พบ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานกทม.-ปริมณฑล ลมพัดพาความชื้นจากอ่าวไทย อัตราการระบายอากาศต่ำ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4815013
‘ฝุ่นพิษ’มาแล้ว ! พบ PM2.5 เกินค่ามาตรฐานกทม.-ปริมณฑล เหตุลมพัดพาความชื้นจากอ่าวไทยมายังพื้นที่ อัตราการระบายอากาศต่ำ คาดแนวโน้มดีขึ้น 29-30 ก.ย. แต่หลัง 3 ต.ค.ต้องเฝ้าระวังต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ภาพรวมปริมาณฝุ่น PM2.5 ในประเทศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่พบเกินค่ามาตรฐานบางสถานีในพื้นที่ กทม. จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร และ จ. สระบุรี
ทั้งนี้กทม.และปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ ดี ถึง เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานที่บริเวณ ต.มหาชัย อ.เมือง, สมุทรสาคร,ต.ปากน้ำ อ.เมือง, สมุทรปราการ,ริมถนนดินแดง เขตดินแดง, กทม.เนื่องจากมีลมพัดพาความชื้นจากอ่าวไทยมายังพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับกระแสลมอ่อน ส่งผลให้อัตราการระบายอากาศในพื้นที่ดังกล่าวต่ำมาก ทำให้ฝุ่นละออง PM2.5 สูงขึ้น จึงมองเห็นท้องฟ้ามัวได้ชัดเจน และจากการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะมีแนวโน้มดีขึ้น ในวันที่ 29-30 ก.ย. เนื่องจากมีฝนตก แต่หลังจากวันที่ 3 ตุลาคม ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เอื้อต่อการระบายอากาศ.
ณัฐวุฒิ วอนสภาผ่านร่างแก้ กม.ป.ป.ช. ให้อำนาจผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814354
ณัฐวุฒิ วอนสภาผ่านร่างแก้ กม.ป.ป.ช. ให้อำนาจผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง คืนความยุติธรรมผู้สูญเสีย สกัดผู้มีอำนาจสั่งปราบปราม ปชช.ได้ง่ายๆ
เมื่อวันที่ 27 กันยายน นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยความคืบหน้าการทวงคืนความยุติธรรม 99 ศพคนเสื้อแดง ในประเด็นการยื่นร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อเปิดทางคืนความยุติธรรมให้ผู้สูญเสียจากการสั่งให้สลายการชุมนุมปี 2553 ว่า
ร่างแก้ไข พ.ร.ป.ป.ป.ช. เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ผู้สูญเสียชีวิตจากการกระทำโดยรัฐ เรื่องเดิมตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งยื่นโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทย และดำเนินการตามขั้นตอน จนบรรจุเข้าวาระการประชุมรัฐสภามาแล้วเมื่อต้นปี 2567
แต่เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนมีข้อทักท้วงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้ผมจะประสานงานกับพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคก้าวไกล และได้รับการตอบรับจะลงคะแนนสนับสนุน แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ร่วมกันแล้วเห็นว่า ไม่น่าจะได้เสียงข้างมากในรัฐสภา กฎหมายอาจตกไปตั้งแต่วาระแรก พรรคเพื่อไทยจึงตัดสินใจถอนร่างดังกล่าว
ผมติดตามหารือกับฝ่ายกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จนมีข้อสรุปร่วมกันถึงแนวทางการปรับปรุงเนื้อหา โดยมีหลักการสำคัญคือ คดีอันถึงแก่ชีวิตที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช.ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา หรือรับไว้พิจารณาแล้วยกคำร้อง หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง
นอกจากนี้ ยังเพิ่มเนื้อหาอีกบางประเด็น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และถ่วงดุลการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. โดยยึดหลักนิติธรรม
ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง โดย นายก่อแก้ว พิกุลทอง และคณะ ได้ยื่นต่อประธานรัฐสภาไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วน จะบรรจุเข้าวาระการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง
