พรรคประชาชน ยันไม่ค้าน สร้างกำแพงกันคลื่น งงโครงการหมื่นล้าน แต่ไม่มีรายละเอียด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9397894
พรรคประชาชน ยันไม่ค้าน สร้างกำแพงกันคลื่น งงโครงการหมื่นล้าน แต่ไม่มีรายละเอียด ย้ำต้องให้ตรงประเภทการกัดเซาะ หวั่นทำลายสมดุลธรรมชาติ
วันที่ 5 ก.ย. 2567 นาย
นิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคประชาชน เคยมีการยกประเด็นกรณี “กำแพงกันคลื่น” มาพูดและย้ำมาตลอดว่ากำแพงกันคลื่นไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง หลายครั้งยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมพังลงด้วยซ้ำ เรามีปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คือกรมโยธาธิการและผังเมือง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ไม่เคยสร้างกำแพงกันคลื่นด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง และตรวจสอบได้
นาย
นิติพล กล่าวต่อว่า ต้องขอยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่คัดค้านการสร้างกำแพงกันคลื่น แต่ต้องมีความชัดเจน ว่าพื้นที่ที่จะสร้างกำแพงกันคลื่นนั้น เป็นพื้นที่ที่มีการเซาะแบบชั่วคราว ที่ธรรมชาติจะพัดทรายกลับมาเติมชายหาดให้คืนสภาพเดิม หรือแบบชั่วโคตร ที่ชายหาดถูกกัดเซาะตลอดเวลาแบบไม่มีเว้นช่วงจนแผ่นดินหาย นี่ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าพื้นที่ไหนที่ควรจะสร้างกำแพงกันคลื่นแบบไหน ปัญหาตอนนี้ คือพื้นที่ที่กำลังมีโครงการหรือสร้างเสร็จแล้ว ตรงกับประเภทหรือไม่ หากไม่ตรงอาจจะเป็นการทำลายสมดุลทางธรรมชาติ
นาย
นิติพล กล่าวว่า เราอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อขอดูรายละเอียดก็ไม่เคยได้รับข้อมูลสำคัญ และในปีงบประมาณ 2568 มีการจัดของบมาถึง 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 10 โครงการ แต่ไม่เคยได้เห็นรายละเอียดเลยว่า ตกลงพื้นที่ที่จะทำกำแพงกันคลื่นเป็นการกัดเซาะแบบไหน
“
โครงการระดับหมื่นล้านบาท คนทั่วไปขนาดเขาจะสร้างบ้านหลังละหลักล้านยังเห็นรายละเอียดมากกว่าโครงการหลักหมื่นล้านแบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร” นาย
นิติพลกล่าว.
สภาเดือด! ส.ส.กระบี่ ภูมิใจไทยโต้ ส.ส.ประชาชน ใส่ร้าย ท้าถอดเทป ขู่ร้องจริยธรรมวุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4774699
สภาเดือด! ส.ส.กระบี่ ภูมิใจไทย โต้เดือด ส.ส.ประชาชน ใส่ร้าย ท้าถอดเทป ขู่ร้องจริยธรรมวุ่น
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท วาระที่ 2 เป็นวันที่สาม โดยก่อนเข้าสู่วาระที่ประชุมได้รับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของส.ส. ในมาตราดังกล่าว ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย จนมาถึงช่วงท้ายที่พบความวุ่นวาย เนื่องจาก นาย
สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ที่ขอใช้สิทธิประท้วงคำอภิปรายของ นาย
ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ว่า ตนถูกอภิปรายพาดพิง รวมถึง ส.ส.กระบี่ 3 คน ทั้งนี้ จนติดประชุมอนุกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับเช็ค มีไลน์จาก จ.กระบี่ ปล่อยให้ นาย
ประเสริฐพงษ์ กล่าวหาใส่ร้ายส.ส.ได้อย่างไร ซึ่งผิดต่อประมวลจริยธรรมข้อ 12 “
เสียดสีใส่ร้ายว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย 4 ปี ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมีข้อจำกัด ขอให้ประธานวินิจฉัยให้เขาถอนคำพูดด้วย”
นาย
วันมูหะมัดนอร์ วินิจฉัยว่า เพื่อให้ดำเนินการต่อไม่ต้องเปิดเทป ขอให้ผู้อภิปรายกรุณาถอนคำพูดเกิดความเสียหายต่อ ส.ส.3 คน ซึ่งมองว่า เสียหายกับส.ส. ทำให้ นาย
ประเสริฐพงษ์ โต้แย้งว่า นาย
