JJNY : 5in1 ‘ก้าวไกล’ทวงคืนทางด่วน│เตรียมรับลูกก้าวไกล│พยากรณ์อากาศวันพรุ่งนี้│สำรวจย่านห้วยขวาง│อาเซียนประณามเมียนมา

‘ก้าวไกล’ทวงคืนทางด่วนจี้หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ
https://www.dailynews.co.th/news/3691291/

‘ก้าวไกล’ ทวงคืนทางด่วน หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ จี้รัฐบาลหยุดขยายสัมปทานเอื้อนายทุนเจ้าเดิมโดยไม่มีการแข่งขัน อ้างลดค่าครองชีพประชาชนบังหน้า ‘สุรเชษฐ์’ ชวนจับตากลาง ส.ค. สร้างทางด่วน Double Deck ชงเข้า ครม.
 
 
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่พรรคก้าวไกล นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. และนายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch หัวข้อ “ทวงคืนทางด่วน หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ” เพื่อติดตามการทำงานของรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลพบว่ามีความพยายามเอื้อประโยชน์นายทุนผ่านการขยายสัมปทานทางด่วนให้กับเอกชนเจ้าเดิมที่ถือสัมปทานดังกล่าวมายาวนาน รวมถึงมีแผนหาสร้างทางด่วนตอนใหม่ โดยให้กับเอกชนรายเดิมแบบไม่ต้องประมูลไม่ต้องแข่งขัน เป็นการหาช่องเพื่อขยายสัมปทานโดยรัฐบาลเพื่อไทย 
 
โดยนายศุภณัฐ กล่าวถึงกรณีดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือทางยกระดับอุตราภิมุข ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ตามข้อตกลงในสัมปทาน จะมีการขึ้นค่าผ่านทาง ซึ่งทางยกระดับนี้มี 2 ตอน ได้แก่ ดินแดง-ดอนเมือง และ ดอนเมือง-อนุสรณ์สถาน ทั้ง 2 ตอน สร้างและอนุมัติไม่พร้อมกัน แต่ผู้รับสัมปทานเป็นเจ้าเดียวกัน โดยในปี 2532 รัฐบาลขณะนั้นเปิดประมูลสัมปทานตอนที่หนึ่งเป็นเวลา 25 ปี ตกลงค่าผ่านทางที่ 20 บาทตลอดสาย แต่ต่อมาเกิดการแก้ไขสัมปทานรวม 3 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2538 ครั้งที่สองในปี 2539 
 
นายศุภณัฐ กล่าวว่า ในการแก้ไขครั้งที่สอง รัฐบาลขณะนั้นอ้างว่าต้องการสร้างดอนเมืองโทลล์เวย์ตอนที่ 2 แต่รัฐบาลกลับไม่เปิดประมูล กลับแก้ไขสัมปทานโดย 1.ขยายสัมปทานตอนที่หนึ่ง จากเดิมจะจบในปี 2557 เพิ่มอีก 7 ปี  รวมเป็น 32 ปี และ 2.พ่วงสัมปทานตอนที่สอง ระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่ปี 2539-2564 โดยจิ้มเลือกเอกชนรายเดิมที่เป็นเจ้าของสัมปทานตอนที่หนึ่ง กลายเป็นเอกชนรายเดียวกันได้ทั้งสองสัมปทาน ต่อมาปี 2550 มีการแก้ไขรอบที่ 3 โดยขยายสัมปทานทั้งสองตอนให้กับเอกชนเจ้าเดิมเพิ่มไปอีก 13 ปี กลายเป็นไปจบที่ปี 2577 ทั้งคู่
 
นี่คือเทคนิคลับลวงพราง ที่พอจะเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่รายใด ก็มักใช้วิธีพ่วงสัมปทานของเดิม เพิ่มเติมด้วยส่วนต่อขยายใหม่ ผสมกันไปมั่วกันไปหมด อันเป็นการทั้งขยายสัมปทานเดิมและประเคนสัมปทานใหม่โดยไม่ต้องมีการแข่งขันใดๆ” นายศุภณัฐ กล่าว
 
