ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย .... สวัสดีค่ะ ขอเล่าแบบคร่าวๆ เบื้องต้นนะคะ
ลูกหนี้เรา นามสมมติ "นาย ม." ได้ทำการ
ยืมเงินจากฝ่ายเรา " เจ้าหนี้ "
ช่วงระหว่างคบหากันจนถึงเลิกรากัน
เดือน สิงหา ปี 65 โดยทางฝั่งนั้นแจ้งกับเราว่าจะผ่อนชำระหนี้สิน
เป็นจำนวนเงินประมาณ 710k บาท
โดยการผ่อนชำระนับตั้งแต่วันเลิกรา // มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลยค่ะที่จะทำใจปล่อยผ่านได้ // ยอดเบ็ดเสร็จ
ทั้งหมดคือ 840k รวมค่าทนายด้วย
(ถ้าถามว่าทำไมยอดเงินถึงเยอะขนาดนี้ เขาสร้างความเชื่อใจในฐานะคนรักมาตลอดค่ะ ) นาย ม. อาชีพค้าขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์ // พ่อแท้ - เป็นเจ้าของร้านโชห่วยมีโกดังเป็นของตัวเอง // แม่แท้ - อยู่เยอรมัน มีแฟนใหม่เป็นฝรั่งสามารถซื้อบ้านด้วยเงินสดได้ ซึ่งตอนนั้นด้วยความเชื่อใจว่าเขามั่นคงทางครอบครัวเลยเลือกที่จะกล้าให้ยืมเพราะความเชื่อใจล้วนๆเลยค่ะ (แต่เราก็เลือกที่จะทำสัญญาฉบับกู้ยืมเงินไว้ค่ะ มีลายลักษณ์อักษร **แต่ไม่ได้มีคนค้ำ**)
**โปรไฟล์เค้าดีมากค่ะจะลงรูปรถตลอด ทรัพย์สินลงรูปตลอดแต่ว่าเบื้องหลังคือมันไม่ใช่ของของเค้าค่ะ ตอนนี้ก็ยังลงเรื่อยๆอยู่ **
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไม่สามารถลงรายละเอียดรูปเพิ่มเติมได้ค่ะ แต่คือหลักฐานสัญญาแน่นมาก เกี่ยวกับข้อกฎหมายล้วนๆ //
*** อยากช่วยเหลือหรือขอดูข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อช่วยแนะนำ ทิ้งข้อมูลไว้เลยค่ะเดี๋ยวทำการแอดไปปรึกษาเองได้ หมดหนทางจริงๆ **
ซึ่งเรื่องเกิดขึ้น
เมื่อเขาผิดนัดตั้งแต่งวดแรก(คุยกันเองตอนพึ่งเลิกรา) - ทางนั้นขาดการติดต่อไปไม่ได้คืนเงินตามกำหนดที่ชำระ เราเลยได้แจ้งทางครอบครัวเขาไปว่าทาง
"นายม." ได้ยืมเงินเราไปจำนวนเท่านี้ ระหว่างคบหากันจนเลิกรา ฝ่ายแม่ของเขาได้ทำการรับรู้เรื่องแล้ว เราเลยแจงรายละเอียดทั้งหมดไปตั้งแต่วันที่ทักเลยค่ะ โดยสรุปว่าเขานัดเจรจา
ในเดือน ม.ค 66 เพราะแม่เขาอยู่ตปท โดยหลังจากที่
'นายม.' ได้บล็อคช่องทางติดต่อของเราไปตั้งแต่เลิก (
ตอนนั้นคือเค้าติดต่อไม่ได้เลยค่ะผิดนัดชำระเลยต้องติดต่อครอบครัวเขาแทน ) แล้วก็มา
ปลดบล็อคครั้งที่ 1 เพื่อด่าเราเรื่องที่ติดต่อแม่เขาไป แล้วบอกว่าเราสร้างปัญหาเคลียร์กันเองไม่ได้หรอ ซึ่งความจริงมันเคลียร์ไม่ได้ตั้งแต่เค้าเลือกบล็อคแล้ว แล้วทางเราก็แจ้งตั้งแต่แรกแล้วว่าครอบครัวเขาต้องรับรู้เรื่องนี้ ตอนนั้นก็เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่ เราโดนด่าสารพัดเยอะมาก รวมถึงขู่เรื่องจะเผารถ โพสเฟสต่างๆนานาๆจนกลายเป็นเหมือนว่า เราเป็นคนผิด เราเลยไม่มีทางออกนอกจากปรึกษาครอบครัวเราค่ะ ซึ่งได้ข้อสรุป ก่อนวันนัดเจรจาคือ เขารับผิดชอบส่วนอื่นๆ และแม่เขาจะรับผิดชอบส่วนค่ารถค่ะ
โดยรายละเอียดตามสัญญาที่เราทำสัญญากู้ขึ้น ที่เป็น ยอดหนี้สิน คือ
1.
