JJNY : ไทยไม่จำเป็นต้องมีศาลรธน.│แฉกรมประมงสร้างแหล่งเพาะหมอคางดำ│ทสท.ชม“ทักษิณ”ดีแต่เอื้อนายทุน│ซีอีโอ“เทเลแกรม”ถูกจับ

ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ : มุนินทร์ พงศาปาน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4754687
 
 
รายการ ประชาธิปไตยสองสี  โดย ใบตองแห้ง EP21 คุยกับ รศ.ดร. มุนินทร์ พงศาปาน  วิพากษ์ บทบาทและภาพสะท้อนศาลรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีศาลรัฐธรรมนูญ ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศไทย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


แฉกรมประมงใช้งบ1,400ล้านสร้างแหล่งเพาะพันธุ์ปลาหมอคางดำ ทำเกษตรกรเดือดร้อนหนัก
https://www.dailynews.co.th/news/3789572/

แฉกรมประมงผลาญงบ 1,400 ล้าน สร้างแหล่งเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ ปลาหมอคางดำ ทำเกษตรกร เดือดร้อนหนักยื่นฟ้องศาลปกครอง แต่กรมประมงไม่สนใจปฏิบัติตาม คำพิพากษาผ่านมากว่า 3 ปียังไม่คืนพื้นที่ จี้เยียวยาช่วยเหลือชดเชย
 
จากกรณีที่นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมลงแขกกำจัดปลาหมอคางดํา ในพื้นที่บริเวณคูครองสาขา ท้องที่หมู่ 4  ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา สามารถจับปลาหมอคางดำได้กว่า 2 ตัน อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนพบว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดยักษ์ใหญ่ที่กรมประมงใช้งบลงทุนกว่า  600 ล้านบาท แต่หลังจากสร้างแล้วเสร็จก็ทิ้งร้างไม่มีการเข้าไปดำเนินการใด ๆ ให้เกิดประโยชน์ทั้งสิ้นถือว่าเป็นการใช้งบประมาณแบบทิ้งเปล่าศูนย์เปล่าไร้ประโยชน์ ตามที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
เมื่อวันที่ 25 ส.ค.นายไพโรจน์ รัตนรัตน์ สมาชิกสภาเกษตรกร จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตลุ่มน้ำปากพนัง ได้นำสื่อมวลชนลงตรวจสอบพื้นที่โครงการบ่อบำบัดน้ำประมงน้ำเค็ม บ้านบ่อคนธี หมู่ 4 ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งถือว่าเป็นบ่อบำบัดน้ำเสียขนาดยักษ์ใหญ่ครบวงจรมี เทคโนโลยีพร้อมวัสดุอุปกรณ์ ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก พร้อมอาคารมาตรฐานหลายจุด  ซึ่งเป็นโครงการของกรมประมงพบว่า เมื่อมีการสร้างแล้วเสร็จกลับถูกทิ้งร้างไม่ใช้ ให้เกิด ประโยชน์ใด ๆ ในปัจจุบันพบว่าสายไฟฟ้าหม้อแปลงขนาดใหญ่อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆได้ถูกขโมยหายไปเกลี้ยงมูลค่าไม่น้อยกว่า 100 ล้านที่สำคัญภายในโครงการกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำ จำนวน มหาศาล ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการแพร่ขยายพันธุ์ออกไปสู่พื้นที่รอบนอกในเขตลุ่มน้ำปากพนังอื่น ๆ
 
นายไพโรจน์ กล่าวว่า เมื่อประมาณ 20  ปีก่อน กรมประมงได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้ประกอบการเลี้ยงกุ้งทะเลและสัตว์น้ำอื่น ๆ อย่างจริงจังโดยมีการทุ่มงบประมาณลงมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำเค็ม เพื่อความสะดวกของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหรือสัตว์น้ำ ซึ่งในการก่อสร้างโครงการนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิม จนมีการเรียกร้องขอความช่วยเหลือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอดแต่ไม่ได้รับการดูแลจากกรมประมง และประชาชนจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัดนครศรีธรรมราช จนเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมาทางศาลปกครองได้ พิพากษาตัดสินให้เกษตรกร ผู้ฟ้องคดีชนะคดี ศาลปกครองสั่งให้กรมประมงคืนพื้นที่ให้ชาวบ้านภายใน 180 วัน ทางกรมประมงก็นิ่งเฉยผ่านมาเป็นเวลา 3 ปี ทางเกษตรกรผู้ร้องเคยเข้าร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์และมีการนำเสนอข่าวนี้ออกไปยังคึกโครมกว้างขวาง แต่จนถึงขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 3 ปี เกษตรกรผู้ร้องก็ยังไม่ได้คืนพื้นที่ตามคำพิพากษาของศาลปกครอง
 