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า กระทั่งปีนี้ รัฐบาลเพื่อไทยก็เตรียมแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 4 เพื่อขยายสัมปทานให้กับเอกชนเจ้าเก่าอีกรอบ โดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ปูทางว่าทางด่วนกำลังจะขึ้นราคา ประชาชนจะไม่ไหว รัฐมนตรีบังเอิญเป็นห่วงประชาชนมาก ทั้งที่เรื่องสำคัญอย่างอื่นเช่นรถเมล์ก็ไม่เห็นจะสนใจ แต่พอเป็นเรื่องสัมปทานก็สนใจเป็นพิเศษ เลยชงมาว่าจะต้องลดราคา ต่อสายเจรจาหาเอกชน ซึ่งต้องถามว่ารัฐมนตรีคิดไปเองหรืออย่างไร หรือเอกชนจะใจดีไม่ขึ้นค่าทางด่วนให้ฟรีๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะตามสัมปทานตกลงกันว่าต้องขึ้นราคา แต่เมื่อรัฐมนตรีชง เอกชนก็รับลูกด้วยการบอกว่าถ้าไม่อยากให้ขึ้นราคาก็ต้องขยายสัมปทานอีกรอบ แบบนี้ยิ่งเข้าทางรัฐมนตรี อ้างเหตุสั่งให้กรมทางหลวงไปศึกษาคำนวณว่าจะขยายสัมปทานอีกกี่ปี 
 
นายศุภณัฐ กล่าวต่อว่า จนถึงตอนนี้สัมปทานผ่านมาแล้ว 45 ปี จะจบปี 2577 แต่สิ่งที่รัฐบาลจะทำคืออยากขยายอีก แบบนี้เรียกว่า “ขยายแล้ว ขยายอยู่ ขยายต่อ” หรือไม่ แทนที่เมื่อหมดอายุ ทางด่วนจะตกมาเป็นของรัฐบาล รัฐบาลกลับสรรหาสารพัดข้ออ้างเพื่อขยายสัมปทานต่อไปเรื่อยๆ ให้เป็นของเอกชนรายเดิมต่อไปเรื่อยๆ และที่น่ากลัวกว่าคือรัฐบาลมีแผนที่จะออกสัมปทานตอนใหม่ คือตอนที่สาม รังสิต-บางปะอิน ซึ่งอาจถูกนำไปพ่วงเป็นมูลเหตุขยายสัมปทานครั้งใหม่ โดยไม่มีการแข่งขัน
 
พรรคก้าวไกลขอคัดค้านการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนด้วยวิธีการแบบนี้ สัมปทานควรหมดแล้วหมดเลย แล้วค่อยเปิดให้มีการแข่งขันใหม่อย่างเป็นธรรม จึงขอเรียกร้องให้หยุดขยายสัมปทานเดิม ประเคนสัมปทานใหม่ ทวงคืนทางด่วนให้ประชาชน ลองมาเป็นรัฐบาลที่สนใจประโยชน์ของประชาชนก่อนประโยชน์ของนายทุน เชื่อว่าถ้าทำได้ ประชาชนจะรักท่านมากกว่านี้ ประเทศไทยจะเจริญมากกว่านี้” นายศุภณัฐ กล่าว 
 
ขณะที่นายชยพล กล่าวถึงการก่อสร้างทางด่วนศรีรัชชั้นที่ 2 หรือเรียกว่าโครงการ Double Deck ว่า อันที่จริงทางด่วนศรีรัชหมดอายุสัมปทานไปแล้ว แต่ช่วงประมาณปี 2563 ดันมีการขยายสัมปทานออกไปอีก 15 ปี 8 เดือน เพื่อแลกกับการที่เอกชนถอนฟ้องคดีต่อรัฐ หรือรู้จักกันในนาม “ค่าแกล้งโง่” และในวันนี้ นายทุนใหญ่หน้าเดิมเล็งจะขยายสัมปทานเพิ่มอีก 22 ปี 5 เดือน ทำให้สัมปทานทั้งหมดรวมกันจะจบที่ปี 2601
 
