จับตา 30 บริษัทจ่อคิวขายหุ้น IPO ตอบรับสัญญาณบวกตลาดหุ้นไทย บริษัทดังตบเท้าเข้าระดมทุนเพียบ “โอ้กะจู๋-ยัสปาล-บุญถาวร-เงินเทอร์โบ-YSS-มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย.-โรงพยาบาลนครธน” ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยธุรกิจแพลตฟอร์มสิงคโปร์ยื่นไฟลิ่งไตรมาส 4 ปีนี้ บล.เอเซีย พลัส ชี้เทรนด์ IPO ปีนี้หลายบริษัทพลิกให้ผลตอบแทนเป็นบวกจากปลายปีที่แล้วส่วนใหญ่ราคาต่ำจอง สะท้อนความเชื่อมั่นกลับมา “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์” มองหุ้นไทยผ่านพ้นวิกฤตลุ้นปลายปีดัชนีแตะ 1,500 จุด “ซีอีโอโอ้กะจู๋” มั่นใจเทรดวันแรก 4 ต.ค. แจ้งจะมีบิ๊กลอต OR พร้อมกางแผนขยายสาขา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินหลาย ๆ นโยบายเพื่อเรียกความเชื่อมั่น รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยส่งสัญญาณบวก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ
และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้อย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้จะสามารถไปอยู่ที่ 1,500 จุด ทำให้บรรยากาศของตลาดหุ้นมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะในการเสนอขายหุ้นไอพีโอที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ก็ขอเลื่อนการเสนอขายออกไป
รายงานข่าวระบุว่า นับจากต้นปี 2567 จนถึงวันที่ 24 ก.ย. (YTD) มีบริษัทเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) แล้ว 23 บริษัท เป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET จำนวน 9 บริษัท และ mai อีก 14 บริษัท มูลค่าการระดมทุน 1.3 หมื่นล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอ 8.21 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้มี 16 บริษัท ปิดราคาหุ้นเหนือจองในการซื้อขายวันแรก และปิดต่ำจอง 7 บริษัท
IPO จ่อคิวเข้าเทรด 30 บริษัท
นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 และดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันมีบริษัทได้รับอนุมัติและรอขายหุ้นไอพีโออยู่จำนวน 10 บริษัท และมีบริษัทยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 20 บริษัท
สำหรับ 10 บริษัทที่ได้รับอนุมัตินั้น สามารถเปิดขายหุ้นไอพีโอได้เลย เมื่อประเมินถึงราคาหุ้นที่คาดหวังว่าจะได้และความพร้อมของบริษัทแล้ว ดังนั้นคาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4/2567 จนถึงไตรมาส 1/2568 น่าจะทยอยเห็นการเข้าไอพีโออย่างต่อเนื่อง
หากตลาดหุ้นไทยอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถฟื้นตัวได้ดีไปเรื่อย ๆ จากทั้งแรงหนุนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้จะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ในเดือน ก.ย. (วันที่ 1-23 ก.ย.) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 3.1 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงยังมีเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) อีกด้วย
“ตอนนี้เรามองว่าสถานการณ์ IPO น่าจะเริ่มดูดีขึ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยพลิกเป็นบวกได้แล้วประมาณ 1.01% (ณ ราคาปิดวันที่ 23 ก.ย. 67) แต่ถามว่าปิดสิ้นปีนี้จะมีบริษัทไอพีโอเท่ากับปีที่แล้วหรือไม่ ที่จำนวน 40 บริษัท มองว่าขึ้นอยู่แต่ละบริษัทมีมุมมองต่อภาวะตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 4
อย่างไรก็ดี มีเวลาให้คิดอีก 3 เดือน แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้มีอยู่ 30 บริษัท ที่มีคุณสมบัติขายไอพีโอได้ โดยคาดว่า 20 บริษัท ที่กำลังอยู่ระหว่างไฟลิ่งจะผ่านได้ราว 15 บริษัท รวมกับอนุมัติไปแล้ว 10 บริษัท ดังนั้นจะมีประมาณ 20-25 บริษัท ที่มีความพร้อม” นายอำนวยกล่าว
บริษัทดังตบเท้า IPO เพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทชั้นนำที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างที่เตรียมเข้า IPO ประกอบด้วย 1.บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) หรือโอ้กะจู๋ ธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พันธมิตรในเครือ OR 2.บมจ.ยัสปาล (JPC) ธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ 3.บมจ.บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BOON) ธุรกิจค้าปลีกให้บริการและจำหน่ายสินค้ากระเบื้อง เครื่องสุขภัณฑ์ เครื่องครัว และอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจร
4.บมจ.เงินเทอร์โบ (TURBO) ธุรกิจให้บริการสินเชื่อภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 5.บมจ.วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) (YSS) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โช้กอัพสำหรับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ 6.บมจ.มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) (MRDIYT) ธุรกิจค้าปลีกสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ และ 7.บมจ.โรงพยาบาลนครธน (NKT) ขนาด 150 เตียง
แพลตฟอร์มสิงคโปร์ยื่นไฟลิ่ง Q4
นางสาวรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลท. กล่าวว่า ตอนนี้เทรนด์ของบริษัทที่สนใจจะเข้าไอพีโอในตลาดหุ้นไทยมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่บางครั้งในมุมของผู้ประกอบการเองจะพิจารณามูลค่าหุ้น (Valuation) ด้วยว่าใช่จังหวะที่จะเข้าไประดมทุนหรือไม่ ซึ่งจากที่เห็นเมื่อช่วงปีที่แล้วจะมีบางบริษัทเลื่อนการขายไอพีโอออกไป เพราะมองว่า Valuation ยังไม่คุ้มเพราะบรรยากาศตลาดไม่เอื้อ
อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ตลาดเริ่มกลับมาคึกคักจากกองทุนวายุภักษ์ คงต้องดูเซนติเมนต์ในระยะยาว ว่าหลังจากนี้ไปแล้วตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ในเบื้องต้นบริษัทที่ได้รับอนุมัติและอยู่ระหว่างพิจารณาไฟลิ่งก็ยังอยู่ในแผนไอพีโอ ยังไม่ได้เลื่อนไอพีโอเหมือนช่วงปีที่แล้วมาก
ส่วนความคืบหน้าของบริษัทต่างชาติที่สนใจจะเข้าไอพีโอในตลาดหุ้นไทย ขณะนี้กำลังพูดคุยในเรื่องรายละเอียดของเอกสารและขั้นตอนการนำส่งต่าง ๆ โดยจะเป็นบริษัทโฮลดิ้งประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม ที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยจะยื่นไฟลิ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ตามแผนเดิมในไตรมาส 4 ปีนี้
ผลตอบแทนพลิกเป็นบวก
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเสนอขายหุ้นไอพีโอในปีนี้ หลายบริษัทสามารถพลิกกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในวันซื้อขายวันแรก อาทิ ADVICE +62%, BKGI +170%, APO +114%, MAGURO +22% ฯลฯ จากไอพีโอช่วงปลายปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาจองซื้อ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของหุ้นไอพีโอกลับมา
อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน มีหุ้นไอพีโอเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแค่ 23 บริษัท ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่เข้ามา 40 บริษัท สะท้อนว่าทุกคนกำลังรอดูแนวโน้มตลาดหุ้นอยู่ อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นการเร่งเข้ามาไอพีโอมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากภาวะตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และไอพีโอมักกระจุกตัวเข้ามาในช่วงปลายปี
“ตอกย้ำจากสถิติในอดีต ช่วงปีที่มีไอพีโอเข้ามาร้อนแรง เป็นช่วงที่ SET Index ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี เช่น ปี 2557 มีไอพีโอทั้งหมด 45 บริษัท จากปีก่อนหน้า 38 บริษัท ปีนั้นดัชนีหุ้นไทยปิดบวก 15% ปี 2560 มีไอพีโอทั้งหมด 42 บริษัท จากปีก่อนหน้า 27 บริษัท SET ปิดบวก 13% และปี 2564 มีไอพีโอทั้งหมด 41 บริษัท จากปีก่อนหน้า 28 บริษัท ตลาดหุ้นปิดบวก 14%” นายภราดรกล่าว
หุ้นไทยพ้นวิกฤตลุ้น 1,500 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยได้ผ่านพ้นวิกฤตแล้ว โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาเติบโตขึ้นคือ 1.การบังคับใช้มาตรการ Uptick กับหุ้นไทย ทำให้การทำชอร์ตเซลน้อยลง จึงเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น
