วิมานหนาม: The Paradise of Thorns
"ภายใต้หนามแหลมพร้อมทิ่มแทง มีเนื้อสีทองหอมรัญจวนซ่อนอยู่"
กำกับโดย บอส กูโน
เป็นหนังที่ไม่ได้วางแผนว่าจะดูแต่แรก แต่สุดท้ายก็ไปดูจนได้ เนื่องจากเห็นว่า หนังได้รับเลือกเข้าฉายใน
Toronto International Film Festival 2024
หลังจากได้รับชม ต้องบอกว่า
"คุ้มค่า" จริง ๆ นี่คือ หนึ่งในหนังที่เป็น
"เพชรเม็ดงาม" ในปีนี้ของวงการภาพยนตร์ไทย ไม่แพ้
"หลานม่า" เลยทีเดียว
เรื่องย่อ
"วิมานหนาม" กล่าวถึงชีวิตของ
"ทองคำ" (เจฟ ชาเตอร์) ที่ร่วมกันสร้างสวนทุเรียนกับ
"เสก" (เต้ย พงศกร) แฟนหนุ่มสุดที่รัก
ครั้นเมื่อสวนทุเรียนแห่งนี้เป็นรูปเป็นร่างพร้อมเก็บเกี่ยว
"เสก" พลาดประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ขณะที่ไม่มีกฏหมายรองรับให้
"ทองคำ" รับมรดกต่อจากแฟนหนุ่มเพศเดียวกัน
ตามกฏหมายสวนทุเรียนแห่งนี้จึงตกไปอยู่กับ
"แม่แสง" (สีดา พัวพิมล) ผู้เป็นมารดาของเสกแทน ซึ่งมาพร้อมกับ
"โหม๋" (อิงฟ้า วราหะ) ลูกบุญธรรมของแม่เสก
นั่นจึงทำให้วิมานหนามแห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายสู้แย่งชิงให้กลับมาเป็นของตน
‘วิมานหนาม’ | OFFICIAL TRAILER
ความรู้สึกหลังชม
- นอกจาก
"หลานม่า" ที่เป็นหนังเซอร์ไพร์สในปีนี้ของ
GDH แล้ว ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่า
"วิมานหนาม" จะทำออกมาคุณภาพดีขนาดนี้ด้วยตัวเรื่องที่เข้มข้น พิถีพิถัน มีสุนทรียศิลป์
- ส่วนแรกที่ประทับใจ
"ความสร้างสรรค์"
"ความสร้างสรรค์" ในที่นี้หมายถึง องค์ประกอบโดยรวมที่ทำออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะบทหนัง ไอเดียคอนเซปต์ งานภาพ งานเสียง ดนตรีประกอบที่ผสมออกมาแล้วดูแล้วสวยงามไม่ซ้ำกับเรื่องก่อน ๆ
- ส่วนที่ประทับใจที่สุด ขอชื่นชม
"คอนเซปต์ที่ดีและเฉียบคม"
อย่างการนำประเด็นช่องโหว่กฏหมายมาสร้างเป็นปมความขัดแย้ง เพื่อพูดถึงความเป็นคนชายขอบของ
"เพศทางเลือก" (LGBT) ที่กฏหมายไม่ให้พื้นที่มากนักสำหรับคนกลุ่มนี้
สิ่งนี้เองนำมาสู่สถานการณ์ต่อไป นั่นคือ เมื่อกฏหมายช่วยทองคำไม่ได้ ทองคำจึงต้องเล่นไปตามเกมส์ เพื่อชิงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของของสวนทุเรียนกลับคืนมา เกิดเป็น
"สงครามทวงคืนบัลลังก์หนาม" ที่แต่ละฝ่ายต่างระดมโหมสรรพกำลังเข้าต่อสู้ในสมรภูมิ
เราจะได้เห็นการเป็นพันธมิตร การเชือดเฉือน หักหลังกันไปมาระหว่างแต่ละตัวละครสะท้อน
"ภาพสงคราม" ขนาดย่อม และโศกนาฏกรรมความสูญเสียที่ต่างฝ่ายต่างยืนบนซากปรักหักพังหลังสงครามสงบ
นี่เป็นอีกความสร้างสรรค์ที่พาให้นึกถึงสามก๊กหรือ Game of Thrones แต่เปลี่ยนภาพสงครามจริงเป็นการเล่าผ่าน "สงครามความสัมพันธ์" แทน...