นายไพโรจน์ กล่าวว่า สำหรับโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ นอกจากบริเวณบ้านบ่อคนธีหมู่ 4 ต.เกาะเพชร แล้วยังมีที่ ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร  จ.นครศรีธรรมราช และที่ ต.ท่าพระยา อ.ปากพนัง  จ.นครศรีธรรมราช  ใช้งบประมาณในการก่อสร้างแห่งละ กว่า 400 ล้านบาท รวม 3 โครงการ 1,400 ล้านบาทแต่ โครงการทั้ง  3  จุดในพื้นที่ 2 อำเภอ กลับถูกทิ้งร้างสูญเปล่าไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนแม้แต่น้อย ซึ่งการใช้งบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ในลักษณะเช่นนี้ราวกับว่าประเทศไทย ร่ำรวยมหาศาล มันสวนทางกับข้อเท็จจริงที่ในปัจจุบันเศรษฐกิจตกต่ำประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ
 
ที่สำคัญเป็นเหมือนกรมประมงใช้งบ 1,400 ล้านบาท มาลงทุนใน 3 โครงการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ของปลาหมอคางดำไปโดยปริยาย”นายไพโรจน์ กล่าวและว่า ถึงวันนี้เรื่องราวถูกสื่อมวลชนเปิดโปงออกมาแล้ว ตนจึงขอเรียกร้องไปยังกรมประมงให้รีบเร่งถ่ายโอน โครงการทั้ง 3 จุด 2 อำเภอ ให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของกรมชลประทานเชื่อว่าทางกรมชลประทานจะสามารถเข้ามา พัฒนาปรับปรุงฟื้นฟูระบบนิเวศ ในโครงการรวมทั้งแหล่งคูคลอง ต่าง ๆ ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง และสัตว์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังได้ใช้ประโยชน์ต่อไป และขอเรียกร้องให้ทางกรมประมงลงไปเยียวยาช่วยเหลือชดเชย ให้กับ เกษตรกรที่ได้รับ ผลกระทบเดือดร้อน ตาม คำสั่งศาลปกครอง โดยเร่งด่วน



ไทยสร้างไทย ชม “ทักษิณ” โชว์วิสัยทัศน์ดีแต่เอื้อนายทุนใหญ่
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_766136/
 
ไทยสร้างไทย ชม”ทักษิณ”โชว์วิสัยทัศน์ดี แต่ฉายภาพเอื้อนายทุนใหญ่ จำเป็นต้องท้วงติง
 
นายภัชริ นิจสิริภัช คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ และ เหรัญญิกพรรคไทยสร้างไทย กล่าวภายหลังการรับฟัง การแสดงวิสัยทัศน์ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีประเด็นและหลายเรื่องที่น่าสนใจ พร้อมชื่นชมว่ามีวิสัยทัศน์ดี หลายด้านและหากทำได้ถือเป็นสิ่งดีสำหรับประเทศไทย
 
แต่วิสัยทัศน์ ส่วนใหญ่จะเป็นการฉายภาพเอื้อนายทุนใหญ่ทั้งสิ้น จำเป็นต้องมีการท้วงติง เช่นกรณี ความเห็นต่อการเวนคืนรถไฟฟ้า หรือซื้อสัญญาสัมปทานคืนจากเอกชนเพื่อให้ รัฐเป็นผู้บริหารเอง หรือ จ้างเอกชนบริหาร โดยมีเป้าหมาย การเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายที่หาเสียงไว้
 