2.การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ นับเป็นกองทุนที่มีเม็ดเงินที่สูง สร้างความมั่นใจมากขึ้นในระยะยาว 10 ปีจะมีเม็ดเงินมารองรับเมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวลงต่ำกว่าพื้นฐาน และ 3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ คาดว่าจะช่วยทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้แตะระดับ 1,500 จุด
“จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากค่าเฉลี่ย 8 เดือนของปีนี้ และนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงตลาดหุ้นเพื่อนบ้านมากขึ้น” นายสุกิจกล่าว
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตได้ 3.5% เป็นผลจากรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทได้สำเร็จ
ขณะที่ทั้งปีคาดว่า GDP จะขยายตัวได้ 2.5% ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% และคาด กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยปีนี้และปีหน้า 1% เพื่อสนับสนุนการเติบโต ซึ่งจะช่วยลดการแข็งค่าของค่าเงินบาทด้วย
ทรีนีตี้ ไอพีโอในมือ 13-14 ดีล
ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีดีลในการเป็นที่ปรึกษานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ประมาณ 13-14 ดีล ซึ่งจะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 โดยบริษัทมีแผนเพิ่มทีมวาณิชธนกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งมีฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้มี M&A ในมือแล้ว 8-10 ดีล ครอบคลุมในเกือบทุกอุตสาหกรรม
“บริษัทจะใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว เตรียมความพร้อมด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มที่ มีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ทั้งหุ้นและ TFEX โดยเฉพาะในฝั่ง TFEX เรามีการขยายฐานลูกค้าจนปัจจุบันสามารถสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 4-5 เท่า”
OKJ เข้าเทรด 4 ต.ค.
นางสาวอาทิตยา ปัญจทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นไอพีโอ ของ “โอ้กะจู๋” กล่าวว่า หลังปิดจองซื้อหุ้น OKJ ช่วงวันที่ 23-25 ก.ย. ที่ราคาหุ้นละ 6.70 บาท จะกำหนดเข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 4 ต.ค. 2567 โดยเข้าจดทะเบียนในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในตลาดหลักทรัพย์ SET มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ซีอีโอโอ้กะจู๋ มั่นใจเทรดวันแรก
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) กล่าวว่า มีความมั่นใจในการเข้าเทรดวันแรก เนื่องจากราคา IPO ที่หุ้นละ 6.70 บาท เป็นราคาที่สมเหตุสมผล สะท้อนจากนักลงทุนสถาบันกว่า 10 ราย มียอดจองซื้อสูงถึง 11 เท่า ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน นอกจากนี้ในตอนแรก OR สนใจอยากจะถือหุ้นเพิ่มเป็น 30% อีกด้วย
โดยคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของร้านโอ้กะจู๋ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 8% จากช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ SSSG เติบโตได้ 8.4% ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ยังมาจากร้านโอ้กะจู๋ 98% อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ใหม่ในสิ้นปีนี้จะขยับเป็น 5% ตามแผนขยายสาขา และในปี 2571 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 25%
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง YSS
นางสาวนลิน วิริยะเสถียร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) (YSS) กล่าวว่า หลังจาก YSS ได้ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ ล่าสุด ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว ทั้งนี้จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ SET
นายภิญโญ พานิชเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YSS กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์โช้กอัพสัญชาติไทยระดับโลก โดยบริษัทมีแผนนำเงินไปใช้ลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัย และพัฒนาสินค้าใหม่ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในหรือต่างประเทศ ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1659921