นายชยพล กล่าวว่า สำหรับเหตุผลของการต่ออายุสัมปทาน รมว.คมนาคม อ้างว่าเพื่อลดราคาค่าทางด่วน โดยยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่ามีหลายสิ่งที่น่าข้องใจ เช่น บอกว่าไม่เอื้อประโยชน์ให้เอกชน แต่นี่คือการเจรจาต่อสัมปทานโดยไม่มีการประกวดราคาใหม่ ทั้งที่สามารถรอให้สัมปทานเดิมหมดอายุก่อนก็ได้ เพราะปกติทุกการลงทุน เอกชนจะต้องวางแผนคำนวณจุดคุ้มทุนหรือจุดที่จะได้กำไรอยู่แล้วตามอายุสัมปทานที่มี ดังนั้นเมื่อหมดอายุสัมปทาน โครงสร้างของทางด่วนก็ควรกลับมาเป็นของรัฐ รัฐสามารถบริหารจัดการให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนได้ เช่นอาจให้ขึ้นทางด่วนฟรี หรืออาจเก็บเงินเพื่อเอารายได้มาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หรืออาจมองว่าไม่สามารถบริหารจัดการเองได้เองเลยเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ
 
แต่ตอนนี้กลับเกิดความดันทุรัง จะเร่งเซ็นสัญญาให้ได้ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังติดปัญหาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการเวนคืนที่ดิน เช่นบริเวณใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีประชาชนที่คัดค้านการสร้าง Double Deck เพราะได้รับผลกระทบจากการสร้างทางด่วนรอบแรก ปัญหาสำคัญคือเมื่อมีการสร้างทางด่วน พื้นที่ใต้ทางด่วนก็จะเป็นของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แทนที่ประชาชนจะได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน หรือพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ก็ไม่สามารถทำได้
 
นายชยพล กล่าวว่า ดังนั้นหากรีบเซ็นภายในปีนี้ เชื่อว่าจะติดปัญหาทั้งเรื่องอีไอเอ การเวนคืน และเสียงคัดค้านของประชาชน แล้วหากโครงการไม่สามารถเดินหน้าตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ในสัญญาที่จะเซ็นกัน ก็จะทำให้เกิดผลกระทบตามมาต่อรัฐบาล เช่น ค่าปรับ มูลเหตุการฟ้องร้องคดี หรือการหาเรื่องขยายสัมปทาน เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ของการที่รัฐบาลไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่ให้ประชาชนเป็นเพียง “ทางผ่าน” ไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงคือการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนรายเดิมเพิ่มเติม
 
ด้านนายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทั้งสองเรื่องข้างต้นมีความพยายามคล้ายกันที่จะหาข้ออ้าง เช่น ลดราคา เพิ่มส่วนต่อขยาย แต่เนื้อหาที่แท้จริงคือการหาเหตุในการขยายสัญญาสัมปทาน เก็บเงินจากประชาชนเข้ากระเป๋านายทุนมากขึ้นหรือนานขึ้น โดยผู้มีอำนาจไม่ว่าจะ ครม. รัฐมนตรีที่กำกับดูแล หรือหัวหน้าหน่วยงานราชการ ทำไมจึงยอมให้นายทุนหาผลประโยชน์จากประชาชนมากมายขนาดนี้ 
 
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า สัมปทานคือสัญญา ในระหว่างสัญญาก็ควรปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา ซึ่งเมื่อหมดสัญญาแล้วก็ควรจบเลย กลับมาเป็นของรัฐแล้วคิดโครงสร้างราคาใหม่ที่สมเหตุสมผลมากขึ้น โดยหากจะให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการต่อก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ไม่ใช่ปิดห้องเจรจาลับแล้วหาเหตุขยายสัมปทานให้เจ้าเดิม ทั้งนี้ หากรัฐบาลอยากลดราคาจริง โดยไม่แอบพ่วงโครงการ Double Deck ก็สามารถทำได้โดยปรับสัดส่วนการแบ่งรายได้ระหว่างรัฐกับเอกชน โดยไม่ต้องขยายสัมปทานแม้แต่ปีเดียว
 
สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นประมาณกลางเดือน ส.ค. นี้ คือ รัฐบาลมีแผนที่จะนำเรื่องการขยายสัมปทานทางด่วนชั้นที่ 2 เข้าที่ประชุม ครม. อันจะเป็นอีกครั้งที่เกิดการเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่ให้นายทุน เป็นการหาสร้าง Double Deck เพื่อแลกกับการขยายสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ทั้งที่สัญญาสัมปทานปัจจุบันยังเหลืออีกถึง 11 ปี ทำให้สัมปทานลากยาวไปถึง 31 มี.ค. 2601 โดยไม่มีการแข่งขัน จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมกันจับตา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ 
 
สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาทางด่วนโดยเนื้อแท้คล้ายกับปัญหารถไฟฟ้า คือที่ผ่านมารัฐเอานายทุนผู้รับสัมปทานเป็นตัวตั้ง มองทางด่วนเป็นท่อนๆ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายหลายท่อนแล้วรู้สึกแพง ถ้าจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องคิดเรื่องโครงสร้าง “ค่าผ่านทางร่วม” ซึ่งพรรคก้าวไกลเคยเสนอไปแล้วตอนยื่น พ.ร.บ.ถนน แต่ก็โดนรัฐบาลปัดตกไปอย่างไร้เหตุผล ดังนั้น เราต้องทวงคืนทางด่วน หมดสัมปทานต้องคืนรัฐ หากจะให้เอกชนร่วมดำเนินการ ก็ต้องเกิดการประมูลใหม่อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เลิกหากินกับการปะผุปัญหาด้วยการหาเรื่องขยายสัมปทาน แต่ต้องร่วมกันแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน.



เทวฤทธิ์ เตรียมรับลูก ก้าวไกล แก้รัฐธรรมนูญ ล้างมรดกคสช. ป้องกันรัฐประหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4704250

“เทวฤทธิ์” มองเป็นสัญญาณดี ปม “ปธ.วุฒิฯ” บอกพร้อมทำงานร่วมทุกขั้ว เตรียมรับลูก ”ก้าวไกล“ หลังชงแก้รธน. ล้างมรดกคสช.-ป้องกันรปห.

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงการแบ่งโควตากรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภา กลุ่ม ส.ว.พันธุ์ใหม่ได้เจรจากับกลุ่มอื่นหรือยังว่า ยอมรับว่ามีบุคคลไปพูดคุย เพื่อให้รู้ว่าคนอื่นมีแนวทางเรื่องนี้อย่างไร แต่ยืนยันว่ายังไม่มีการตกลงกัน เพราะมีข้อเสนอให้แก้ข้อบังคับ ปรับลดจำนวน กมธ. ที่นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม ส.ว. เป็นผู้เสนอ ซึ่งจะมีผลต่อการจัดสรรโควต้า กมธ.

นายเทวฤทธิ์ กล่าวต่อว่า เราต้องการ กมธ.ที่สามารถเป็นพื้นที่ให้ทำงานตามจุดยืน ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สิทธิมนุษยชน หรือการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงมุ่งหมายจะต่อรองเพื่อให้ได้ ไม่ใช่ว่าอยากได้ตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อตกลงในที่ประชุม และการเจรจากับกลุ่มใหญ่ด้วย

เมื่อถามว่า นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ระบุว่าพร้อมทำงานกับคนที่เห็นต่าง มองว่าเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่ นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า เป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ต้องรอพิสูจน์เชิงรูปธรรม ว่าจะให้พื้นที่ในการทำงานจริงหรือไม่ หรือจะยึดหมดทุกที่

เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการลบล้างผลพวงรัฐประหารจำนวน 3 ฉบับ เพื่อให้บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมของรัฐสภา กลุ่มพันธุ์ใหม่มีจุดยืนต่อร่างฉบับนี้อย่างไร นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า จุดยืนของเราคือ ต้องการฟื้นฟูความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งบทบาทของ ส.ว. คือการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น การลบล้างผลพวงและป้องกันการรัฐประหาร หรือการยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ ก็เป็นหนึ่งในภารกิจของเรา เป็นหลักการที่เราเห็นด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่