ด้วยความมุ่งหวังว่าจะผ่านการพิจารณา และมีผลบังคับใช้ เพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้สูญเสีย (มีบทเฉพาะกาลให้ผู้เสียหายฟ้องคดีที่ ป.ป.ช.ไม่รับคำร้อง ยกคำร้อง หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ก่อน พ.ร.ป.นี้บังคับใช้ต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญานั้นโดยตรงได้ แต่ต้องอยู่ภายในอายุความ) และเป็นหลักประกันหนึ่ง ไม่ให้ผู้มีอำนาจสั่งใช้กำลังปราบปรามประชาชนได้โดยง่ายอีกในอนาคต
เราเดินทางมายาวนาน ตราบใดที่ไม่หยุดเดิน วันหนึ่งก็หวังว่าจะถึงเส้นชัย
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/1079394923542104
ปิยบุตรชี้ 2 ทางเลือก แนะรัฐบาล-สภา พลิกเกมยื้อส.ว. ให้รธน.ใหม่ เสร็จทันปี’70
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814154
ปิยบุตร ชี้ 2 ทางเลือก แนะรัฐบาล-สภา พลิกเกมถูกส.ว.ยื้อ ให้รธน.ใหม่ เสร็จทันปี’70
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง
[เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไปอีก รัฐบาล/รัฐสภาควรทำอย่างไร?] โดยมีเนื้อหาดังนี้
รัฐบาลวางแนวทางไว้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีขึ้นได้ ต้องผ่านการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง
ครั้งแรก ประชามติต้นปี 2568 เพื่อถามประชาชนว่า เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยไม่แก้ หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่
ครั้งที่สอง ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเพิ่มบทบัญญัติหมวดใหม่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อร่างแก้ไขนี้ผ่านรัฐสภาแล้ว ก็ต้องไปออกเสียงประชามติ
ครั้งที่สาม มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องนำร่างใหม่นั้นไปออกเสียงประชามติ
โดยรัฐบาลเห็นว่า การออกเสียงประชามติในครั้งแรก จะเกิดได้ ก็ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เสียก่อน เพื่อเปลี่ยนจากเกณฑ์ “ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ + ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ” หรือ Double Majority ให้เป็น “ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ”
ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.บ.ประชามตินี้ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในการพิจารณาของวุฒิสภา
ปรากฏว่า เมื่อวานนี้ มีข่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา มีมติให้กลับไปเป็น Double Majority ตามเดิม
หากไปจนจบวาระสามในชั้นวุฒิสภา ยังเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า วุฒิสภามีมติแก้ไขจากร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร
หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา ก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา ซึ่งก็ต้องทอดเวลาออกไปอีก
จากนั้น หากสภาใดสภาหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาทำกันมา ร่างนั้นก็จะถูกยับยั้งไว้ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะนำกลับมาลงมติยืนยันได้
เมื่อดูตารางเวลาของกระบวนการนิติบัญญัติ กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีการออกเสียงประชามติรอบแรกในต้นปี 2568
อย่างน้อยๆ ต้องเสียเวลาเพิ่มอีก 8-10 เดือน กว่าจะแก้ไข รธน. ให้มี ส.ส.ร. แล้วประชามติ เลือก ส.ส.ร. มาทำร่างใหม่ แล้วประชามติ ก็ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก อย่างน้อย 2 ปี
ดังนั้น Roadmap ที่แกนนำรัฐบาล พูดกันว่า เลือกตั้งปี 70 จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ให้ใช้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่มีคนพยายามใช้กลไกถ่วงเวลาการแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้