ค่ารถบิ๊กไบค์ จำนวนประมาณ 300k // เป็นสัญญายืมชื่อเรากู้ไฟแนนซ์รถค่ะ ยอดเหลือจากวันเลิกราประมาณ150k แต่รถเขาไม่ยอมคืนนะคะตอนนั้น
2.
ค่าอื่นๆประมาณ 350k // ค่าใช้จ่ายส่วนตัวระหว่างคบกันที่เค้ายืมไปจ่ายแทน โดยมีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับยอดเงินค่ะ
3.
ค่าโทรศัพท์ไอโฟนจำนวน 30k // ตัดบัตรเครดิตของเราเป็นผ่อนชำระ โดยเขาแจงจะผ่อนชำระรายเดือนให้เราค่ะแต่ไม่ได้รับ
4.
ค่ากู้กสิกรประมาณ 48k // ยอดต้น 20k ยอดผ่อนตลอด 5 ปีรวมดอกเป็นยอดเท่านี้ค่ะ
วันเจรจา มกรา 66 - วันที่นัดเจรจาตัว
'นายม.' ไม่ได้มาตามนัดที่ตกลงไว้ มีแต่ แม่และแฟนใหม่ฝรั่ง ซึ่งถ้าพูดตามตรงคือแม่เขาไม่รับทราบรายละเอียดทั้งๆที่เราเป็นคนอยากแจงรายละเอียดด้วยซ้ำว่าคือยอดอะไรบ้าง ? เราถามแม่เขาว่า
ตัว 'นาย ม.' ไปไหน แม่เขาบอกว่า 'นาย ม.' ไม่ว่าง ไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้เลยมาไม่ได้ ตอนแรกก็พอเข้าใจได้อยู่ก็เลยเจรจากับทางแม่ฝั่งนั้น โดยความจริงแล้วเราจะต้องเป็นคนเสนอเรทราคาไปว่ายอดเท่าไหร่ที่เขาติดหนี้เราที่เป็นยอดที่เราโอเคที่จะลดเหลือให้ ซึ่งเราเองก็อยากตัดจบให้ไวไม่ได้อยากยืดเยื้อจนขึ้นศาล แต่ทางนั้นเสนอมาเองโดยทำสัญญามาพร้อมเหลือแค่ให้เราเซ็น
ซึ่งในสัญญาเขาจะให้เราแค่ 100k เดียวแล้วตัดจบเลิกยุ่งกับลูกเขาค่ะ
จากยอดแรก710k ตัดเหลือ100k เราทำใจไม่ลงค่ะ ตอนนั้นเลยตัดสินใจโทรหา
'นายม.' ว่าทำไมไม่มา ซึ่งคำตอบที่เราได้คือ เขาไปเที่ยวอยู่ ไปเทีย่วตจวกับแฟนใหม่....ตอนนั้นเราเหวอเลยค่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลยบอกว่าจะเอายังไงเคลียร์ยอดให้เลย
'นายม.' บอกให้เราเคลียร์กับแม่เลย ซึ่งมันเคลียร์กันไม่ได้จนการเจรจายุติลงค่ะ ตอนนั้นแม่เขาให้เราเสนอยอดเงินไปเลยว่าจะยอดเท่าไหร่แต่พอเราเคลียร์เรื่อง
ยอดเหลือเราตัดจบให้ประมาณ 300k แต่รถอยู่ที่เรา ทางนั้นก็
ไม่ยอมตกลงค่ะ หลังจากวันนั้นเขาก็บล็อคช่องทางติดต่อเราต่อค่ะ พ่อแม่เขาเลือกที่จะไม่ตอบเราไม่ติดต่ออะไรมาเลยค่ะ
เราเลยเลือกติดต่อทนาย
หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เราติดต่อทนายเลยค่ะ เพราะว่า
เราต้องการยื่นฟ้องร้องคดีนี้ แต่ว่าคดีนี้ดันเป็นแค่ 'คดีเพ่ง' ไม่ใช่ คดีอาญา