นายภัชริ กล่าวว่า ตนขอตั้งคำถาม ถึงแนวคิดดังกล่าว ประโยชน์สูงสุด เป็นไปเพื่อประชาชนหรือเพื่อนายทุนเจ้าของสัมปทานแน่ เพราะโดยปกติการลงทุนระยะยาวอย่างรถไฟฟ้า ที่มีมูลค่านับหมื่นล้านหรือหลายหมื่นล้านบาทนั้น เอกชนย่อมแสวงหากำไร แต่ต้องรอในระยะเวลาหนึ่งจึงจะคืนทุน
 
สำหรับค่าโดยสาร คือเงื่อนไขสำคัญที่ระบุไว้ในสัญญาสัมปทาน และเป็นเรื่องปกติที่รัฐจะได้ค่าสัมปทานเก็บรายได้เข้าคลัง โดยเอกชนจะบริหารภายใต้สัญญาระยะยาวซึ่งการลงทุนแบบนี้ ต้องวิเคราะห์ความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ หากทำดีมีคนใช้บริการมากก็จะคืนทุนไว แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น การที่รัฐให้สัมปทานกับเอกชน คือ การลดความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ไม่ต้องแบกภาระเอง ไม่ต้องบริหารเอง
 
นายภัชริ กล่าวว่า กลับกันหากรัฐมีแนวคิดไปเวนคืน หรือ ซื้อกิจการกลับมาบริหารเอง ตามแนวคิดของอดีตนายกทักษิณ เพื่อลดราคาค่าโดยสารให้ เป็นไปตามนโยบายหาเสียง อาจหมายถึงเอาเงินก้อนใหญ่จากภาษีของประชาชนไปให้เอกชน แน่นอนว่าไม่มีใครยอมถูกเวนคืนในราคาขาดทุน นอกจากเอกชนไม่ต้องแบกภาระความเสี่ยงในการคืนทุนได้เงินก้อนโตในการซื้อสัมปทานคืน แถมจะได้เงินจากค่าบริหารจากภาครัฐอีกด้วย
 
ถ้ารัฐยอมจ่ายสูงซื้อคืนกลับมา มันก็เหมือนเอื้อนายทุนเจ้าของรถไฟฟ้า เพราะตามสัญญากว่าจะได้เงินทุนคืนมันนาน แต่อยู่ๆรัฐมาเวนคืนในระยะเวลาอันสั้น เอกชนลูบปากสบายเลย เมื่อรัฐได้สิทธิบริหาร แน่นอนกำหนดค่าตั๋วเท่าใดก็ได้ เช่น20บาทตลอดสาย แต่หากทำไปแล้วขาดทุน สุดท้ายอาจเหมือน ขสมก.หรือ การรถไฟ ที่มีหนี้สะสมมหาศาล” นายภัชริ กล่าว
 
นายภัชริ ย้ำว่า ท้ายที่สุดรัฐอาจต้องเอาเงินภาษีของประชาชนไปอุ้ม ส่วนคนที่ยิ้มก่อน คือเจ้าของสัมปทานที่รัฐเอาเงินก้อนโตมาซื้อคืน และอาจจ้างบริหารต่ออีก ดังนั้นนโยบายนี้เอกชนอาจได้สองเด้ง จึงขอตั้งข้อสังเกต และความไม่สบายใจว่า ตกลงว่านโยบายนี้เอื้อนายทุนหรือประชาชนแน่
เพราะหากเกิดปัญหาการขาดทุนสะสม รัฐจะไปขายคืนเอกชน คงไม่มีใครกล้าซื้อในราคาสูง สุดท้ายก็จะกลายเป็นภาระทางการคลังและต้องนำเงินภาษีของพี่น้องประชาชนไปชำระคืน
 
นายภัชริ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งที่จริงยังมีวิธีอื่นที่จะลดค่าโดยสารลง ทั้งการที่รัฐคืนค่าส่วนแบ่งรายได้ให้ประชาชน รวมทั้ง เจรจากับเอกชนให้ลดกำไรบางส่วนจากการเก็บค่าโดยสารแพง โดยเฉพาะสายกลางเมืองที่ได้สัมปทานมาจนคืนทุนไปนานแล้ว ทั้งยังได้ต่อสัญญาที่ได้เปรียบรัฐจนเป็นภาระค่าโดยสารที่แพงเกินจริงจนถึง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่