ผมเห็นว่า รัฐบาลและรัฐสภามีทางเลือก 2 ทาง
ทางเลือกแรก
ลดการออกเสียงประชามติเหลือ 2 ครั้ง กล่าวคือ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เข้ารัฐสภาเลย (ถ้ารีบเสนอวันนี้เลย ก็สามารถพิจารณาวาระแรกทันในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะสิ้นสุดสิ้นเดือนตุลาคม) เมื่อผ่านรัฐสภา ก็ไปออกเสียงประชามติ
เมื่อผ่าน ก็มี ส.ส.ร. เมื่อ ส.ส.ร. ทำร่างใหม่เสร็จ ก็นำมาออกเสียงประชามติ
ทางเลือกนี้ ประหยัดเวลาไปอีก 8-10 เดือน และทำประชามติเพียงสองครั้ง ประหยัดงบประมาณไปได้มาก
ประธานรัฐสภาไม่ต้องกังวล ต้องกล้าบรรจุเรื่องเข้ารัฐสภา เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า การทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ แต่ไม่ได้บอกว่า ต้องทำประชามติกี่ครั้ง กรณีนี้ ทำสองครั้ง (แก้ให้มี ส.ส.ร. 1 ครั้ง และร่างใหม่ที่ ส.ส.ร. ทำ อีก 1 ครั้ง)
ทางเลือกที่สอง
เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2560 รายมาตรา ตั้งแต่หมวด 3 จนถึงหมวดสุดท้าย ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279
ในเมื่อการมี ส.ส.ร. ในเมื่อการทำรัฐธรรมนูญใหม่ มีอุปสรรคมากมาย กังวลเรื่องนั้น กลัวเรื่องนี้ เถียงกันอยู่แค่ว่า ต้องมีประชามติกี่ครั้ง ต้องแก้ไขกฎหมายประชามติก่อนหรือไม่ อย่างไร
อย่ากระนั้นเลย ในเมื่อรัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ก็สามารถดำเนินการตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสีย
ปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆ ก็ตกไป
การแก้ไข ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279 ไม่ใช่การทำใหม่ ทั้งฉบับอยู่แล้ว ย่อมไม่ติดกับดัก “ประชามติ“ ที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อกังวลเรื่องจะมาแก้ไข หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ ก็ไม่มี เพราะนี่คือการเริ่มแก้ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป
และกระบวนการนี้ ทั้งหมดจบได้ด้วยประชามติครั้งเดียวตอนท้าย หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว
ทางเลือกนี้ แก้ทั้งกับดัก และยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ
มีแต่ทางเลือกสองทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรามีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ทันในปี 2570.
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid0SG3r7NKYTdRiLWKwNbo7CFx3Ks9gSUbddmveiRP3ghtG57QVnn1E3mKvgcJZB6aRl
กกต.น่วม เจอ ‘ทนายอั๋น’ จี้ แจง ปม คุณสมบัติ ‘สว.หมอเกศ’ พร้อมขู่ฟ้อง หลังยื่นยุบภูมิใจไทยก็ไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814404
กกต.น่วม เจอ ‘ทนายอั๋น’ จี้ แจง ปมคุณสมบัติ ‘สว.หมอเกศ’ พร้อมขู่ฟ้องหลังยื่นยุบภูมิใจไทยก็ไม่คืบ ส่วน สนธิญา เล็งร้อง ป.ป.ช.ฟัน
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นาย
ภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เข้ายื่นถึงกกต.เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีให้ตรวจสอบคุณสมบัติการเป็น สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ของ พญ.
เกศกมล เปลี่ยนสมัย โดยนาย
ภัทรพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนมองว่าการที่เขามาสมัครสว.น่าจะผิดกฎหมาย ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 จะครบ 3 เดือนแล้ว แต่กกต.กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนใดๆ ตนทั้งเสียเงิน เสียเวลากับนาย
แสวง บุญมี เลขาธิการกกต. และวันนี้ (27 ก.ย.) โดยตนได้นำปริญญาบัตรจำลองจากมหาวิทยาลัย California University ซึ่งเป็นปริญญาบัตรที่พญ.