นั้นคือข้อเสียของการยึดทรัพย์ต่างๆ เพราะมันมีกฎหมายหลายๆอย่างที่บังคับใช้เลยไม่ได้ ต้องรอระยะเวลาเป็นปี 1-4 ปี
โดย
ณ วันที่เราฟ้องร้อง เราเรียกยอดทั้งหมดจำนวน 840k เพราะมีค่าอื่นๆ มาเพิ่มเติมคือในเอกสารเรามีรวมถึงค่าทนายด้วย พอเอกสารไปถึงที่บ้าน
'นายม.' เขาถึงติดต่อมาค่ะ แล้วก็ปลดบล็อค
แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจรจาได้ ก็คือไม่คืนเงินนั้นแหละค่ะ จนเวลาผ่านไปขึ้นศาล
ศาลแรกที่ขึ้นคือศาลเจรจากันต่อรองกันโดยมีคนกลางของศาลอยู่ด้วย ณ วันนั้นคือเราก็เสนอเรทที่ระหว่างที่เราต้องเสียเวลารอคดี รอเวลา ขึ้นศาล เกือบปีค่ะถึงได้มาเจรจา โดยเรท ณ วันนั้นที่เราเสนอไปคือ
ตัดยอดให้เหลือ 500k จากยอด710kนะคะ แต่ว่า ทางนั้น เขาก็ยังรั้นที่จะไม่จ่ายเหมือนเดิม โดยเขาได้นำ
'ลูก'มาอ้างในการเจรจาว่า
พึ่งคลอดลูก ต้องใช้เงินในการทำคลอดอยากได้ความเห็นใจ // ซึ่งเราไม่รู้สึกถึงความเห็นใจเลยค่ะเพราะเป็นหนี้สินก่อนที่เขาจะตัดสินใจมีลูก เขาควรเห็นใจเราด้วยซ้ำว่าคนเคยเป็นแฟนกัน ทำกันได้ขนาดนี้เลยหรอ ปล่อยให้เราเกือบคิดสั้น ทั้งขู่ ทั้งด่า แล้วยังต้องมาจ่ายหนี้สินแทนเขาอีกเพราะติดไฟแนนซ์ตั้งแต่เลิก เรารับตัวเองไม่ได้ค่ะ แต่พ่อแม่เรามาช่วยจ่ายยอดเงินที่ติดไฟแนนซ์ติดธนาคารให้ เราเลยผ่านมันมาได้ค่ะ จนเราต้องเสียเวลามาขึ้นศาลรอเรื่องเป็นปีๆ ไม่มีใครในชีวิตนี้อยากขึ้นศาลหรอกค่ะเขาควรเห็นใจเราด้วยซ้ำ ที่เราต้องมาตามเงินของเราเอง
**เราเลิกกันช่วงสิงหากันยา 65นะคะ // แต่หลังจากนั้นเดือนมกรา 66 ที่เรานัดเจรจากันคือเขา
'คบกับแฟนใหม่แล้วค่ะ' แล้วหลังจากนั้น
ในระยะเวลา 1 ปีก็ได้คลอดลูก ก่อนวันที่เราไปเจรจาที่ศาลพอดีเลยก่อน 1 วัน เขาเลยเอามาเป็นประเด็นเพื่อต่อรองให้เราลดหนี้สินให้ **
แต่เราลดเหลือให้ตามยอดที่เราบอกคือ 500k ซึ่งเขาก็ไม่ยอมตกลง นั้นละค่ะ
สรุปจากวันที่เจรจาโดยมีคนกลางยังเหมือนเดิมค่ะ
"ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ปัดตกไปต้องรอเรื่องถึงศาลชั้นต้นซึ่งระยะเวลาก็เกือบปีค่ะ
ระยะเวลาจากเดือนสิงหา 65 ถึง
ปัจจุบันศาลชั้นต้น เดือนมิถุนายน 67 เป็นเวลา 2 ปี (สำหรับคดีเรื่องหนี้สินถือว่าศาลตัดสินไวค่ะ แต่...)
