช้า เป็นการละเมิดสิทธิ แนะกรมการปกครองเร่งรัดและกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินงาน
 
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนผ่านคลินิกสิทธิมนุษยชนจากผู้ร้องรายหนึ่ง เมื่อเดือน ธ.ค. 2566 ระบุว่า มารดาของผู้ร้องเป็นคนไทยพลัดถิ่นย้ายจากประเทศเมียนมาเข้ามาอาศัยกับญาติในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2532 ต่อมาเมื่อปี 2549 มารดาได้รับการสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนประวัติบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน และเมื่อปี 2554 ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติบุคคลฯ เป็นบุคคลเลขประจำตัวประเภท กลุ่ม 89 คือ กลุ่มคนไร้รากเหง้า โดยบัตรซึ่งออกโดยสำนักทะเบียนอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา จะหมดอายุในเดือน ต.ค. 2575 ทำให้มารดาไม่สามารถยื่นคำร้องขอพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นได้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ผู้ร้องจึงยื่นคำขอต่อปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนและบัตร สำนักทะเบียนอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา (ผู้ถูกร้อง) ให้แก้ไขรายการในเอกสารทะเบียนราษฎรของมารดาจากคนไร้รากเหง้าเป็นคนไทยพลัดถิ่น โดยได้ยื่นเอกสารหลักฐานทุกอย่างตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้รับใบรับคำร้องไว้เป็นหลักฐานจากผู้ถูกร้อง และเมื่อระยะเวลาล่วงเลยมาพอสมควร ณ ขณะวันที่ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กสม. ผู้ถูกร้องก็ยังไม่ดำเนินการสอบปากคำพยานบุคคลให้เสร็จสิ้นเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงขอให้เร่งรัดการดำเนินการ
 
กรณีดังกล่าวในเบื้องต้น กสม. ได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยสอบถามไปยังผู้ถูกร้องแต่ยังไม่มีการแก้ไขปัญหา จึงมีมติรับไว้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยพิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ข้อ 16 รับรองว่า บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่า เป็นบุคคลตามกฎหมายในทุกแห่งหน
 
จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า มารดาของผู้ร้องได้รับการสำรวจและจัดทำทะเบียนบุคคลที่ไม่มีชื่อในระบบทะเบียนราษฎรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2548 แต่ภายหลังรายการในทะเบียนประวัติบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนของผู้เสียหายไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถขอใช้สิทธิในการกำหนดสถานะบุคคลตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหรือตามกฎหมายกำหนดได้ จึงยื่นขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารทะเบียนราษฎรของผู้เสียหายจากคนไร้รากเหง้าเป็นคนไทยพลัดถิ่น อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อผู้ถูกร้อง ผู้ถูกร้องไม่ได้ออกใบรับคำร้องไว้ให้ ซึ่งไม่สอดคล้องและเป็นไปตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการจัดทำทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 116 ที่กำหนดให้นายทะเบียนออกใบรับคำร้องมอบให้ผู้ยื่นคำร้องไว้เป็นหลักฐานหากการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารการทะเบียนราษฎรไม่อาจดำเนินการได้แล้วเสร็จในวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง
 
ส่วนการที่ผู้ถูกร้องดำเนินการพิจารณาคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารทะเบียนราษฎรล่าช้า เห็นว่า หนังสือสำนักทะเบียนกลาง ด่วนที่สุด ที่ มท 0309.1/ว 151 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 เรื่อง การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ปัญหาด้านสถานะบุคคลและสัญชาติ) กำหนดว่า การแก้ไขกลุ่มทางทะเบียนบุคคลที่จัดทำทะเบียนไว้ผิดกลุ่มนั้น ให้นายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นทุกสำนักทะเบียนที่มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ถือปฏิบัติตามหนังสือสั่งการ โดยให้พิจารณาหลักฐานของผู้ร้องเป็นสำคัญ ไม่ว่าพื้นที่สำนักทะเบียนนั้นจะเคยมีการขึ้นทะเบียนชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ผู้ร้องอ้างถึงหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ดี แม้หนังสือสั่งการดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณาคำขอไว้ แต่ผู้ถูกร้องควรพิจารณาคำขอและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องทราบภายในระยะเวลาอันสมควร ซึ่งการพิจารณาเพื่อออกคำสั่งของหน่วยงานรัฐ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา วางแนวคำวินิจฉัยไว้ว่า ควรมีระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันที่บุคคลยื่นเรื่องต่อหน่วยงานของรัฐเพื่อให้พิจารณาออกคำสั่งโดยเทียบเคียงจากระยะเวลาขั้นสูงในการพิจารณาคำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 45
ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องพิจารณาคำขอโดยใช้เวลาเกินกว่า 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องยื่นคำขอเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารทะเบียนราษฎร จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องพิจารณาคำขอล่าช้าเกินสมควร กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพที่ผู้เสียหายคือมารดาของผู้ร้องพึงจะได้รับ จึงเป็นกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้เสียหาย