เกศกมล นำไปโชว์ต่อสื่อมวลชน และปริญญาบัตรดังกล่าวยังไปปรากฎอยู่ในใบ สว.3 จึงอยากนำมาให้นายแสวง เพื่อจะได้ระลึกถึงว่าปริญญาใบนี้ที่เป็นข้อกังขาของคนไทยทั้งประเทศว่า มีคุณสมบัติใช้ได้อย่างไร หน่วยงานราชการไทยได้รับรองหรือไม่ แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ค่าปริญญาบัตรใบนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ตนยังมีรายชื่อสว.ชุดปัจจุบันที่ไปทำสัญญาธุรกรรมกับภาครัฐ มีผลประโยชน์ชัดเจนกว่าหลายสิบคน ซึ่งตนจะตามจัดการต่อไป
“
เรื่องสว.หมอเกศ ผมจะตามให้ถึงที่สุด อีกทั้งยังมีเรื่องที่ผมเคยยื่นทวงถามกรณีการยุบพรรคภูมิใจไทย โดยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนที่ผ่านมาผมบอกว่าผมจะไม่คุยแล้ว แล้วคุณจะต้องชี้แจงต่อสังคมว่าการตรวจสอบอยู่ในขั้นตอนไหน แต่เรื่องก็ยังเงียบอีกตามเคย จึงอยากจะแจ้งข่าวดีให้กับนายแสวง บุญมี รวมถึงคณะกรรมการกกต.ทั้งคณะว่าตอนนี้ผมได้ร่างคำฟ้องไว้แล้ว คิดว่าอีกสัปดาห์หนึ่งก็น่าจะเสร็จ ไปเจอที่ศาลอาญาทุจริตก็แล้วกัน” นาย
ภัทรพงศ์ กล่าว
JJNY : 5in1 พบ PM2.5 เกิน│ณัฐวุฒิวอนสภาผ่านร่างแก้กม.ป.ป.ช.│ปิยบุตรชี้ 2ทางเลือก│กกต.น่วมเจอ‘ทนายอั๋น’│จีนรับ ศก.มีปัญหา
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4815013
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ ภาพรวมปริมาณฝุ่น PM2.5 ในประเทศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ แต่พบเกินค่ามาตรฐานบางสถานีในพื้นที่ กทม. จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร และ จ. สระบุรี
ทั้งนี้กทม.และปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ ดี ถึง เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานที่บริเวณ ต.มหาชัย อ.เมือง, สมุทรสาคร,ต.ปากน้ำ อ.เมือง, สมุทรปราการ,ริมถนนดินแดง เขตดินแดง, กทม.เนื่องจากมีลมพัดพาความชื้นจากอ่าวไทยมายังพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับกระแสลมอ่อน ส่งผลให้อัตราการระบายอากาศในพื้นที่ดังกล่าวต่ำมาก ทำให้ฝุ่นละออง PM2.5 สูงขึ้น จึงมองเห็นท้องฟ้ามัวได้ชัดเจน และจากการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 จะมีแนวโน้มดีขึ้น ในวันที่ 29-30 ก.ย. เนื่องจากมีฝนตก แต่หลังจากวันที่ 3 ตุลาคม ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อ เนื่องจากสภาพภูมิอากาศไม่เอื้อต่อการระบายอากาศ.