ตอนเดือนมิถุนาที่เราได้ขึ้นศาลชั้นต้น เพื่อนัดสืบพยาน ซึ่งตัว
'นายม.' มา ณ วันที่เราสืบพยานค่ะ ซึ่งความจริงเป็นคนละวันกับที่เขาสืบพยาน เพราะว่าเขาเหมือนต้องการให้เรื่องจบไว เหตุเพราะก่อนหน้านี้ ทนายฝั่ง
'นาย ม.' ได้พูดว่า '
จำเลยไม่มีสินทรัพย์ไม่มีอะไรให้ยึดหรอกครับ' ตั้งแต่วันที่เจรจา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนผิดทำไมเราต้องยอมปล่อยลูกหนี้ไปด้วยจึงถึงขั้นฟ้องศาลกันค่ะ // ศาลสืบพยานเรา หลักฐานเราเยอะมากค่ะเตรียมไปพร้อมเพื่อชนะคดี แต่แล้วผพพษ. พูดว่าเรื่องนี้เจรจากันได้นะ ตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย จึงเรียกเราไปคุยแทนการสืบพยาน แล้วถามว่ายินยอมเท่าไหร่ จำเลยเสนอยอดไปที่ 500k เราเลยบอกว่าจากวันนั้นที่เจรจาผ่านมา 1 ปี ณ คือ เราก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเพราะต้องจ่ายค่าไฟแนนซ์รถให้ตัดจบ ขอเรียกยอดที่ 600k ซึ่งตอนนั้น
'นาย ม. ก้ได้ใช้คำพูดเดิมคือเรื่องลูกมาเป็นประเด็นว่า 'ลูกสาวที่พึ่งคลอดอายุประมาณ 1ปี ได้ทำการผ่าตัดตับ เสียเงินเป็นล้านเลยครับผมได้ใช้ตับผมไป อยากขอความเห็นใจจากท่าน' แต่ เราก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่าเราใจดีมาตลอดนะ แล้วระยะเวลาหลังจากเลิกรากันทำไมไม่ติดต่อมา บล็อคการติดต่อทุกช่องทางทำไม? ระยะเวลาก่อนที่จะขึ้นชั้นศาลสามารถคืนเงินให้ได้ระหว่างนั้นนะเพื่อลดหนี้ แต่ว่าเค้า '
ไม่จ่ายแม้แต่บาทเดียว' ในระยะเวลา2ปีที่ผ่านมา ที่ขึ้นศาล เราจึงบอกผพพษ.ว่าเราก็อยากให้เห็นใจเราเหมือนกันที่เราต้องมาขึ้นศาลมารับผิดชอบเรื่องต่างๆมันก็เพราะตัวจำเลยที่เป็นหนี้โดยใช้ชื่อเรา
ศาลเลยตัดสินใจที่ว่าให้เซ็นเอกสาร ของศาลเป็นยอดจาก 840k เหลือยอด 600k โดยรถที่เราปิดยอด ณ เดือนมิถุนายน 67 ไปแล้วเป็น
'สิทธิ์ของเรา" ซึ่งเรารู้สึกว่าเราโอเคแค่นั้นกับระยะเวลาที่เสียไปแล้วดิ้นรนอยู่ฝ่ายเดียวทั้งๆที่เราป็นเจ้าหนี้
หลังจากนั้น
งวดแรกที่ต้องทำการชำระคือ 31/07/67 นี้คือยอดงวดแรกที่ต้องชำระ แต่ว่า... เขาขาดการติดต่อเหมือนเดิมเลยค่ะ รวมถึงทนายฝั่งนั้นเลือกที่จะออกจากกลุ่มที่รับผิดชอบหน้าที่ในการคุยเรื่องเงิน ทำให้ตอนนี้เราจนปัญญาในการเจรจาแล้ว ไม่รู้จะได้เงินคืนตอนนั้น แถมยังต้องมาบังคับคดีสืบทรัพย์หนี้สินของฝั่งนั้นอีก ซึ่งก็ไม่รู้เมือ่ไหร่ถึงจะสืบทรัพย์ได้เป็นหลายปีอีก
มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้แล้วแก้ไขได้บ้างไหมคะ? อยากได้รับคำแนะนำ เพราะทางฝั่งนั้นคือใช้ชีวิตดีมากๆ คือรับรู้ได้เลยว่ามีเงินใช้จ่ายรวมถึงเขายังซื้อรถซื้อบ้านใหม่ด้วยแต่ว่าไม่น่าใช่สินทรัพย์ของเจ้าตัว น่าจะเป็นของพ่อแม่ แล้วเขาเอามาลงโซเชี่ยล แต่เลือกที่จะไม่จ่ายเงินเราสักบาท ตอนนี้กลายเป็นเจ้าหนี้เดือดร้อนแทนเองแล้วค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าอยากให้คำแนะนำเพิ่มเติมทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ได้ค่ะ แล้วจะติดต่อกลับ เพราะว่าเราลงรายละเอียดอะไรไม่ได้เยอะมีผลต่อรูปคดี
อยากร้องทุกข์ให้เห็นใจโจทย์กับ "ลูกหนี้ (ที่เคยรัก) ไม่ยอมจ่ายหนี้" จะทำยังไงดี?