หุ้นไทยคึก 30 บริษัทเข้าคิว IPO SET พ้นวิกฤตปีนี้ลุ้นดัชนี 1,500 จุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯได้ดำเนินหลาย ๆ นโยบายเพื่อเรียกความเชื่อมั่น รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยขาลงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยส่งสัญญาณบวก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ
และทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้อย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้จะสามารถไปอยู่ที่ 1,500 จุด ทำให้บรรยากาศของตลาดหุ้นมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะในการเสนอขายหุ้นไอพีโอที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมาบริษัทต่าง ๆ ก็ขอเลื่อนการเสนอขายออกไป
รายงานข่าวระบุว่า นับจากต้นปี 2567 จนถึงวันที่ 24 ก.ย. (YTD) มีบริษัทเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) แล้ว 23 บริษัท เป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET จำนวน 9 บริษัท และ mai อีก 14 บริษัท มูลค่าการระดมทุน 1.3 หมื่นล้านบาท และมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคาไอพีโอ 8.21 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้มี 16 บริษัท ปิดราคาหุ้นเหนือจองในการซื้อขายวันแรก และปิดต่ำจอง 7 บริษัท
IPO จ่อคิวเข้าเทรด 30 บริษัท
นายอำนวย จิรมหาโภคา ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 1 และดูแลสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันมีบริษัทได้รับอนุมัติและรอขายหุ้นไอพีโออยู่จำนวน 10 บริษัท และมีบริษัทยื่นแบบไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว โดยอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 20 บริษัท
สำหรับ 10 บริษัทที่ได้รับอนุมัตินั้น สามารถเปิดขายหุ้นไอพีโอได้เลย เมื่อประเมินถึงราคาหุ้นที่คาดหวังว่าจะได้และความพร้อมของบริษัทแล้ว ดังนั้นคาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาส 4/2567 จนถึงไตรมาส 1/2568 น่าจะทยอยเห็นการเข้าไอพีโออย่างต่อเนื่อง
หากตลาดหุ้นไทยอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถฟื้นตัวได้ดีไปเรื่อย ๆ จากทั้งแรงหนุนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีนี้จะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ในเดือน ก.ย. (วันที่ 1-23 ก.ย.) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 3.1 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงยังมีเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์และกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) อีกด้วย
“ตอนนี้เรามองว่าสถานการณ์ IPO น่าจะเริ่มดูดีขึ้น เพราะผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยพลิกเป็นบวกได้แล้วประมาณ 1.01% (ณ ราคาปิดวันที่ 23 ก.ย. 67) แต่ถามว่าปิดสิ้นปีนี้จะมีบริษัทไอพีโอเท่ากับปีที่แล้วหรือไม่ ที่จำนวน 40 บริษัท มองว่าขึ้นอยู่แต่ละบริษัทมีมุมมองต่อภาวะตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 4
อย่างไรก็ดี มีเวลาให้คิดอีก 3 เดือน แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้มีอยู่ 30 บริษัท ที่มีคุณสมบัติขายไอพีโอได้ โดยคาดว่า 20 บริษัท ที่กำลังอยู่ระหว่างไฟลิ่งจะผ่านได้ราว 15 บริษัท รวมกับอนุมัติไปแล้ว 10 บริษัท ดังนั้นจะมีประมาณ 20-25 บริษัท ที่มีความพร้อม” นายอำนวยกล่าว
บริษัทดังตบเท้า IPO เพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทชั้นนำที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างที่เตรียมเข้า IPO ประกอบด้วย 1.บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) หรือโอ้กะจู๋ ธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พันธมิตรในเครือ OR 2.บมจ.ยัสปาล (JPC) ธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ 3.บมจ.บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น (BOON) ธุรกิจค้าปลีกให้บริการและจำหน่ายสินค้ากระเบื้อง เครื่องสุขภัณฑ์ เครื่องครัว และอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์แบบครบวงจร