สฤษฏ์พงษ์ระบุเองว่า ยังไม่ได้ฟังสิ่งที่ตนอภิปราย และบอกว่า ตนกล่าวหาใส่ร้าย แบบนี้เท่ากับใส่ร้ายตน ทางที่ดีไปฟังก่อน หากฟังคนรอบข้างแล้วมากล่าวหาตน มิตรภาพจะเสียกันไปเปล่าๆ ทั้งนี้ ตนไม่มีคำพูดใดๆที่เสียหายและไม่ถอน ขอให้ไปฟังเทปก่อนอย่าฟังคนรอบข้างโดยไม่ฟังด้วยหูของตนเอง
ทำให้ นาย
วันมูหะมัดนอร์ พยายามไกล่เกลี่ยว่า ขอให้นายสฤษฏ์พงษ์ยกคำพูดที่พาดพิงเสียหาย เพราะขณะนี้การอภิปรายข้ามมาหลายตอน อาจจะลืมเลือนไป เอาเฉพาะคำพูดที่เสียหายและให้ผู้อภิปรายได้ถอน ซึ่งนาย
สฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ผู้แทนกระบี่ 3 คน 4 ปีไม่ทำอะไรเลย คนกล่าวใช้เวทีสภา เพื่อหาเสียงหลายโอกาสและพาดพิงถึงหมอ มีส.ส. 2 คนที่นั่งอยู่ในห้องแต่ไม่อยากขัดจังหวะ ซึ่งพาดพิงให้เกิดความเสียหายด้าน นาย
ประเสริฐพงษ์ ยืนยันว่า ไม่ได้พูดคำนั้น ทำให้ประธานสภาฯ ได้วินิจฉัยเพื่อความประนีประนอมว่าขอให้บันทึกคำประท้วงของนาย
สฤษฏ์พงษ์ไว้ ขอแค่นี้เพราะอยู่ในสภานี้
อย่างไรก็ดีนาย
สฤษฏ์พงษ์ ยังขอใช้สิทธิ และระบุว่า “
เพื่อไม่ให้สภาเสียเวลาเรื่องไร้สาระ ผมขออนุญาตตรวจเทปและชวเลข หากพูดจริงและเสียหายจริง ขอดำเนินเรื่องผิดจริยธรรมกับสมาชิก เป็นฝ่ายค้านไม่ทำอะไรเลย แล้วยังมากล่าวหากันอีก” ทำให้ นาย
ประเสริฐพงษ์ลุกประท้วง แต่ก่อนจะมีการปะทะคารมบานปลาย นาย
วันมูหะมัดนอร์ ตัดบทว่า เมื่อบันทึกและให้แก้ข้อกล่าวหาแล้วขอให้จบ ก่อนจะให้กมธ.ชี้แจงและโหวตมาตราดังกล่าวทันที ซึ่งผลการลงมติของที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบกับการแก้ไขของกมธ. และผ่านการพิจารณามาตราดังกล่าวไปมาตราถัดไปทันที
ผักสด-จานด่วน ราคาพุ่ง ดัน เงินเฟ้อ ส.ค.สูง 0.35% แนวโน้มขาขึ้น เหตุจากดีเซล แตะ 33 บาท/ลิตร
https://www.matichon.co.th/economy/news_4774679
ผักสด-จานด่วน ราคาพุ่ง ดัน เงินเฟ้อ ส.ค.สูง 0.35% แนวโน้มขาขึ้น เหตุจากดีเซลแตะ33บาท/ลิตร
วันที่ 5 กันยายน นาย
พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(เงินเฟ้อทั่วไป)ของไทย เดือนสิงหาคม 2567 เท่ากับ 108.79 เทียบกับเดือนสิงหาคม 2566 สูงขึ้น 0.35 % และสูงขึ้น 0.07% จากเดือนกรกฎาคม 2567 ปัจจัยสำคัญส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อมาสูงขึ้นมาจากราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด ที่บางพื้นที่เพาะปลูกเจอฝนตกหนักและอุทกภัย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง รวมถึงข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป อาทิ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และอาหารตามสั่ง ราคาปรับสูงขึ้นเช่นกัน
ขณะที่สินค้ากลุ่มพลังงาน (แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า)ราคาลดลง ส่วนราคาสินค้าและบริการอื่น ๆส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มาก ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อ 430 รายการ ในส่วนนี้ 175 รายการราคาสูงขึ้น อีก 158 รายการราคาไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน 97 รายการราคาลดลง โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.83% และหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.68%
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.62 % สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่สูง 0.52 % จึงส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 8 เดือนปี 2567 สูงขึ้น 0.15 % และเงินเฟ้อพื้นฐาน สูงขึ้น 0.44% ซึ่งหากเทียบกับประเทศทั่วโลก ไทยมีเงินเฟ้อต่ำสุดอันดับ 10 จาก 128 ประเทศ และอันดับ 2 ในอาเซียน
นาย