ช่วงระหว่างคบหากันจนถึงเลิกรากัน เดือน สิงหา ปี 65 โดยทางฝั่งนั้นแจ้งกับเราว่าจะผ่อนชำระหนี้สิน เป็นจำนวนเงินประมาณ 710k บาท
โดยการผ่อนชำระนับตั้งแต่วันเลิกรา // มันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลยค่ะที่จะทำใจปล่อยผ่านได้ // ยอดเบ็ดเสร็จ ทั้งหมดคือ 840k รวมค่าทนายด้วย
(ถ้าถามว่าทำไมยอดเงินถึงเยอะขนาดนี้ เขาสร้างความเชื่อใจในฐานะคนรักมาตลอดค่ะ ) นาย ม. อาชีพค้าขายอะไหล่รถมอเตอร์ไซค์ // พ่อแท้ - เป็นเจ้าของร้านโชห่วยมีโกดังเป็นของตัวเอง // แม่แท้ - อยู่เยอรมัน มีแฟนใหม่เป็นฝรั่งสามารถซื้อบ้านด้วยเงินสดได้ ซึ่งตอนนั้นด้วยความเชื่อใจว่าเขามั่นคงทางครอบครัวเลยเลือกที่จะกล้าให้ยืมเพราะความเชื่อใจล้วนๆเลยค่ะ (แต่เราก็เลือกที่จะทำสัญญาฉบับกู้ยืมเงินไว้ค่ะ มีลายลักษณ์อักษร **แต่ไม่ได้มีคนค้ำ**)
**โปรไฟล์เค้าดีมากค่ะจะลงรูปรถตลอด ทรัพย์สินลงรูปตลอดแต่ว่าเบื้องหลังคือมันไม่ใช่ของของเค้าค่ะ ตอนนี้ก็ยังลงเรื่อยๆอยู่ **
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งเรื่องเกิดขึ้น เมื่อเขาผิดนัดตั้งแต่งวดแรก(คุยกันเองตอนพึ่งเลิกรา) - ทางนั้นขาดการติดต่อไปไม่ได้คืนเงินตามกำหนดที่ชำระ เราเลยได้แจ้งทางครอบครัวเขาไปว่าทาง "นายม." ได้ยืมเงินเราไปจำนวนเท่านี้ ระหว่างคบหากันจนเลิกรา ฝ่ายแม่ของเขาได้ทำการรับรู้เรื่องแล้ว เราเลยแจงรายละเอียดทั้งหมดไปตั้งแต่วันที่ทักเลยค่ะ โดยสรุปว่าเขานัดเจรจา ในเดือน ม.ค 66 เพราะแม่เขาอยู่ตปท โดยหลังจากที่ 'นายม.' ได้บล็อคช่องทางติดต่อของเราไปตั้งแต่เลิก ( ตอนนั้นคือเค้าติดต่อไม่ได้เลยค่ะผิดนัดชำระเลยต้องติดต่อครอบครัวเขาแทน ) แล้วก็มาปลดบล็อคครั้งที่ 1 เพื่อด่าเราเรื่องที่ติดต่อแม่เขาไป แล้วบอกว่าเราสร้างปัญหาเคลียร์กันเองไม่ได้หรอ ซึ่งความจริงมันเคลียร์ไม่ได้ตั้งแต่เค้าเลือกบล็อคแล้ว แล้วทางเราก็แจ้งตั้งแต่แรกแล้วว่าครอบครัวเขาต้องรับรู้เรื่องนี้ ตอนนั้นก็เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่ เราโดนด่าสารพัดเยอะมาก รวมถึงขู่เรื่องจะเผารถ โพสเฟสต่างๆนานาๆจนกลายเป็นเหมือนว่า เราเป็นคนผิด เราเลยไม่มีทางออกนอกจากปรึกษาครอบครัวเราค่ะ ซึ่งได้ข้อสรุป ก่อนวันนัดเจรจาคือ เขารับผิดชอบส่วนอื่นๆ และแม่เขาจะรับผิดชอบส่วนค่ารถค่ะ