4.บมจ.เงินเทอร์โบ (TURBO) ธุรกิจให้บริการสินเชื่อภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 5.บมจ.วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) (YSS) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โช้กอัพสำหรับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ 6.บมจ.มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) (MRDIYT) ธุรกิจค้าปลีกสินค้าประเภทอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ และ 7.บมจ.โรงพยาบาลนครธน (NKT) ขนาด 150 เตียง
แพลตฟอร์มสิงคโปร์ยื่นไฟลิ่ง Q4
นางสาวรุ่งทิพย์ เจริญวิสุทธิวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ 2 ตลท. กล่าวว่า ตอนนี้เทรนด์ของบริษัทที่สนใจจะเข้าไอพีโอในตลาดหุ้นไทยมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่บางครั้งในมุมของผู้ประกอบการเองจะพิจารณามูลค่าหุ้น (Valuation) ด้วยว่าใช่จังหวะที่จะเข้าไประดมทุนหรือไม่ ซึ่งจากที่เห็นเมื่อช่วงปีที่แล้วจะมีบางบริษัทเลื่อนการขายไอพีโอออกไป เพราะมองว่า Valuation ยังไม่คุ้มเพราะบรรยากาศตลาดไม่เอื้อ
อย่างไรก็ดี ช่วงนี้ตลาดเริ่มกลับมาคึกคักจากกองทุนวายุภักษ์ คงต้องดูเซนติเมนต์ในระยะยาว ว่าหลังจากนี้ไปแล้วตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ในเบื้องต้นบริษัทที่ได้รับอนุมัติและอยู่ระหว่างพิจารณาไฟลิ่งก็ยังอยู่ในแผนไอพีโอ ยังไม่ได้เลื่อนไอพีโอเหมือนช่วงปีที่แล้วมาก
ส่วนความคืบหน้าของบริษัทต่างชาติที่สนใจจะเข้าไอพีโอในตลาดหุ้นไทย ขณะนี้กำลังพูดคุยในเรื่องรายละเอียดของเอกสารและขั้นตอนการนำส่งต่าง ๆ โดยจะเป็นบริษัทโฮลดิ้งประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม ที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยจะยื่นไฟลิ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ตามแผนเดิมในไตรมาส 4 ปีนี้
ผลตอบแทนพลิกเป็นบวก
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การเสนอขายหุ้นไอพีโอในปีนี้ หลายบริษัทสามารถพลิกกลับมาให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในวันซื้อขายวันแรก อาทิ ADVICE +62%, BKGI +170%, APO +114%, MAGURO +22% ฯลฯ จากไอพีโอช่วงปลายปีที่แล้ว ส่วนใหญ่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาจองซื้อ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของหุ้นไอพีโอกลับมา
อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน มีหุ้นไอพีโอเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแค่ 23 บริษัท ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่เข้ามา 40 บริษัท สะท้อนว่าทุกคนกำลังรอดูแนวโน้มตลาดหุ้นอยู่ อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นการเร่งเข้ามาไอพีโอมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากภาวะตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และไอพีโอมักกระจุกตัวเข้ามาในช่วงปลายปี
“ตอกย้ำจากสถิติในอดีต ช่วงปีที่มีไอพีโอเข้ามาร้อนแรง เป็นช่วงที่ SET Index ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี เช่น ปี 2557 มีไอพีโอทั้งหมด 45 บริษัท จากปีก่อนหน้า 38 บริษัท ปีนั้นดัชนีหุ้นไทยปิดบวก 15% ปี 2560 มีไอพีโอทั้งหมด 42 บริษัท จากปีก่อนหน้า 27 บริษัท SET ปิดบวก 13% และปี 2564 มีไอพีโอทั้งหมด 41 บริษัท จากปีก่อนหน้า 28 บริษัท ตลาดหุ้นปิดบวก 14%” นายภราดรกล่าว
หุ้นไทยพ้นวิกฤตลุ้น 1,500 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยได้ผ่านพ้นวิกฤตแล้ว โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาเติบโตขึ้นคือ 1.การบังคับใช้มาตรการ Uptick กับหุ้นไทย ทำให้การทำชอร์ตเซลน้อยลง จึงเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น
2.การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ นับเป็นกองทุนที่มีเม็ดเงินที่สูง สร้างความมั่นใจมากขึ้นในระยะยาว 10 ปีจะมีเม็ดเงินมารองรับเมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวลงต่ำกว่าพื้นฐาน และ 3.มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของรัฐบาลใหม่ คาดว่าจะช่วยทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้ ประเมินเป้าหมาย SET Index สิ้นปีนี้แตะระดับ 1,500 จุด