ถือว่าไอเดียดีน่ายกนิ้ว !
- ชอบไอเดียที่หนังเลือก "ทุเรียน" มาเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่อง
"ทุเรียน" ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้" แม้จะมีหนามเยอะ ทว่าภายใต้หนามกลับมี "เนื้อประกายทอง" หอมหวานซ่อนอยู่ สะท้อนนัยยะว่า แม้ว่าหนามจะทิ่มแทงขนาดไหน ทุกคนต่างสู้เพื่อช่วงชิงเนื้ออันโอชะของผลไม้ชิ้นนี้
นอกจากนี้ ทุเรียนยังเป็นผลไม้ Signature ของประเทศไทยที่โด่งดังในสายตาชาวโลก... ต้องชมว่า หนังเลือก Symbol มาได้สวย
- ครั้นพูดถึงสงครามและความขัดแย้ง สิ่งหนึ่งที่ชื่นชมนอกจากการเชือดเฉือนหักเหลี่ยม คือ
"การที่หนังไม่ประนีประนอมกับผู้ชม"
หนังเรื่องนี้มีฉากรุนแรงและน่าสะเทือนใจพอสมควร ซึ่งเป็นไปเพื่อสร้างความดุเดือดของการสู้เพื่อแย่ง
"วิมานหนาม" ส่วนนี้กดดันผู้ชมได้อยู่หมัดและทำให้อินไปกับเรื่องราวมากขึ้น
- องค์ประกอบศิลป์ของหนังทำได้ประณีต เช่น งานภาพ มุมกล้อง และเกรดดิ้งสีอันงดงาม
ภาพในหลาย ๆ จังหวะสะท้อน Message สำคัญของเรื่อง เช่น
"บ้านของเสกบนเนินเหนือสวนทุเรียน" ที่ให้ภาพคล้ายปราสาทหอคอยกลางอาณาจักรสะท้อนความเป็น
"บัลลังก์แห่งอำนาจ" (The Paradise of Thorns (Thrones) - ชื่อหนังในภาษาอังกฤษ) อันเป็นเป็นสมรภูมิที่ทุกคนพยายามช่วงชิง
ขณะที่ดนตรีประกอบจาก
"หัวลำโพงริดดิม" ก็ทำออกมาได้เยี่ยมด้วยธีมดนตรีคลาสสิคเสียดหู (นึกถึงเรื่อง
Parasite) ให้บรรยากาศเสียดสีแก่งแย่งได้ยอดเยี่ยม
- พาร์ทนักแสดง ส่วนตัวขอยกนิ้วให้กับการแสดงทุกคนที่ระเบิดอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่ง อาจจะติดนิดหนึ่งตรงรู้สึกไม่ค่อยได้ยินการคุยกันด้วยภาษาถิ่นในเรื่องมากนัก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับภาพรวม
สรุป
อาจไม่ใช่รสชาติที่คุ้นเคย แต่ถือเป็นงานที่น่าประทับใจของ
GDH ที่รู้สึกว่ามาถูกทางกับการทำหนังในเลเวลที่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ส่วนตัวเชื่อว่า หากยังคงคุณภาพหนังได้ระดับนี้เรื่อย ๆ จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังไทย และช่วยให้หนังไทยโดดเด่นขึ้นในเวทีนานาชาติไม่ต่างจากที่เกาหลีทำได้
ใครสนใจแนะนำเลยครับ !