โดยรายละเอียดตามสัญญาที่เราทำสัญญากู้ขึ้น ที่เป็น ยอดหนี้สิน คือ
1. ค่ารถบิ๊กไบค์ จำนวนประมาณ 300k // เป็นสัญญายืมชื่อเรากู้ไฟแนนซ์รถค่ะ ยอดเหลือจากวันเลิกราประมาณ150k แต่รถเขาไม่ยอมคืนนะคะตอนนั้น
2. ค่าอื่นๆประมาณ 350k // ค่าใช้จ่ายส่วนตัวระหว่างคบกันที่เค้ายืมไปจ่ายแทน โดยมีรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับยอดเงินค่ะ
3. ค่าโทรศัพท์ไอโฟนจำนวน 30k // ตัดบัตรเครดิตของเราเป็นผ่อนชำระ โดยเขาแจงจะผ่อนชำระรายเดือนให้เราค่ะแต่ไม่ได้รับ
4. ค่ากู้กสิกรประมาณ 48k // ยอดต้น 20k ยอดผ่อนตลอด 5 ปีรวมดอกเป็นยอดเท่านี้ค่ะ
วันเจรจา มกรา 66 - วันที่นัดเจรจาตัว 'นายม.' ไม่ได้มาตามนัดที่ตกลงไว้ มีแต่ แม่และแฟนใหม่ฝรั่ง ซึ่งถ้าพูดตามตรงคือแม่เขาไม่รับทราบรายละเอียดทั้งๆที่เราเป็นคนอยากแจงรายละเอียดด้วยซ้ำว่าคือยอดอะไรบ้าง ? เราถามแม่เขาว่า ตัว 'นาย ม.' ไปไหน แม่เขาบอกว่า 'นาย ม.' ไม่ว่าง ไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้เลยมาไม่ได้ ตอนแรกก็พอเข้าใจได้อยู่ก็เลยเจรจากับทางแม่ฝั่งนั้น โดยความจริงแล้วเราจะต้องเป็นคนเสนอเรทราคาไปว่ายอดเท่าไหร่ที่เขาติดหนี้เราที่เป็นยอดที่เราโอเคที่จะลดเหลือให้ ซึ่งเราเองก็อยากตัดจบให้ไวไม่ได้อยากยืดเยื้อจนขึ้นศาล แต่ทางนั้นเสนอมาเองโดยทำสัญญามาพร้อมเหลือแค่ให้เราเซ็น ซึ่งในสัญญาเขาจะให้เราแค่ 100k เดียวแล้วตัดจบเลิกยุ่งกับลูกเขาค่ะ จากยอดแรก710k ตัดเหลือ100k เราทำใจไม่ลงค่ะ ตอนนั้นเลยตัดสินใจโทรหา 'นายม.' ว่าทำไมไม่มา ซึ่งคำตอบที่เราได้คือ เขาไปเที่ยวอยู่ ไปเทีย่วตจวกับแฟนใหม่....ตอนนั้นเราเหวอเลยค่ะ ทำอะไรไม่ถูกเลยบอกว่าจะเอายังไงเคลียร์ยอดให้เลย 'นายม.' บอกให้เราเคลียร์กับแม่เลย ซึ่งมันเคลียร์กันไม่ได้จนการเจรจายุติลงค่ะ ตอนนั้นแม่เขาให้เราเสนอยอดเงินไปเลยว่าจะยอดเท่าไหร่แต่พอเราเคลียร์เรื่องยอดเหลือเราตัดจบให้ประมาณ 300k แต่รถอยู่ที่เรา ทางนั้นก็ไม่ยอมตกลงค่ะ หลังจากวันนั้นเขาก็บล็อคช่องทางติดต่อเราต่อค่ะ พ่อแม่เขาเลือกที่จะไม่ตอบเราไม่ติดต่ออะไรมาเลยค่ะ เราเลยเลือกติดต่อทนาย
หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เราติดต่อทนายเลยค่ะ เพราะว่าเราต้องการยื่นฟ้องร้องคดีนี้ แต่ว่าคดีนี้ดันเป็นแค่ 'คดีเพ่ง' ไม่ใช่ คดีอาญา