“จะเห็นได้จากมูลค่าการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากค่าเฉลี่ย 8 เดือนของปีนี้ และนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ใกล้เคียงตลาดหุ้นเพื่อนบ้านมากขึ้น” นายสุกิจกล่าว
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2567 จะเติบโตได้ 3.5% เป็นผลจากรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายแจกเงิน 10,000 บาทได้สำเร็จ
ขณะที่ทั้งปีคาดว่า GDP จะขยายตัวได้ 2.5% ส่วนในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3% และคาด กนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยปีนี้และปีหน้า 1% เพื่อสนับสนุนการเติบโต ซึ่งจะช่วยลดการแข็งค่าของค่าเงินบาทด้วย
ทรีนีตี้ ไอพีโอในมือ 13-14 ดีล
ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทมีดีลในการเป็นที่ปรึกษานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ประมาณ 13-14 ดีล ซึ่งจะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 โดยบริษัทมีแผนเพิ่มทีมวาณิชธนกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งมีฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์ และในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้มี M&A ในมือแล้ว 8-10 ดีล ครอบคลุมในเกือบทุกอุตสาหกรรม
“บริษัทจะใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นฟื้นตัว เตรียมความพร้อมด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มที่ มีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ทั้งหุ้นและ TFEX โดยเฉพาะในฝั่ง TFEX เรามีการขยายฐานลูกค้าจนปัจจุบันสามารถสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 4-5 เท่า”
OKJ เข้าเทรด 4 ต.ค.
นางสาวอาทิตยา ปัญจทรัพย์ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นไอพีโอ ของ “โอ้กะจู๋” กล่าวว่า หลังปิดจองซื้อหุ้น OKJ ช่วงวันที่ 23-25 ก.ย. ที่ราคาหุ้นละ 6.70 บาท จะกำหนดเข้าซื้อขายวันแรกในวันที่ 4 ต.ค. 2567 โดยเข้าจดทะเบียนในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในตลาดหลักทรัพย์ SET มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ซีอีโอโอ้กะจู๋ มั่นใจเทรดวันแรก
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) กล่าวว่า มีความมั่นใจในการเข้าเทรดวันแรก เนื่องจากราคา IPO ที่หุ้นละ 6.70 บาท เป็นราคาที่สมเหตุสมผล สะท้อนจากนักลงทุนสถาบันกว่า 10 ราย มียอดจองซื้อสูงถึง 11 เท่า ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายให้กับนักลงทุนสถาบัน นอกจากนี้ในตอนแรก OR สนใจอยากจะถือหุ้นเพิ่มเป็น 30% อีกด้วย
โดยคาดว่าในช่วงสิ้นปีนี้ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของร้านโอ้กะจู๋ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 8% จากช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ SSSG เติบโตได้ 8.4% ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ยังมาจากร้านโอ้กะจู๋ 98% อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ใหม่ในสิ้นปีนี้จะขยับเป็น 5% ตามแผนขยายสาขา และในปี 2571 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 25%
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง YSS
นางสาวนลิน วิริยะเสถียร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.วาย.เอส.เอส. (ประเทศไทย) (YSS) กล่าวว่า หลังจาก YSS ได้ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ ล่าสุด ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว ทั้งนี้จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ SET
นายภิญโญ พานิชเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YSS กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์โช้กอัพสัญชาติไทยระดับโลก โดยบริษัทมีแผนนำเงินไปใช้ลงทุนในเครื่องจักรและปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัย และพัฒนาสินค้าใหม่ ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในหรือต่างประเทศ ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1659921