พูนพงษ์ กล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายน 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจัยหลักจาก 1.ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร 2.ผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ราคาผักสดและผลไม้สดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกในบางพื้นที่ได้รับความเสียหาย แต่คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น และ 3. สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งทางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ปัจจัยทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลง คือ
1. ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ
2. ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หรืออาจจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวระดับต่ำ
และ 3.การลดราคาสินค้าและการแข่งขันในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกในประเทศ และการค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจำนวนมากปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง คาดว่าจะได้ในเดือนกันยายน นั้น เป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนสินค้าและการปรับราคาสินค้า
“เงินเฟ้อไตรมาสสุดท้ายปีนี้ มีแนวโน้มสูง คาดอัตราเฉลี่ยสูงขึ้น 1.5% ปัจจัยหลักคือจากราคาดีเซล แต่เฉลี่ยทั้งปีกระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % โดยค่ากลางอยู่ที่ 0.5 % สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน” นาย
พูนพงษ์ กล่าว.
JJNY : ปชน.งงโครงการหมื่นล. แต่ไม่มีรายละเอียด│สภาเดือด! ส.ส.ภท.โต้ ส.ส.ปชน.│ผักสด-จานด่วนราคาพุ่ง│สุดโหด! “คิม จอง-อึน”
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9397894
พรรคประชาชน ยันไม่ค้าน สร้างกำแพงกันคลื่น งงโครงการหมื่นล้าน แต่ไม่มีรายละเอียด ย้ำต้องให้ตรงประเภทการกัดเซาะ หวั่นทำลายสมดุลธรรมชาติ
วันที่ 5 ก.ย. 2567 นายนิติพล ผิวเหมาะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า พรรคประชาชน เคยมีการยกประเด็นกรณี “กำแพงกันคลื่น” มาพูดและย้ำมาตลอดว่ากำแพงกันคลื่นไม่ใช่สูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง หลายครั้งยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมพังลงด้วยซ้ำ เรามีปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด เพราะหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง คือกรมโยธาธิการและผังเมือง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ไม่เคยสร้างกำแพงกันคลื่นด้วยความโปร่งใส ถูกต้อง และตรวจสอบได้
นายนิติพล กล่าวต่อว่า ต้องขอยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่คัดค้านการสร้างกำแพงกันคลื่น แต่ต้องมีความชัดเจน ว่าพื้นที่ที่จะสร้างกำแพงกันคลื่นนั้น เป็นพื้นที่ที่มีการเซาะแบบชั่วคราว ที่ธรรมชาติจะพัดทรายกลับมาเติมชายหาดให้คืนสภาพเดิม หรือแบบชั่วโคตร ที่ชายหาดถูกกัดเซาะตลอดเวลาแบบไม่มีเว้นช่วงจนแผ่นดินหาย นี่ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าพื้นที่ไหนที่ควรจะสร้างกำแพงกันคลื่นแบบไหน ปัญหาตอนนี้ คือพื้นที่ที่กำลังมีโครงการหรือสร้างเสร็จแล้ว ตรงกับประเภทหรือไม่ หากไม่ตรงอาจจะเป็นการทำลายสมดุลทางธรรมชาติ
นายนิติพล กล่าวว่า เราอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อขอดูรายละเอียดก็ไม่เคยได้รับข้อมูลสำคัญ และในปีงบประมาณ 2568 มีการจัดของบมาถึง 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 10 โครงการ แต่ไม่เคยได้เห็นรายละเอียดเลยว่า ตกลงพื้นที่ที่จะทำกำแพงกันคลื่นเป็นการกัดเซาะแบบไหน
“โครงการระดับหมื่นล้านบาท คนทั่วไปขนาดเขาจะสร้างบ้านหลังละหลักล้านยังเห็นรายละเอียดมากกว่าโครงการหลักหมื่นล้านแบบนี้มันเป็นไปได้อย่างไร” นายนิติพลกล่าว.