นั้นคือข้อเสียของการยึดทรัพย์ต่างๆ เพราะมันมีกฎหมายหลายๆอย่างที่บังคับใช้เลยไม่ได้ ต้องรอระยะเวลาเป็นปี 1-4 ปี
โดย ณ วันที่เราฟ้องร้อง เราเรียกยอดทั้งหมดจำนวน 840k เพราะมีค่าอื่นๆ มาเพิ่มเติมคือในเอกสารเรามีรวมถึงค่าทนายด้วย พอเอกสารไปถึงที่บ้าน 'นายม.' เขาถึงติดต่อมาค่ะ แล้วก็ปลดบล็อค แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจรจาได้ ก็คือไม่คืนเงินนั้นแหละค่ะ จนเวลาผ่านไปขึ้นศาล
ศาลแรกที่ขึ้นคือศาลเจรจากันต่อรองกันโดยมีคนกลางของศาลอยู่ด้วย ณ วันนั้นคือเราก็เสนอเรทที่ระหว่างที่เราต้องเสียเวลารอคดี รอเวลา ขึ้นศาล เกือบปีค่ะถึงได้มาเจรจา โดยเรท ณ วันนั้นที่เราเสนอไปคือ ตัดยอดให้เหลือ 500k จากยอด710kนะคะ แต่ว่า ทางนั้น เขาก็ยังรั้นที่จะไม่จ่ายเหมือนเดิม โดยเขาได้นำ'ลูก'มาอ้างในการเจรจาว่าพึ่งคลอดลูก ต้องใช้เงินในการทำคลอดอยากได้ความเห็นใจ // ซึ่งเราไม่รู้สึกถึงความเห็นใจเลยค่ะเพราะเป็นหนี้สินก่อนที่เขาจะตัดสินใจมีลูก เขาควรเห็นใจเราด้วยซ้ำว่าคนเคยเป็นแฟนกัน ทำกันได้ขนาดนี้เลยหรอ ปล่อยให้เราเกือบคิดสั้น ทั้งขู่ ทั้งด่า แล้วยังต้องมาจ่ายหนี้สินแทนเขาอีกเพราะติดไฟแนนซ์ตั้งแต่เลิก เรารับตัวเองไม่ได้ค่ะ แต่พ่อแม่เรามาช่วยจ่ายยอดเงินที่ติดไฟแนนซ์ติดธนาคารให้ เราเลยผ่านมันมาได้ค่ะ จนเราต้องเสียเวลามาขึ้นศาลรอเรื่องเป็นปีๆ ไม่มีใครในชีวิตนี้อยากขึ้นศาลหรอกค่ะเขาควรเห็นใจเราด้วยซ้ำ ที่เราต้องมาตามเงินของเราเอง
**เราเลิกกันช่วงสิงหากันยา 65นะคะ // แต่หลังจากนั้นเดือนมกรา 66 ที่เรานัดเจรจากันคือเขา 'คบกับแฟนใหม่แล้วค่ะ' แล้วหลังจากนั้น ในระยะเวลา 1 ปีก็ได้คลอดลูก ก่อนวันที่เราไปเจรจาที่ศาลพอดีเลยก่อน 1 วัน เขาเลยเอามาเป็นประเด็นเพื่อต่อรองให้เราลดหนี้สินให้ ** แต่เราลดเหลือให้ตามยอดที่เราบอกคือ 500k ซึ่งเขาก็ไม่ยอมตกลง นั้นละค่ะ
สรุปจากวันที่เจรจาโดยมีคนกลางยังเหมือนเดิมค่ะ "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ปัดตกไปต้องรอเรื่องถึงศาลชั้นต้นซึ่งระยะเวลาก็เกือบปีค่ะ
ระยะเวลาจากเดือนสิงหา 65 ถึง ปัจจุบันศาลชั้นต้น เดือนมิถุนายน 67 เป็นเวลา 2 ปี (สำหรับคดีเรื่องหนี้สินถือว่าศาลตัดสินไวค่ะ แต่...)