____________________________________
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
วิมานหนาม (2024) - สงครามชิงบัลลังก์หนาม
หลังจากได้รับชม ต้องบอกว่า "คุ้มค่า" จริง ๆ นี่คือ หนึ่งในหนังที่เป็น "เพชรเม็ดงาม" ในปีนี้ของวงการภาพยนตร์ไทย ไม่แพ้ "หลานม่า" เลยทีเดียว
เรื่องย่อ
"วิมานหนาม" กล่าวถึงชีวิตของ "ทองคำ" (เจฟ ชาเตอร์) ที่ร่วมกันสร้างสวนทุเรียนกับ "เสก" (เต้ย พงศกร) แฟนหนุ่มสุดที่รัก
ครั้นเมื่อสวนทุเรียนแห่งนี้เป็นรูปเป็นร่างพร้อมเก็บเกี่ยว "เสก" พลาดประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ขณะที่ไม่มีกฏหมายรองรับให้ "ทองคำ" รับมรดกต่อจากแฟนหนุ่มเพศเดียวกัน
ตามกฏหมายสวนทุเรียนแห่งนี้จึงตกไปอยู่กับ "แม่แสง" (สีดา พัวพิมล) ผู้เป็นมารดาของเสกแทน ซึ่งมาพร้อมกับ "โหม๋" (อิงฟ้า วราหะ) ลูกบุญธรรมของแม่เสก
นั่นจึงทำให้วิมานหนามแห่งนี้กลายเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายสู้แย่งชิงให้กลับมาเป็นของตน
- นอกจาก "หลานม่า" ที่เป็นหนังเซอร์ไพร์สในปีนี้ของ GDH แล้ว ไม่ได้คาดคิดเหมือนกันว่า "วิมานหนาม" จะทำออกมาคุณภาพดีขนาดนี้ด้วยตัวเรื่องที่เข้มข้น พิถีพิถัน มีสุนทรียศิลป์
- ส่วนแรกที่ประทับใจ "ความสร้างสรรค์"
"ความสร้างสรรค์" ในที่นี้หมายถึง องค์ประกอบโดยรวมที่ทำออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะบทหนัง ไอเดียคอนเซปต์ งานภาพ งานเสียง ดนตรีประกอบที่ผสมออกมาแล้วดูแล้วสวยงามไม่ซ้ำกับเรื่องก่อน ๆ
อย่างการนำประเด็นช่องโหว่กฏหมายมาสร้างเป็นปมความขัดแย้ง เพื่อพูดถึงความเป็นคนชายขอบของ "เพศทางเลือก" (LGBT) ที่กฏหมายไม่ให้พื้นที่มากนักสำหรับคนกลุ่มนี้
สิ่งนี้เองนำมาสู่สถานการณ์ต่อไป นั่นคือ เมื่อกฏหมายช่วยทองคำไม่ได้ ทองคำจึงต้องเล่นไปตามเกมส์ เพื่อชิงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของของสวนทุเรียนกลับคืนมา เกิดเป็น "สงครามทวงคืนบัลลังก์หนาม" ที่แต่ละฝ่ายต่างระดมโหมสรรพกำลังเข้าต่อสู้ในสมรภูมิ
เราจะได้เห็นการเป็นพันธมิตร การเชือดเฉือน หักหลังกันไปมาระหว่างแต่ละตัวละครสะท้อน "ภาพสงคราม" ขนาดย่อม และโศกนาฏกรรมความสูญเสียที่ต่างฝ่ายต่างยืนบนซากปรักหักพังหลังสงครามสงบ
นี่เป็นอีกความสร้างสรรค์ที่พาให้นึกถึงสามก๊กหรือ Game of Thrones แต่เปลี่ยนภาพสงครามจริงเป็นการเล่าผ่าน "สงครามความสัมพันธ์" แทน...
ถือว่าไอเดียดีน่ายกนิ้ว !
หนังเรื่องนี้มีฉากรุนแรงและน่าสะเทือนใจพอสมควร ซึ่งเป็นไปเพื่อสร้างความดุเดือดของการสู้เพื่อแย่ง "วิมานหนาม" ส่วนนี้กดดันผู้ชมได้อยู่หมัดและทำให้อินไปกับเรื่องราวมากขึ้น
ภาพในหลาย ๆ จังหวะสะท้อน Message สำคัญของเรื่อง เช่น "บ้านของเสกบนเนินเหนือสวนทุเรียน" ที่ให้ภาพคล้ายปราสาทหอคอยกลางอาณาจักรสะท้อนความเป็น "บัลลังก์แห่งอำนาจ" (The Paradise of Thorns (Thrones) - ชื่อหนังในภาษาอังกฤษ) อันเป็นเป็นสมรภูมิที่ทุกคนพยายามช่วงชิง
- พาร์ทนักแสดง ส่วนตัวขอยกนิ้วให้กับการแสดงทุกคนที่ระเบิดอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่ง อาจจะติดนิดหนึ่งตรงรู้สึกไม่ค่อยได้ยินการคุยกันด้วยภาษาถิ่นในเรื่องมากนัก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับภาพรวม
สรุป
ส่วนตัวเชื่อว่า หากยังคงคุณภาพหนังได้ระดับนี้เรื่อย ๆ จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังไทย และช่วยให้หนังไทยโดดเด่นขึ้นในเวทีนานาชาติไม่ต่างจากที่เกาหลีทำได้
ใครสนใจแนะนำเลยครับ !