ณัฐวุฒิ วอนสภาผ่านร่างแก้ กม.ป.ป.ช. ให้อำนาจผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814354
ณัฐวุฒิ วอนสภาผ่านร่างแก้ กม.ป.ป.ช. ให้อำนาจผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง คืนความยุติธรรมผู้สูญเสีย สกัดผู้มีอำนาจสั่งปราบปราม ปชช.ได้ง่ายๆ
เมื่อวันที่ 27 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยความคืบหน้าการทวงคืนความยุติธรรม 99 ศพคนเสื้อแดง ในประเด็นการยื่นร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อเปิดทางคืนความยุติธรรมให้ผู้สูญเสียจากการสั่งให้สลายการชุมนุมปี 2553 ว่า
ร่างแก้ไข พ.ร.ป.ป.ป.ช. เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ผู้สูญเสียชีวิตจากการกระทำโดยรัฐ เรื่องเดิมตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งยื่นโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทย และดำเนินการตามขั้นตอน จนบรรจุเข้าวาระการประชุมรัฐสภามาแล้วเมื่อต้นปี 2567
แต่เนื่องจากเนื้อหาบางส่วนมีข้อทักท้วงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้ผมจะประสานงานกับพรรคเพื่อไทย รวมถึงพรรคก้าวไกล และได้รับการตอบรับจะลงคะแนนสนับสนุน แต่เมื่อประเมินสถานการณ์ร่วมกันแล้วเห็นว่า ไม่น่าจะได้เสียงข้างมากในรัฐสภา กฎหมายอาจตกไปตั้งแต่วาระแรก พรรคเพื่อไทยจึงตัดสินใจถอนร่างดังกล่าว
ผมติดตามหารือกับฝ่ายกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จนมีข้อสรุปร่วมกันถึงแนวทางการปรับปรุงเนื้อหา โดยมีหลักการสำคัญคือ คดีอันถึงแก่ชีวิตที่อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช. หาก ป.ป.ช.ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา หรือรับไว้พิจารณาแล้วยกคำร้อง หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายยื่นฟ้องได้เอง
นอกจากนี้ ยังเพิ่มเนื้อหาอีกบางประเด็น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และถ่วงดุลการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. โดยยึดหลักนิติธรรม
ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง โดย นายก่อแก้ว พิกุลทอง และคณะ ได้ยื่นต่อประธานรัฐสภาไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วน จะบรรจุเข้าวาระการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง
ด้วยความมุ่งหวังว่าจะผ่านการพิจารณา และมีผลบังคับใช้ เพื่อคืนความยุติธรรมให้ผู้สูญเสีย (มีบทเฉพาะกาลให้ผู้เสียหายฟ้องคดีที่ ป.ป.ช.ไม่รับคำร้อง ยกคำร้อง หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ก่อน พ.ร.ป.นี้บังคับใช้ต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญานั้นโดยตรงได้ แต่ต้องอยู่ภายในอายุความ) และเป็นหลักประกันหนึ่ง ไม่ให้ผู้มีอำนาจสั่งใช้กำลังปราบปรามประชาชนได้โดยง่ายอีกในอนาคต
เราเดินทางมายาวนาน ตราบใดที่ไม่หยุดเดิน วันหนึ่งก็หวังว่าจะถึงเส้นชัย
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/1079394923542104
ปิยบุตรชี้ 2 ทางเลือก แนะรัฐบาล-สภา พลิกเกมยื้อส.ว. ให้รธน.ใหม่ เสร็จทันปี’70
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814154
ปิยบุตร ชี้ 2 ทางเลือก แนะรัฐบาล-สภา พลิกเกมถูกส.ว.ยื้อ ให้รธน.ใหม่ เสร็จทันปี’70
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง [เมื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไปอีก รัฐบาล/รัฐสภาควรทำอย่างไร?] โดยมีเนื้อหาดังนี้
รัฐบาลวางแนวทางไว้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีขึ้นได้ ต้องผ่านการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง
ครั้งแรก ประชามติต้นปี 2568 เพื่อถามประชาชนว่า เห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยไม่แก้ หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่
ครั้งที่สอง ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเพิ่มบทบัญญัติหมวดใหม่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเมื่อร่างแก้ไขนี้ผ่านรัฐสภาแล้ว ก็ต้องไปออกเสียงประชามติ
ครั้งที่สาม มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ก็ต้องนำร่างใหม่นั้นไปออกเสียงประชามติ