ตอนเดือนมิถุนาที่เราได้ขึ้นศาลชั้นต้น เพื่อนัดสืบพยาน ซึ่งตัว'นายม.' มา ณ วันที่เราสืบพยานค่ะ ซึ่งความจริงเป็นคนละวันกับที่เขาสืบพยาน เพราะว่าเขาเหมือนต้องการให้เรื่องจบไว เหตุเพราะก่อนหน้านี้ ทนายฝั่ง 'นาย ม.' ได้พูดว่า ' จำเลยไม่มีสินทรัพย์ไม่มีอะไรให้ยึดหรอกครับ' ตั้งแต่วันที่เจรจา แต่เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนผิดทำไมเราต้องยอมปล่อยลูกหนี้ไปด้วยจึงถึงขั้นฟ้องศาลกันค่ะ // ศาลสืบพยานเรา หลักฐานเราเยอะมากค่ะเตรียมไปพร้อมเพื่อชนะคดี แต่แล้วผพพษ. พูดว่าเรื่องนี้เจรจากันได้นะ ตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย จึงเรียกเราไปคุยแทนการสืบพยาน แล้วถามว่ายินยอมเท่าไหร่ จำเลยเสนอยอดไปที่ 500k เราเลยบอกว่าจากวันนั้นที่เจรจาผ่านมา 1 ปี ณ คือ เราก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเพราะต้องจ่ายค่าไฟแนนซ์รถให้ตัดจบ ขอเรียกยอดที่ 600k ซึ่งตอนนั้น 'นาย ม. ก้ได้ใช้คำพูดเดิมคือเรื่องลูกมาเป็นประเด็นว่า 'ลูกสาวที่พึ่งคลอดอายุประมาณ 1ปี ได้ทำการผ่าตัดตับ เสียเงินเป็นล้านเลยครับผมได้ใช้ตับผมไป อยากขอความเห็นใจจากท่าน' แต่ เราก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่าเราใจดีมาตลอดนะ แล้วระยะเวลาหลังจากเลิกรากันทำไมไม่ติดต่อมา บล็อคการติดต่อทุกช่องทางทำไม? ระยะเวลาก่อนที่จะขึ้นชั้นศาลสามารถคืนเงินให้ได้ระหว่างนั้นนะเพื่อลดหนี้ แต่ว่าเค้า 'ไม่จ่ายแม้แต่บาทเดียว' ในระยะเวลา2ปีที่ผ่านมา ที่ขึ้นศาล เราจึงบอกผพพษ.ว่าเราก็อยากให้เห็นใจเราเหมือนกันที่เราต้องมาขึ้นศาลมารับผิดชอบเรื่องต่างๆมันก็เพราะตัวจำเลยที่เป็นหนี้โดยใช้ชื่อเรา ศาลเลยตัดสินใจที่ว่าให้เซ็นเอกสาร ของศาลเป็นยอดจาก 840k เหลือยอด 600k โดยรถที่เราปิดยอด ณ เดือนมิถุนายน 67 ไปแล้วเป็น 'สิทธิ์ของเรา" ซึ่งเรารู้สึกว่าเราโอเคแค่นั้นกับระยะเวลาที่เสียไปแล้วดิ้นรนอยู่ฝ่ายเดียวทั้งๆที่เราป็นเจ้าหนี้
หลังจากนั้น งวดแรกที่ต้องทำการชำระคือ 31/07/67 นี้คือยอดงวดแรกที่ต้องชำระ แต่ว่า... เขาขาดการติดต่อเหมือนเดิมเลยค่ะ รวมถึงทนายฝั่งนั้นเลือกที่จะออกจากกลุ่มที่รับผิดชอบหน้าที่ในการคุยเรื่องเงิน ทำให้ตอนนี้เราจนปัญญาในการเจรจาแล้ว ไม่รู้จะได้เงินคืนตอนนั้น แถมยังต้องมาบังคับคดีสืบทรัพย์หนี้สินของฝั่งนั้นอีก ซึ่งก็ไม่รู้เมือ่ไหร่ถึงจะสืบทรัพย์ได้เป็นหลายปีอีก
มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้แล้วแก้ไขได้บ้างไหมคะ? อยากได้รับคำแนะนำ เพราะทางฝั่งนั้นคือใช้ชีวิตดีมากๆ คือรับรู้ได้เลยว่ามีเงินใช้จ่ายรวมถึงเขายังซื้อรถซื้อบ้านใหม่ด้วยแต่ว่าไม่น่าใช่สินทรัพย์ของเจ้าตัว น่าจะเป็นของพ่อแม่ แล้วเขาเอามาลงโซเชี่ยล แต่เลือกที่จะไม่จ่ายเงินเราสักบาท ตอนนี้กลายเป็นเจ้าหนี้เดือดร้อนแทนเองแล้วค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้