สภาเดือด! ส.ส.กระบี่ ภูมิใจไทยโต้ ส.ส.ประชาชน ใส่ร้าย ท้าถอดเทป ขู่ร้องจริยธรรมวุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_4774699
สภาเดือด! ส.ส.กระบี่ ภูมิใจไทย โต้เดือด ส.ส.ประชาชน ใส่ร้าย ท้าถอดเทป ขู่ร้องจริยธรรมวุ่น
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท วาระที่ 2 เป็นวันที่สาม โดยก่อนเข้าสู่วาระที่ประชุมได้รับทราบพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม
ทั้งนี้ ในการอภิปรายของส.ส. ในมาตราดังกล่าว ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย จนมาถึงช่วงท้ายที่พบความวุ่นวาย เนื่องจาก นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ที่ขอใช้สิทธิประท้วงคำอภิปรายของ นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ว่า ตนถูกอภิปรายพาดพิง รวมถึง ส.ส.กระบี่ 3 คน ทั้งนี้ จนติดประชุมอนุกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับเช็ค มีไลน์จาก จ.กระบี่ ปล่อยให้ นายประเสริฐพงษ์ กล่าวหาใส่ร้ายส.ส.ได้อย่างไร ซึ่งผิดต่อประมวลจริยธรรมข้อ 12 “เสียดสีใส่ร้ายว่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย 4 ปี ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมีข้อจำกัด ขอให้ประธานวินิจฉัยให้เขาถอนคำพูดด้วย”
นายวันมูหะมัดนอร์ วินิจฉัยว่า เพื่อให้ดำเนินการต่อไม่ต้องเปิดเทป ขอให้ผู้อภิปรายกรุณาถอนคำพูดเกิดความเสียหายต่อ ส.ส.3 คน ซึ่งมองว่า เสียหายกับส.ส. ทำให้ นายประเสริฐพงษ์ โต้แย้งว่า นายสฤษฏ์พงษ์ระบุเองว่า ยังไม่ได้ฟังสิ่งที่ตนอภิปราย และบอกว่า ตนกล่าวหาใส่ร้าย แบบนี้เท่ากับใส่ร้ายตน ทางที่ดีไปฟังก่อน หากฟังคนรอบข้างแล้วมากล่าวหาตน มิตรภาพจะเสียกันไปเปล่าๆ ทั้งนี้ ตนไม่มีคำพูดใดๆที่เสียหายและไม่ถอน ขอให้ไปฟังเทปก่อนอย่าฟังคนรอบข้างโดยไม่ฟังด้วยหูของตนเอง
ทำให้ นายวันมูหะมัดนอร์ พยายามไกล่เกลี่ยว่า ขอให้นายสฤษฏ์พงษ์ยกคำพูดที่พาดพิงเสียหาย เพราะขณะนี้การอภิปรายข้ามมาหลายตอน อาจจะลืมเลือนไป เอาเฉพาะคำพูดที่เสียหายและให้ผู้อภิปรายได้ถอน ซึ่งนายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ผู้แทนกระบี่ 3 คน 4 ปีไม่ทำอะไรเลย คนกล่าวใช้เวทีสภา เพื่อหาเสียงหลายโอกาสและพาดพิงถึงหมอ มีส.ส. 2 คนที่นั่งอยู่ในห้องแต่ไม่อยากขัดจังหวะ ซึ่งพาดพิงให้เกิดความเสียหายด้าน นายประเสริฐพงษ์ ยืนยันว่า ไม่ได้พูดคำนั้น ทำให้ประธานสภาฯ ได้วินิจฉัยเพื่อความประนีประนอมว่าขอให้บันทึกคำประท้วงของนายสฤษฏ์พงษ์ไว้ ขอแค่นี้เพราะอยู่ในสภานี้
อย่างไรก็ดีนายสฤษฏ์พงษ์ ยังขอใช้สิทธิ และระบุว่า “เพื่อไม่ให้สภาเสียเวลาเรื่องไร้สาระ ผมขออนุญาตตรวจเทปและชวเลข หากพูดจริงและเสียหายจริง ขอดำเนินเรื่องผิดจริยธรรมกับสมาชิก เป็นฝ่ายค้านไม่ทำอะไรเลย แล้วยังมากล่าวหากันอีก” ทำให้ นายประเสริฐพงษ์ลุกประท้วง แต่ก่อนจะมีการปะทะคารมบานปลาย นายวันมูหะมัดนอร์ ตัดบทว่า เมื่อบันทึกและให้แก้ข้อกล่าวหาแล้วขอให้จบ ก่อนจะให้กมธ.ชี้แจงและโหวตมาตราดังกล่าวทันที ซึ่งผลการลงมติของที่ประชุมสภาฯ เห็นชอบกับการแก้ไขของกมธ. และผ่านการพิจารณามาตราดังกล่าวไปมาตราถัดไปทันที
ผักสด-จานด่วน ราคาพุ่ง ดัน เงินเฟ้อ ส.ค.สูง 0.35% แนวโน้มขาขึ้น เหตุจากดีเซล แตะ 33 บาท/ลิตร
https://www.matichon.co.th/economy/news_4774679
ผักสด-จานด่วน ราคาพุ่ง ดัน เงินเฟ้อ ส.ค.สูง 0.35% แนวโน้มขาขึ้น เหตุจากดีเซลแตะ33บาท/ลิตร