โดยรัฐบาลเห็นว่า การออกเสียงประชามติในครั้งแรก จะเกิดได้ ก็ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ เสียก่อน เพื่อเปลี่ยนจากเกณฑ์ “ผู้มาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ + ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ” หรือ Double Majority ให้เป็น “ผู้เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ”
ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข พ.ร.บ.ประชามตินี้ ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว อยู่ในการพิจารณาของวุฒิสภา
ปรากฏว่า เมื่อวานนี้ มีข่าวว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภา มีมติให้กลับไปเป็น Double Majority ตามเดิม
หากไปจนจบวาระสามในชั้นวุฒิสภา ยังเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า วุฒิสภามีมติแก้ไขจากร่างที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร
หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภา ก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของสองสภา ซึ่งก็ต้องทอดเวลาออกไปอีก
จากนั้น หากสภาใดสภาหนึ่งยังไม่เห็นด้วยกับร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมสองสภาทำกันมา ร่างนั้นก็จะถูกยับยั้งไว้ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะนำกลับมาลงมติยืนยันได้
เมื่อดูตารางเวลาของกระบวนการนิติบัญญัติ กรณีการแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติแล้ว จึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีการออกเสียงประชามติรอบแรกในต้นปี 2568
อย่างน้อยๆ ต้องเสียเวลาเพิ่มอีก 8-10 เดือน กว่าจะแก้ไข รธน. ให้มี ส.ส.ร. แล้วประชามติ เลือก ส.ส.ร. มาทำร่างใหม่ แล้วประชามติ ก็ต้องบวกเวลาเพิ่มไปอีก อย่างน้อย 2 ปี
ดังนั้น Roadmap ที่แกนนำรัฐบาล พูดกันว่า เลือกตั้งปี 70 จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ให้ใช้ จึงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว
ด้วยสถานการณ์ที่มีคนพยายามใช้กลไกถ่วงเวลาการแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้
ผมเห็นว่า รัฐบาลและรัฐสภามีทางเลือก 2 ทาง
ทางเลือกแรก
ลดการออกเสียงประชามติเหลือ 2 ครั้ง กล่าวคือ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เข้ารัฐสภาเลย (ถ้ารีบเสนอวันนี้เลย ก็สามารถพิจารณาวาระแรกทันในสมัยประชุมนี้ ซึ่งจะสิ้นสุดสิ้นเดือนตุลาคม) เมื่อผ่านรัฐสภา ก็ไปออกเสียงประชามติ
เมื่อผ่าน ก็มี ส.ส.ร. เมื่อ ส.ส.ร. ทำร่างใหม่เสร็จ ก็นำมาออกเสียงประชามติ
ทางเลือกนี้ ประหยัดเวลาไปอีก 8-10 เดือน และทำประชามติเพียงสองครั้ง ประหยัดงบประมาณไปได้มาก
ประธานรัฐสภาไม่ต้องกังวล ต้องกล้าบรรจุเรื่องเข้ารัฐสภา เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่า การทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ แต่ไม่ได้บอกว่า ต้องทำประชามติกี่ครั้ง กรณีนี้ ทำสองครั้ง (แก้ให้มี ส.ส.ร. 1 ครั้ง และร่างใหม่ที่ ส.ส.ร. ทำ อีก 1 ครั้ง)
ทางเลือกที่สอง
เสนอแก้รัฐธรรมนูญ 2560 รายมาตรา ตั้งแต่หมวด 3 จนถึงหมวดสุดท้าย ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279
ในเมื่อการมี ส.ส.ร. ในเมื่อการทำรัฐธรรมนูญใหม่ มีอุปสรรคมากมาย กังวลเรื่องนั้น กลัวเรื่องนี้ เถียงกันอยู่แค่ว่า ต้องมีประชามติกี่ครั้ง ต้องแก้ไขกฎหมายประชามติก่อนหรือไม่ อย่างไร
อย่ากระนั้นเลย ในเมื่อรัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ก็สามารถดำเนินการตามกระบวนการที่กำหนดไว้ใน หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสีย
ปัญหาหรือข้อกังวลต่างๆ ก็ตกไป
การแก้ไข ตั้งแต่มาตรา 25 ถึงมาตรา 279 ไม่ใช่การทำใหม่ ทั้งฉบับอยู่แล้ว ย่อมไม่ติดกับดัก “ประชามติ“ ที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ข้อกังวลเรื่องจะมาแก้ไข หมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ ก็ไม่มี เพราะนี่คือการเริ่มแก้ตั้งแต่หมวด 3 เป็นต้นไป
และกระบวนการนี้ ทั้งหมดจบได้ด้วยประชามติครั้งเดียวตอนท้าย หลังจากรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว
ทางเลือกนี้ แก้ทั้งกับดัก และยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ
มีแต่ทางเลือกสองทางนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เรามีรัฐธรรมนูญใหม่ใช้ทันในปี 2570.