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่า นับแต่วันที่ผู้ร้องได้ยื่นคำขอต่อผู้ถูกร้องเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทางทะเบียนราษฎรจนถึงวันที่จัดทำรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานที่รับผิดชอบพิจารณาคำขอของผู้เสียหายได้เปลี่ยนผู้ปฏิบัติงานแล้วจำนวน 3 คน เนื่องจากย้ายไปปฏิบัติราชการในฝ่ายอื่นหรือที่อื่น จึงเป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้การปฏิบัติงานไม่ต่อเนื่องและเกิดความล่าช้าอันส่งผลกระทบต่อสิทธิที่บุคคลจะได้รับตามกฎหมาย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2567 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนและบัตร สำนักทะเบียนอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ผู้ถูกร้อง และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เร่งรัดพิจารณาคำขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการทะเบียนราษฎรให้แก่ผู้เสียหายตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายกำหนด และให้กรมการปกครองใช้รายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ กำชับสำนักทะเบียนอำเภอและสำนักทะเบียนท้องถิ่นแต่ละแห่งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการไม่ออกใบรับคำร้องให้แก่ผู้ยื่นคำร้องและการพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายการในเอกสารทะเบียนราษฎรให้แก่ผู้ประสบปัญหาสิทธิและสถานะบุคคลตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วหรือดำเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ ให้กรมการปกครองทบทวนระเบียบหรือหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนตามระเบียบหรือหนังสือสั่งการเพื่อเป็นกรอบระยะเวลาสำหรับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ด้วย



ระทึก เตือน 11 จังหวัด ยกของขึ้นที่สูง เขื่อนเจ้าพระยา เพิ่มการระบายน้ำ
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9434708

กรมชลประทาน ออกประกาศ เตือน 11 จังหวัด ยกของขึ้นที่สูง หลัง เขื่อนเจ้าพระยา เพิ่มการระบายน้ำ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ
 
เมื่อวันที่ 28 ก.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมชลประทาน ออกประกาศแจ้งเตือน 11 จังหวัดภาคกลางประกอบด้วย จ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง 
พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานครฯ ที่ต้องเตรียมการรับมือปริมาณน้ำที่จะเกิดขึ้น
 
จากอิทธิพลจากร่องมรุสม ที่จะทำให้ฝนตกหนักทางตอนบนและภาคกลางของประเทศ มีผลทำให้ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนเจ้าพระยามากขึ้นถึง 2,350 ลบ.ม./วินาที ทำให้ต้องมีการพิจารณาปรับเพิ่มการระบายแบบขั้นบันไดขึ้นไป ในเกณฑ์ไม่เกิน 2,000 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนยกตัวขึ้นอีก1-1.5 ม.
 
ล่าสุดสถานการณ์น้ำที่เขื่อนเเจ้าพระยา กุญแจสำคัญในการบริหารจัดการน้ำลงสู่ลุ่มภาคกลาง ได้ปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำขึ้น เพื่อลดผลกระทบทั้งเหนือและท้ายเขื่อน โดยปพบว่าปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงเขื่อนเจ้าพระยาผ่านจุดวัดน้ำ C2 หน้าค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุด (12.00 น.) วัดได้ 1,930ลบ.ม./วิ (ลูกบาศเมตรต่อวินาที)
 
โดยระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาลดลงเล็กน้อย ล่าสุดวัดได้ 16.28 ม.รทก.(เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับเพิ่มการระบาย ขึ้นไปที่ 1,899ม./วิ เพื่อสร้างพื้นที่ว่างในลำน้ำรองรับปริมาณน้ำเหนือ ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนยกตัวขึ้น 80 ซ.ม.ในรอบ 24 ชม. ล่าสุดวัดได้ 14.19 ม.รทก.
 
ทั้งนี้จากการเพิ่มอัตราการระบายน้ำในเกณฑ์ 1,900 ลบ.ม./วิ ของเขื่อนเจ้าพระยา จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ริมคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล บ้านบางหลวงโดด ต.บางบาล ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ระดับน้ำจะเพิ่มขึ้น 40-60 ซม.ใน 24 ชม.ข้างหน้า จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง และเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำและติดตามประกาศจากทางราชการอย่างใกล้ชิดต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ต.หาดอาษา อ.สรรพยา ซึ่งเป็นชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยาในฝั่งตะวันออก ที่ชาวบ้านมารวมตัวกัน เพื่อกรอกกระสอบทราย นำไปอุดบริเวณปากท่อระบายน้ำของชุมชน โดยจะใช้การอุดแบ่งเป็น 2 ตอนคืนปากท่อ และกลางคลองส่งน้ำ เพื่อป้องกันมวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลทะลักย้อนเข้าท่อเข้าไปเอ่อท่วมชุมชน
 
นายบุญเชิญ ถีจันทร์ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหาดอาษาแกนนำชาวบ้าน เปิดเผยว่า ช่วง 2 วันที่ผ่านมาระดับน้ำเจ้าพระยาขึ้นเร็วมาก ซึ่งในวันนี้ถ้าไม่มีการอุดปากท่อ ระดับน้ำขนาดนี้ก็ไหลเข้าชุมมชนท่วมที่ลุ่มต่ำไปแล้ว
 
โดยเมื่อเทียบปริมาณน้ำในปีนี้กับปี 2565 ที่ท่วมครั้งหลังสุด ก็ถือว่าใกล้เคียง แต่เมื่อปี 65 น้ำขึ้นเร็วช่วงกลางคืน ทำให้ชาวบ้านที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน กรอกกระสอบทรายไม่ทัน จนน้ำทะลักเข้าท่วมอยู่กว่า 2 เดือนในปีนั้น ซึ่งพื้นที่ ต.หาดอาษา มีชุมชนตามแนวตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด 7 กม.ที่จะต้องคอยเฝ้าระวังน้ำต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่