วันที่ 5 กันยายน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(เงินเฟ้อทั่วไป)ของไทย เดือนสิงหาคม 2567 เท่ากับ 108.79 เทียบกับเดือนสิงหาคม 2566 สูงขึ้น 0.35 % และสูงขึ้น 0.07% จากเดือนกรกฎาคม 2567 ปัจจัยสำคัญส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อมาสูงขึ้นมาจากราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสดและผลไม้สด ที่บางพื้นที่เพาะปลูกเจอฝนตกหนักและอุทกภัย ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง รวมถึงข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และอาหารสำเร็จรูป อาทิ กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง และอาหารตามสั่ง ราคาปรับสูงขึ้นเช่นกัน
ขณะที่สินค้ากลุ่มพลังงาน (แก๊สโซฮอล์ ค่ากระแสไฟฟ้า)ราคาลดลง ส่วนราคาสินค้าและบริการอื่น ๆส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มาก ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อ 430 รายการ ในส่วนนี้ 175 รายการราคาสูงขึ้น อีก 158 รายการราคาไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน 97 รายการราคาลดลง โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.83% และหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0.68%
สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.62 % สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนกรกฎาคม 2567 ที่สูง 0.52 % จึงส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 8 เดือนปี 2567 สูงขึ้น 0.15 % และเงินเฟ้อพื้นฐาน สูงขึ้น 0.44% ซึ่งหากเทียบกับประเทศทั่วโลก ไทยมีเงินเฟ้อต่ำสุดอันดับ 10 จาก 128 ประเทศ และอันดับ 2 ในอาเซียน
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า เงินเฟ้อทั่วไปเดือนกันยายน 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้น ปัจจัยหลักจาก 1.ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร 2.ผลกระทบจากอุทกภัยทำให้ราคาผักสดและผลไม้สดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกในบางพื้นที่ได้รับความเสียหาย แต่คาดว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้น และ 3. สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ รวมถึงต้นทุนค่าขนส่งทางเรือปรับตัวเพิ่มขึ้น
ขณะที่ปัจจัยทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลง คือ
1. ค่ากระแสไฟฟ้าภาคครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อนหน้าตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ
2. ฐานราคาน้ำมันดิบดูไบในตลาดโลกในปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับสูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หรืออาจจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวระดับต่ำ
และ 3.การลดราคาสินค้าและการแข่งขันในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งค้าปลีกในประเทศ และการค้าผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ทำให้สินค้าจำนวนมากปรับลดราคาอย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง คาดว่าจะได้ในเดือนกันยายน นั้น เป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ไม่ได้ส่งผลต่อต้นทุนสินค้าและการปรับราคาสินค้า
“เงินเฟ้อไตรมาสสุดท้ายปีนี้ มีแนวโน้มสูง คาดอัตราเฉลี่ยสูงขึ้น 1.5% ปัจจัยหลักคือจากราคาดีเซล แต่เฉลี่ยทั้งปีกระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ระหว่าง 0.0 – 1.0 % โดยค่ากลางอยู่ที่ 0.5 % สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน” นายพูนพงษ์ กล่าว.