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid0SG3r7NKYTdRiLWKwNbo7CFx3Ks9gSUbddmveiRP3ghtG57QVnn1E3mKvgcJZB6aRl
กกต.น่วม เจอ ‘ทนายอั๋น’ จี้ แจง ปม คุณสมบัติ ‘สว.หมอเกศ’ พร้อมขู่ฟ้อง หลังยื่นยุบภูมิใจไทยก็ไม่คืบ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4814404
กกต.น่วม เจอ ‘ทนายอั๋น’ จี้ แจง ปมคุณสมบัติ ‘สว.หมอเกศ’ พร้อมขู่ฟ้องหลังยื่นยุบภูมิใจไทยก็ไม่คืบ ส่วน สนธิญา เล็งร้อง ป.ป.ช.ฟัน
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ เข้ายื่นถึงกกต.เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีให้ตรวจสอบคุณสมบัติการเป็น สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย โดยนายภัทรพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนมองว่าการที่เขามาสมัครสว.น่าจะผิดกฎหมาย ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.2567 จะครบ 3 เดือนแล้ว แต่กกต.กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีความซับซ้อนใดๆ ตนทั้งเสียเงิน เสียเวลากับนายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. และวันนี้ (27 ก.ย.) โดยตนได้นำปริญญาบัตรจำลองจากมหาวิทยาลัย California University ซึ่งเป็นปริญญาบัตรที่พญ.เกศกมล นำไปโชว์ต่อสื่อมวลชน และปริญญาบัตรดังกล่าวยังไปปรากฎอยู่ในใบ สว.3 จึงอยากนำมาให้นายแสวง เพื่อจะได้ระลึกถึงว่าปริญญาใบนี้ที่เป็นข้อกังขาของคนไทยทั้งประเทศว่า มีคุณสมบัติใช้ได้อย่างไร หน่วยงานราชการไทยได้รับรองหรือไม่ แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ค่าปริญญาบัตรใบนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ตนยังมีรายชื่อสว.ชุดปัจจุบันที่ไปทำสัญญาธุรกรรมกับภาครัฐ มีผลประโยชน์ชัดเจนกว่าหลายสิบคน ซึ่งตนจะตามจัดการต่อไป
“เรื่องสว.หมอเกศ ผมจะตามให้ถึงที่สุด อีกทั้งยังมีเรื่องที่ผมเคยยื่นทวงถามกรณีการยุบพรรคภูมิใจไทย โดยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนที่ผ่านมาผมบอกว่าผมจะไม่คุยแล้ว แล้วคุณจะต้องชี้แจงต่อสังคมว่าการตรวจสอบอยู่ในขั้นตอนไหน แต่เรื่องก็ยังเงียบอีกตามเคย จึงอยากจะแจ้งข่าวดีให้กับนายแสวง บุญมี รวมถึงคณะกรรมการกกต.ทั้งคณะว่าตอนนี้ผมได้ร่างคำฟ้องไว้แล้ว คิดว่าอีกสัปดาห์หนึ่งก็น่าจะเสร็จ ไปเจอที่ศาลอาญาทุจริตก็แล้วกัน” นายภัทรพงศ์ กล่าว